ประวัติความเป็นมาของโนบุโอะ และนาเซอร์ ก่อนเข้า Square
โนบุโอะ อุเอมัตสึ
หลังผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมอยากเป็นนักแต่งเพลงอาชีพ แต่มันหางานไม่ได้เนี่ยสิ
ผมอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่มีศิลปินอาศัยอยู่มากมาย ทั้งนักเขียนนิยาย นักแต่งเพลงเหมือนกับผม เรามักนั่งจับกลุ่มพูดคุยและดื่มกันตอนดึก ๆ แต่ในหมู่พวกเรายังไม่มีใครมีการมีงานทำกันจริง ๆ เลยในตอนนั้น
เพื่อนคนนึงชื่อมิคิ ยูคิโนอุระ เป็นกราฟิกดีไซน์ที่บริษัทเกมเล็ก ๆ ชื่อ Square เธอทำงานให้กับเกม ๆ แรกของ Square ที่ชื่อ The Death Trap
ครั้งหนึ่งเธอก็มาถามผมว่า อยากจะแต่งเพลงให้กับเกมใหม่ชื่อ Cruise Chaser Blassty ที่พวกเขากำลังสร้างกันอยู่มั้ย? พอดีต้องการเพลงเพิ่มอีก เพราะวางแผนที่จะวางจำหน่ายเกมพร้อมกับแผ่นเสียงไวนิล ผมก็กลับมาแต่งเพลงที่บ้าน โดยใช้ 4-track Recorder และพวกเครื่องสังเคราะห์เสียงหลายเครื่อง
ตอนนั้นผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่ในร้านเช่าแผ่นเสียงใกล้กับที่ผมอยู่ในแถวฮิโยชิ เมืองโยโคฮามะ ร้านมันอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศของ Square ในตอนนั้น ด้วยเหตุนี้ผมเลยรู้จักฮิโรโนบุตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาเช่าแผ่นเสียงของ Kate Bush ไป
ในช่วงวัยนั้น มีคนแปลก ๆ เข้ามาในชีวิตผมมากมาย คนพวกที่คุณมักเรียกกันว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างอยู่ เคยมีคนหนึ่งเข้ามาพูดกับผมด้วยว่า "อุเอมัตสึซัง ชีวิตของคุณกำลังจะพลิกผัน คุณจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่" สัปดาห์ถัดมา ขณะที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ในโยโคฮามะ ฮิโรโนบุก็เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน เราข้ามมาคุยกัน เขาถามผมว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ แล้วบอกผมว่าพวกเขามีแผนที่จะทำให้ Square สมกับเป็นบริษัทจริงจังกันขึ้นมา อยากจะมาร่วมมือกันมั้ยล่ะ? นั่นคือการสัมภาษณ์ผมเข้าทำงาน ตรงถนนแถวนั้นแหละ
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ประธานมิยาโมโตะ ได้มาบอกซากากุจิว่า "ตอนนี้เราจะเป็นบริษัทที่จริงจังกันมากขึ้น" ทำให้ซากากุจิกล้าที่จะชวนคนหน้าใหม่เข้ามาร่วมขบวน ตอนที่เขาวิ่งไปหาโนบุโอะบนถนน เขาบอกว่าเราจะทำงานกันเป็นมืออาชีพมากขึ้น แล้วเพื่อให้สมกับเป็นบริษัทที่จริงจังขึ้น มิยาโมโตะเลยตัดสินใจเช่าสตูดิโอใหม่ที่ย่านหรู แถบกินซา ในโตเกียว
"Square กำลังจะย้ายไปกินซา หรือย่านแพง ๆ ใจกลางโตเกียว" นั่นเป็นประโยคที่ฮิโรโนบุเสนอผมมา ผมเชื่อว่าบริษัทจะต้องออกมาดีแน่ ทำให้ผมตอบตกลงรับงานนั้น หลังจากนั้น 2-3 เดือนเราก็ย้ายไปยังออฟฟิศหรูกันจริง ๆ เป็นอาคารสำนักงานจริง ๆ แต่ค่าเช่าก็สูงเกินเบอร์ ราว 20 ล้านเยนต่อเดือน
ถัดมาไม่กี่เดือน เราจ่ายค่าเช่าไม่ไหว เลยต้องเก็บข้าวของย้ายออกจากกินซามา
---------------------
ซากากุจิเล่าต่อ
หลังจากนั้นเราก็ย้ายไปเช่าออฟฟิศเล็ก ๆ ที่โอคาจิมาจิ ที่มีค่าเช่าเป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 ของค่าเช่าที่กินซา ก็เป็นการต่อชีวิตบริษัทไป แต่ขณะนั้น Square ก็ยังไม่มีเกมที่ประสบความสำเร็จออกมาเลย ในหมู่พวกเราก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอีกไม่นานบริษัทต้องปิดตัวลงแหง
ทว่าเราก็ยังหนุ่มแน่นนี่หว่า เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ผมก็คิดว่าก็ไปหาอะไรทำกันต่อไปก็ได้
ย้อนกลับไป ตอนยังอยูู่ที่กินซานั้น เราโชคดีอย่างนึง ประมาณ 1 ปีหลังจากผมเข้าเป็นพนักงาน full-time มา บริษัทก็จ้างนาเซอรร์ เกเบลลีมา (Nair Gebelli) เขาเป็นโปรแกรมเมอร์ชาวอิหร่านที่ย้ายไปยังอเมริกา หลังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมอิหร่านขึ้น เขาเป็นตำนานในโลกโปรแกรมมิ่งของ Apple 2 และเทพเจ้าองค์หนึ่งของผม ผมก็ไม่รู้ว่าเราไปโน้มน้าวให้โปรแกรมเมอร์นามกระฉ่อนย้ายมาทำงานในบริษัทซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ได้ยังไง
ผมได้ยินว่ามิยาโมโตะ ได้ไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา แล้วก็เจอกับนาเซอร์ในงานเลี้ยง นาเซอร์บอกว่าเขาพึ่งเลิกกับภรรยา แล้วต้องการหางานใหม่ ตอนนี้เขาถังแตก - หลังจากหย่าและแบ่งสินสมรสกันแล้ว สินทรัพย์ที่เหลืออยู่ของเขามีแค่เฟอร์รารีคันเดียวเท่านั้น!
