เมื่อถึงวัยที่ต้องแยกจากของสะสมในวัยเยาว์ - Forever Farewell
คิดว่าทุกคน น่าจะมีชุดของสะสมที่เก็บเป็น Collection มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งเมื่อหันไปมองมันเมื่อไหร่ ก็รู้สึกอิ่มเอมใจที่เราสามารถรวบรวม หลงใหล และแสดงความสม่ำเสมอกับอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งมาได้ยาวนานขนาดนี้
ส่วนใหญ่ในที่นี้ ก็น่าจะมีเก็บการ์ตูน เก็บเกม หรือของเล่นใด ๆ กันมาบ้างใช่มั้ยล่ะ?
แต่ว่า เมื่อผ่านไปนาน ๆ อาจจะ 30 ปี 40 ปี หรือ 50 ปี ซึ่งเราย่างเข้าสู่ Phase ใหม่ของชีวิต
ความสนใจของเราเปลี่ยนไปเอย...
ข้อจำกัดของเราเปลี่ยนไปเอย...
ความหลงใหลของเราเปลี่ยนไป...
ความจำเป็นของเราเปลี่ยนไป...
หากว่าไม่ได้ซื้อบ้าน ซื้อที่เพิ่ม แล้วเรายังมีของสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ พื้นที่เราก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ
เหตุผลล้านประการอันแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละคนนั้น ล้วนไปถึงปลายเดียวกันคือ "ทำให้เราจำเป็นต้องเคลียร์ของขึ้นมา"
ไอ้ของสะสมที่เก็บมาตั้งแต่เด็ก และทุกชิ้นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายกว่าจะได้มันมานั่นอ่ะ ถึงวันนึงก็ต้องเคลียร์ ต้องปล่อยมือจากมันไป
เราต้องแยกจากกับมัน ทุกสิ่งที่เรารักนั่นแหละ
หลายคนคงพบว่าในวัย 30++ ไปแล้ว คงได้มีประสบการณ์ "เคลียร์ของ" "ย้ายบ้าน" พร้อมเปิดเพลง "ทิ้งแต่เก็บ" OST ประกอบภาพยนตร์ ฮาวทูทิ้งขึ้นมาาาา - https://youtu.be/8R265bY8sZI
ผมเองตั้งแต่ปีที่เริ่มเป็นภูมิแพ้หนัก แล้วหมอบอกว่าต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องสะสางห้องนอน พื้นที่อาศัย และขจัดฝุ่นครั้งใหญ่ ให้อยู่ในสภาพที่โล่งขึ้น ทำความสะอาดง่ายขึ้น ราวสัก 2015 มามั้ง ก็เอาหนังสือเกมทั้งหมด เช่น MEGA ตั้งแต่ 1997 ไปชั่งกิโลขาย แล้วยังพวกบทสรุปเกมเฉพาะเล่มอีกรวมกันนับหลายสิบกิโล แล้วปีต่อ ๆ มาก็กำหนดวันสะสางบ้านขึ้นมา ที่ขืนใจให้ทุกคนในบ้าน หาของเก่ามาบริจาค ไม่ให้เก็บกันจนรกบ้านแบบไร้ความรับผิดชอบกันเหมือนเคย
ปีที่แล้ว (2024) ผมก็พึ่งเอาหนังสือการ์ตูนเกือบทั้งหมดของตัวเอง (เว้นแค่ Evangelion กับ Doraemon) ไปขายให้ร้านโกดังหนังสือ ซึ่งผมไม่ได้สนใจเรื่องเงินหรอก แต่คิดว่าตัวเองไม่ได้อ่านแล้ว แต่หากจะกองทิ้งไว้เฉย ๆ มันก็คงไม่มีประโยชน์
ผมคิดว่าของสะสมทุกชิ้นบนโลก ของที่มีความทรงจำ ความรัก ประวัติศาสตร์ใด ๆ ก็ตามอยู่ เมื่อเรามีเหตุผลที่ต้องแยกจากกับมันแล้ว เราควรหา "ที่ไป" ของมันให้ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่การทิ้ง (เว้นแต่สภาพมันเละจริง ๆ) หรือปล่อยทิ้งไว้อีก 100 ปีจนเราตายหรือย้ายออกไปแล้ว ค่อยทิ้งไว้ให้เป็นภาระคนข้างหลังมาเอาไปทิ้ง
ที่ไปก็คือ
1. ขาย
2. บริจาคโดยไม่เจาะจงผู้รับ
3. ให้โดยเจาะจงผู้รับ
ทั้ง 3 วิธีนี้แม้จะต่างกัน แต่มีปลายทางเหมือนกันคือ ให้ของสะสมนั้นมันได้เดินทางต่อไปบนโลกอันกว้างใหญ่นี้ ไปมีชีวิตและทำหน้าที่ของมันต่อไป... ไม่ว่าจะเป็นเอาไปให้เจ้าของใหม่ใช้ เอาไปให้เจ้าของใหม่โชว์ หรือเอาไปให้เจ้าของใหม่ศึกษา
พอต้องเคลียร์ของทุกปี ผมก็กลายเป็นคนคิดมาก เวลาจะซื้ออะไรสักอย่าง ต้องคิดว่าเราจะเอามันมาเก็บไว้ที่ไหน? ใช้เสร็จแล้วจะทำยังไง? มันจะอยู่กับเรานานแค่ไหน? แล้วปลายทางของมันจะไปไปไหนต่อ?
