ประวัติฮิโรโนบุ ซากากุจิ ก่อนจะมาเข้า Square


ฮิโรโนบุ ซากากุจิ


ผมเติบโตขึ้นในสถานที่ที่เรียกว่าอิบารากิ เป็นเขตชนบททางตอนเหนือของโตเกียว

แถวบ้านของผมมีหน้าผาสูงชันอยู่ ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถม ผมมักไปที่นั่นและทุบหินเพื่อค้นหาอัญมณีและฟอสซิล

วันหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งเดินถือกระเป๋ามาหาผม เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวัน แล้วเขาก็อธิบายว่าเขาเป็นนักธรณีวิทยา

ชายชราคนนั้นเปิดกระเป๋าซึ่งเต็มไปด้วยฟอสซิลและอัญมณีล้ำค่า และถามผมว่าอยากจะแลกหินที่ยังไม่ได้เจียระไนกับหินที่ผ่านการเจียระไนแล้วหรือไม่?

หลังจากนั้นทุก ๆ อาทิตย์เป็นเวลา 2 ปี ผมจะแลกสิ่งที่ผมขุดมาได้กับชายคนนั้น จนกระทั่งผมมีหินที่ผ่านการเจียระไนแล้วจนเต็มตู้โชว์ในห้องนอน


บ้านของผมมีหนังสือมากมาย แม่ของผมจัดว่าเป็นหนอนหนังสือได้ เธอมีหนังสือเกี่ยวกับแมลงและผีเสื้อที่เขียนโดยนักนิรุกติศาสตร์ชาวอังกฤษจำนวน 20 เล่ม

ผมได้เรียนเปียโนมาตั้งแต่อายุห้าขวบ ตอนเข้าเรียนมัธยม ผมตั้งวงดนตรีของตนเองชื่อ Bichou หรือ “ผีเสื้อแสนสวย” ตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองจะโตไปเป็นนักดนตรีอาชีพ และเริ่มจัดคอนเสิร์ตที่โรงเรียนบ่อย ๆ ผมจองสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับแสดงดนตรี และไม่อยากขาดทุน เลยพิมพ์ตั๋วออกมาแล้วเอาไปขายที่โรงเรียนหญิงล้วนใกล้เคียงด้วย พอครูของผมจับได้ ผมเกือบโดนไล่ออก


ช่วงเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ตอนนั้น Apple 2 เพิ่งจะออก ซึ่งผมต้องการเครื่องหนึ่ง แต่มันราคาแพงเกินเบอร์ ผมในวัยเรียนไม่สามารถจ่ายราคานั้นได้


ผมจึงไปที่อากิฮาบาระ ซึ่งเป็นย่านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในโตเกียว ซึ่งมีสินค้าเลียนแบบราคาถูกขาย แม้มันจะโคตรแพงอยู่ดี แต่ผมก็ยังซื้อมาได้เครื่องหนึ่ง พอผมมีเครื่องแล้ว ก็อยากซื้อซอฟต์แวร์ ผมจึงจำเป็นต้องหางานพาร์ทไทม์ทำ

ตอนนั้นเองผมได้เห็นโฆษณาตำแหน่งงานของ Square ผมว่ามันเข้าท่าดี เพราะผมก็กำลังเรียนเขียนโปรแกรมในมหาวิทยาลัย คิดว่าหากทำงานนี้ไปด้วยก็คงได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่กระนั้น ผมก็ยังคงใฝ่ฝันที่จะเป็นนักดนตรี

ตอนผมเข้าร่วมบริษัท Square ก็ยังอยู่ในยุคตั้งไข่ พวกเขาเช่าร้านทำผมมาเป็นสำนักงาน เราต้องถอดกระจกออกจากผนัง แล้วก็ไม่มีคอมพิวเตอร์เพียงพอสำหรับทุกคน ก็เลยต้องผลัดกันใช้

มาซาฟุมิ มิยาโมโตะ ผู้ก่อตั้งบริษัท ทำงานในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยเคโอ ที่อยู่ติดกับร้านทำผมนั้น แผนของเขาคือการดึงนักศึกษาที่สนใจในเทคโนโลยีมาทำงานที่บริษัท แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่เคยจ้างนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนั้นมาร่วมงานเลยสักคน