มิยาโมโตะก็เล่าให้ผมฟัง แล้วบอกให้ผมเป็นผู้ดูแลนาเซอร์ในการทำงานที่ญี่ปุ่นด้วย ผมเลยตอบโต้ไปทันที
"กูพูดภาษาอังกฤษไม่ดร้ายยยยยยยยยยยยยย!"
พอนาเซอร์มาถึง เขาบอกว่าเขาจะกินแต่สเต็กเท่านั้น ทุก ๆ วันผมต้องพาเขาไปร้านสเต็ก ทั้งที่ผมพึ่งอายุ 23 ปีเท่านั้น
ช่วงที่อยู่ในกินซานั้น บริษัทกำลังประสบหายนะทางการเงินกันจริง ๆ เราพยายามสร้างเกมให้ Famicom แต่เราไม่มีความสามารถพอที่จะแข่งขันกับบริษัทที่ใหญ่กว่าได้
เพื่อช่วยพวกเรา มิยาโมโตะเลยรวบรวมผู้กำกับเกมขึ้นมา 4 คน และให้แต่ละคนไปเขียน Proposal มาเสนอ แล้วให้พนักงานทั้งบริษัท โหวตกันว่าบริษัทควรสร้างเกมใดใน 4 เกมนี้ เอาแบบที่คิดว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจมากที่สุด
ผมน่ะเคยเล่น Ultima และ Wizardry บน Apple 2 มาก่อน ก็อยากสร้าง RPG มานานแล้ว แต่ Square ก็มุ่งสร้างเกมบน Famicom ซึ่งเนื่องจากตลับมันไม่มีฟังค์ชันการเซฟ ผมเลยมองไม่เห็นว่าการสร้าง RPG มันจะเวิร์กได้ยังไง
แต่แล้ว Dragon Quest ของ Enix ก็ปรากฏตัวขึ้นมา มันเป็นระบบ code อันชาญฉลาดที่ทำให้ผู้เล่นสามารถบันทึกความคืบหน้าในการเล่นได้ มันเรียบง่ายแต่ก็ได้ผล
ผมจึงเสนอ Final Fantasy ต่อบริษัท ผมบอกทุกคนไปว่าถ้าเลือกเกมของผม เราจะขายได้มากกว่า Dragon Quest ทุกคนแม่งก็หัวเราะ
ทีนี้พอถึงตอนที่ทุกคนโหวตเลือกว่าอยากสร้างเกมไหน ทั้งบริษัทมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่โหวตว่า Final Fantasy หนึ่งในนั้นคือนาเซอร์!!
นาเซอร์ ที่ต้องโหวตแบบนั้นอย่างไม่มีทางเลือก เพราะผมพามันไปกินสเต็กทุกคืน!!!
ตอนนั้นนาเซอร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า RPG คืออะไร เขาเคยเขียนโปรแกรมให้กับเกม Action มาก่อนเท่านั้น ผมก็อธิบายให้เขาฟังไป นาเซอร์ก็ตอบมา "แล้วมันน่าสนใจยังไง?"
ผมก็บอกไปว่า "ทำตามที่พูดไปก่อน เดี๋ยวก็รู้วววว"
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้กำกับอีกคนที่เสนอเกมที่ไทอินกับหนัง Alien ซึ่งแค่ฟังก็รู้สึกได้ว่ามันต้องขายดีใช่มั้ย? สตาฟฟ์ทุกคนก็เห็นด้วย
ถึงกระนั้น มิยาโมโตะก็มาบอกผมว่า อนุมัติให้ผมสร้าง Final Fantasy ได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ผมต้องทำด้วยทีมงานแค่ 4 คนเท่านั้น
โชคดีที่ 4 คนนั้นคือ
- โคอิจิ อิชิอิ
- อาคิโตชิ คาวาซึ
- โนบุโอะ อุเอมัตซึ
- นาเซอร์ เกเบลลี
เราก็สร้างเกมไปด้วยกันเป็นเวลา 10 เดือน
เมื่อพูดถึง Classic Fantasy คนในยุคของผมต่างได้รับอิทธิพลจากนิยาย The Elric Saga ของ Micheal Moorcock และ The Guin Saga ของคาโอรุ คุริโมโตะ ซึ่งเป็นเรื่องราวแฟนตาซีสุดปังในยุคนั้น แล้วปกหนังสือเหล่านั้น ต่างก็ถูกวาดโดยศิลปินชาวญี่ปุ่นคนนึง
ชื่อของหมอนั่นคือ โยชิทาคะ อามาโนะ
จาก Edge ฉบับที่ 314 หน้า 60-63
Post a Comment