บทสัมภาษณ์ซากากุจิ ชี้ DNA ของ FF คือการสร้างโลกที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน


บทสัมภาษณ์ฮิโรโนบุ ซากากุจิ จากเว็บไซต์ Inverse เมื่อ 3 วันก่อน ผมลากอ่านผ่าน ๆ ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ไม่เห็นประเด็นสำคัญ เลยไม่ได้แปลเก็บไว้ ประกอบกับพวกในจักรวาลนักข่าวก็ไม่มีใครสนใจกัน (เพราะมันไม่มีอะไรสำคัญจริง ๆ)

ดังนั้น ผ่านไปได้เลย แต่ถ้าอยากรู้ว่าซากากุจิพูดประเด็นอะไรบ้าง ก็ตามด้านล่างนี้


- วินาทีที่แกทำ FFI เสร็จและวางขายได้ ก็รู้สึกประสบความสำเร็จมาก เพราะก็เป็นภาคแรกซึ่งไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย ไม่รู้ว่าผู้เล่นจะรู้สึกยังไงกับเกมนี้

- ส่วนภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซากากุจิเชื่อว่า FFVI น่าจะใกล้เคียงที่สุดคำนั้น เพราะเป็นภาคสุดท้ายที่ใช้ Pixel Art ถ่ายทอดภาพ

- ส่วนคำถามว่า DNA ของซีรีส์คืออะไร รอบนี้ซากากุจิ ขอตอบแปลกใหม่ว่า เนื้อเรื่องและโลกต้องเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบันของโลกเรา ที่ให้มุมมองอันแตกต่าง หรือกระตุ้นให้ผู้เล่นฉุกคิดอะไรบางอย่าง อย่าง FFVII คือตอนนั้นโลกกำลังประสบปัญหา Climate Change เลยสะท้อนมาที่ชินระซึ่งคิดค้นเทคโนโลยีมาให้มนุษย์ช่วยดูดซ้วบ ๆ ทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้โลกเสื่อมโทรมลง หรืออย่างคริสตัลใน FFXVI (ที่โยชิดะชอบเทียบเป็นบ่อน้ำมัน) หรือ FF Tactics ที่เป็นเรื่องช่องว่างของชนชั้นทางสังคม คนรวยกับจน, FFX คือการแพร่หลายของศาสนจักร (เยวอน)  และความพยายามแหกกติกาของสังคม เกมเหล่านี้คือเอาหัวข้อมาจากสิ่งที่กำลังแพร่หลายในโลกยุคนั้น

- ซากากุจิคิดว่า ถ้าตัวเองยังเป็นหนุ่ม และพึ่งเข้าสู่วงการในฐานะ Dev ตอนนี้ ก็คงมุ่งไปทำเกม Multiplayer เพราะมันคือเทรนด์ของวงการ ทว่าตัวเขาเองมีจุดกำหนดมาจากเกม Single Player สไตล์และไอเดียการทำเกมทาง Single Player เลยถูกขัดเกลาสะสมเรื่อยมาจนสุกงอม เขาก็เข้าใจว่าวงการมันเปลี่ยนไปยังไง แต่คนเราก็ต้องลุยไปตามจุดแข็งของตัวเอง

- เรื่องรีเมค แม้ซากากุจิไม่เคยรีเมคอะไร แต่แกก็ชี้ว่าเกมรีเมคมันมีพื้นที่ในตลาด มีคุณค่าของมัน ในแง่การพัฒนาเกม เกมรีเมคนั้น มีเกมเพลย์/โลก/ตัวละคร/งานหลายอย่างที่คิดไว้พร้อมอยู่แล้ว มันก็ไม่ต้องเอาพลังงานและทรัพยากรไปลงในส่วนนี้มาก

- ซากากุจิชี้ว่า เทรนด์การเล่นเกมสมัยนี้ มันกลายเป็นเล่นให้คนอื่นชม เพราะการกำหนดของ Youtube, Twitch และ Streamer แนวโน้มนี้คงดำเนินต่อไปอย่างทวีคูณขึ้น เกมจะกลายเป็น platform ให้ผู้เล่นถ่ายทอดตัวตนของตัวเองออกมา

- พูดถึงกระแสที่ค่ายใหญ่ เปลี่ยนไปทำเกม Multiplayer, Live Service, เกม Indies กำลังเติบโต, ค่ายต่าง ๆ เริ่มปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก ซากากุจิมองว่ามันก็เหมือนคลื่นลูกใหม่ ตอนนี้มันง่ายที่จะชี้นิ้วโทษไปที่งบประมาณและการปลดพนักงาน แต่วงการเรา กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ดังนั้น แทนที่จะไปกลัวคลื่นความเปลี่ยนแปลง เขาจะอยู่เหนือคลื่นและทำบริษัทไปด้วยความสนุก แล้วดูว่าจะต้องรับมือความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

- ซากากุจิทิ้งท้ายว่า เขาติดพันกับ Mistwalker มาก เมื่อไหร่ที่เขาเกษียณ Misterwalker ก็คงแทบไม่ได้ทำอะไรออกมาอีกต่อไปแล้ว ไม่น่าจะทำเกมต่อไปได้ แต่ถ้า Mistwalker อยู่ในสภาพนั้นสักสองปี แกก็อาจจะกลับมามีไฟช่วยคิดอะไรอีกครั้ง


https://www.inverse.com/gaming/fallout-outer-worlds-vertical-slice-tim-cain

ไม่มีความคิดเห็น