ผมรับงานที่ Square ก็เพราะทักษะคอมพิวเตอร์ของผมยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน ผมคิดว่าถ้าผมลองไปรับงานที่บริษัทที่มีชื่อเสียงมาก่อนแล้วอย่าง Konami หรือ Namco ผมคงได้แค่ทำงานเล็ก ๆ เท่านั้น

ตอนนั้นคนที่สัมภาษณ์งานผมคือรองประธาน ฮิซาชิ ซึสึกิ อันที่จริงเขาก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม คือยังเด็กมากและเป็นทำงานพาร์ทไทม์เหมือนกัน มันเลยสบาย ๆ

ซึสึกิบอกว่า "เอา เอา มาทำงานด้วยกัน" สำหรับงานแรกของผม ถูกมอบหมายให้เป็นหนึ่งในทีมเขียนโปรแกรมเกมที่สร้างจากรายการทีวีชื่อ Torin-ingen ที่เป็นการแข่งขันมนุษย์วิหค คือแต่ละคนสร้างชุดมาประชันกันว่าเวลากระโดดจากท่าเทียบเรือลงสู่ทะเลแล้ว จะบินร่อนไปได้ไกลแค่ไหน แต่แล้วจู่ ๆ ทีมก็โดนยุบ โปรเจคท์ถูกแคนเซิล ภายหลังผมมารู้ว่ามิยาโมโตะไม่ได้ไปขอลิขสิทธิ์มา แล้วทางสถานีโทรทัศน์จับได้ว่าเราทำอะไรอยู่ เลยสั่งยิงทิ้ง ยุคนั้นบริษัทเราเป็นแบบนั้นแหละ มั่วซั่วกันมาก


หลังจากนั้นเราย้ายสำนักงานไปยังห้องแถวสามห้องในโยโคฮามะ สำหรับผมแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ดี เพราะเราเคยเรียนกันที่นั่น แล้วมันก็มีสถานที่ให้สังสรรค์กัน ตอนนั้นเองเราจึงได้เริ่มทำเกมแรกกัน: The Death Trap แล้วเกมอื่น ๆ ก็ตามมา แต่เราไม่มีเกมปัง ๆ เลยในตอนนั้น พูดตรง ๆ เลยว่าเจื่อน

ตอนที่ทีมทำ Torin-ingen โดนยุบ ผมได้ย้ายไปทำโปรเจคท์ถัดไปแล้วก็กลายมาเป็นผู้กำกับ มันไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่ง ผมแค่ถูกมอบให้เป็นผู้กำกับมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น

พออายุ 22 ผมก็กลายมาเป็นพนักงานประจำ ในช่วงหลายปีนั้นเราไม่ค่อยได้กลับบ้านกันนัก เราจะทำงานกันตอนกลางวันไปจนถึงเย็น แล้วก็ออกไปดื่มกัน ตอนนั้นกฎหมายไม่เหมือนกับปัจจุบัน ดังนั้นร้านเกมอาเขตจึงเปิดได้ตลอดทั้งคืน เราใช้เวลาเกือบทั้งคืนไปกับการเล่นเกม พอเช้าแล้ว เราอาจจะกลับบ้านเพื่อไปนอนสักหน่อย หรือไม่ก็ตรงดิ่งมาที่ออฟฟิศทันที

ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องใหม่ในตอนนั้น คนรุ่นผมเป็นรุ่นแรกที่สร้างวีดีโอเกม ในบริษัทก็ไม่มีใครเป็นรุ่นพี่ เราจึงสามารถตัดสินใจกันเองได้เลย อิสระเต็มที่ อยากจะทำอะไรก็ทำ

ในช่วงเวลานั้น เราจำเป็นต้องจ้างศิลปินมาวาดภาพประกอบเกมให้ เราจึงจ้างศิลปินสามคนจากมหาวิทยาลัยศิลปะใกล้ ๆ คนหนึ่งในนั้นมีเพื่อนเป็นนักแต่งเพลง วันหนึ่งเธอเล่าเรื่องเพื่อนนักแต่งเพลงวัยละอ่อนให้ฟัง ปรากฏว่าหมอนั่นทำงานอยู่ในร้านขายแผ่นเสียงที่ผมเคยแวะเข้าไปพอดี ชื่อของเขาก็คือ โนบุโอะ อุเอมัตสึ

จาก Edge ฉบับที่ 314 หน้า 59

ไม่มีความคิดเห็น