พอผมกลายเป็นคนแบบนั้น กลายเป็นว่าช่วง 2015-2020 ผมก็เลิกซื้อของตั้งโชว์ ของตกแต่ง (เช่น ชุด Collector FFXIV, ของตั้งโชว์ต่าง ๆ) เพราะคิดว่าซื้อมาแม่งก็ไม่มีที่ตั้ง แถมเอามาวางทิ้งไว้เฉย ๆ ทำไม สุดท้ายปลายทางก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี ดังนั้นอย่าหาทำซื้อมาแต่แรกดีกว่า
จนกระทั่งผมมีคอนโดในปี 2020 ก็คือการสร้าง storage ขึ้นมาใหม่นั่นเอง พอมีพื้นที่มากขึ้น ถึงสามารถซื้อของมาตั้งโชว์เพื่อประดับตกแต่ง สร้างความสวยงามให้เป็นอาหารตาได้ แต่ก็ต้องซื้อแบบมี limit และรู้ตัวว่า "เอาแค่เต็มตู้โชว์ ชั้นวางนะ จะไม่มีมากกว่านั้น" และ "บางอย่างก็ต้องยอมปล่อยมือจากมันด้วย"
ที่พูดมาทั้งหมด ผมเชื่อว่าทุกคนที่มีข้อจำกัดเดียวกันกับผม ถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็จะตกผลึกเรื่องนี้กันได้เอง ดังนั้น ที่เขียนบ่นอยู่นี่ก็เหมือนบ่นประสบการณ์ชีวิต หรือคิดซะว่าสปอยล์สิ่งที่น้อง ๆ จะต้องเจอกับตัวในสักวันหนึ่งให้ฟัง
ส่วนในภาพประกอบ ที่เห็นชุด FFI-XII กองอยู่บนโต๊ะนี่ ไม่ใช่ของ ๆ ผมครับ แต่เป็นของพี่หมอ รุ่นพี่ที่ข้อจำกัด วัย ความหลงใหล เงื่อนไขชีวิต ได้พาเขามาถึงจุดที่ต้องแยกจากจากของสะสมในวัยเยาว์เหล่านั้นแล้ว
พี่หมอบอกว่า "ของแต่ละชิ้นมันมีเรื่องราวของมันอยู่" ก็คือมันมีความทรงจำระหว่างเราที่เชื่อมโยงไปยังของและผู้คนมากมาย ถึงขายแล้วได้เงินมาก็ไม่คุ้ม เขาไม่ได้ต้องการเงินที่เป็นหลักฐานของการสละของเหล่านั้นไป
อาจจะฟังดูเข้าใจยาก แต่ตอนปี 2004 ที่ผมเอาเงินสะสมทั้งหมด ไปซื้อแผ่น FFVII Internationl สภาพนางฟ้าราคา 8,500 บาทให้เพื่อนผู้หญิง แต่เขาก็ไม่รับฟรี ๆ และจะจ่ายเงินคืน 1,500 บาทท่าเดียว ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วน และไม่อยากรับเงินนั้นมาเช่นกัน
เมื่อไม่อยากขาย พี่หมอก็เลยเลือกที่จะส่งมอบของทั้งหมด มาให้ผมรวดเดียว เป็นความตั้งใจของเขาไว้ (ส่วนผมจะเอาไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่ผมเลย...) อย่างน้อยพี่หมอก็จะได้ความทรงจำว่า เขาได้หา "ที่ไป" ที่ดี ให้กับความทรงจำแต่ละชิ้นของเขาแล้ว ของเหล่านั้นจะได้เดินทางต่อไปบนโลก และทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมาต่อไป จะไม่มีชิ้นไหนที่ waste หรือถูกทิ้ง ถูกทำลาย หรือสาบสูญสิ้นสุดไป ณ ตอนนี้
สรุปโพสต์นี้นะครับ
- คนอื่นไม่ต้องส่งมาให้ผมเพิ่มนะครับบบบบ
- เราซื้อของได้ เราสะสมได้ แต่ก็ต้องรู้ตัวว่ามันไม่จีรัง ถึงวันหนึ่งที่พอแล้ว เราก็ควรปล่อยมือจากมัน ให้ของมันได้เดินทางต่อไปบนโลก มากกว่าจะปล่อยให้มันถูกลืมอยู่ในตู้ ในบ้านแคบ ๆ ของเรา หลังจากที่เราลืมมันไปแล้ว
- มองหาเพื่อน พี่น้อง มิตรสหาย ที่ไว้ใจไว้ ถ้าคุณมีคนที่มีความสนใจเดียวกัน ถึงวันหนึ่งการส่งมอบของเหล่านี้ต่อให้คนสำคัญของคุณ ก็เป็นทางออกที่สวยงามครับ
Post a Comment