ความประทับใจจาก FFXVI - The Rising Tide


ช่วงนี้งานเยอะครับ เลยพึ่งจะได้กระดึ๊บมาจบ The Rising Tide (แบบพิมพ์ไปด้วยได้ 16 หน้า)

ความรู้สึกในช่วงแรกของ DLC นั้นเนือยมาก แต่เกมมันค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ขึ้นมาเรื่อย ๆ และก็รู้สึกว่าเราได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันพอสมควร โดยรวมแล้วสิ่งที่ผมประทับใจคือ


1. เพลงของมาซาโยชิ โซเคน เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ เร้าอารมณ์ ยิ่งใหญ่... เกมสนุกขึ้นได้อีก 300% เพราะพลังของโซเคนแท้ ๆ สมแล้วที่พา FFXVI คว้ารางวัล Best Score and Music มาได้... ชั่วโมงนี้โลกโชคดีมากที่แกหายจากมะเร็งมาได้ และมาแต่งเพลงให้ FFXVI ต่อจนจบ

จนบางทีผมก็คิดนะว่าถ้าปิดเพลงไปเลย มันจะกลายเป็นเกมกากไปเลยมั้ยนะ....


2. การปะทะกับพญานาค หรือลิเวียธาน...

ใน FFXVI มันตั้งใจทำบอสไฟต์กับ Eikon ต่าง ๆ มาให้มีหลายเฟส มีลูกเล่นพอสมควร แล้วก็โม้ให้ดูว้าวที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม

ซึ่งไฟต์กับพญานาค มีทั้ง DPS Check, เอฟเฟคท์ฝน น้ำทะเลกระจุยกระจาย, หลายเฟส, กลางน้ำ บนน้ำ ฟ้าเปลี่ยนสี สายรุ้ง คือแบบบ้าบอมาก


3. การผูกเรื่อง

หลังเล่นจบ พอจะได้ข้อสรุปเลยว่า Echoes of the Fallen และ The Rising Tide ถูกเขียนซีนาริโอขึ้นพร้อมกัน เลยมีโครงเรื่องที่พันกัน รับส่งกัน และทำหน้าที่เล่าเรื่องของ Eikonoklastes และลิเวียธานได้สมบูรณ์ในตัวมันเอง

ผมทึ่งมากตอนที่รู้ว่าฟามีลก็คือน้องของชูล่า.... ตอนนั้นเองผมย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ฟามีลพูดทั้งหมดใน Echoes of the Fallen ว่าเขาเป็นชนเผ่าโบราณเผ่าแรกที่บ้านเกิดกลายเป็นโซนดำ ทำให้ต้องร่อนเร่ไปมาทั่วแผ่นดิน แล้วใช้คริสตัลดำเลี้ยงชีวิตหมู่บ้านมาเรื่อย ๆ

นั่นทำให้ผมรู้สึกพลาดมาก ที่ในเมื่อตัวเองทั้งอ่าน timeline ในอัลติมาเนียมาหมดแล้ว แต่ตอนเห็น PR ของ The Rising Tide และเห็นเผ่าวารี เห็นชูล่า ผมกลับไม่เอะใจเลยว่าชนเผ่าโบราณที่บ้านเกิดกลายเป็นโซนดำก่อนใครเพื่อน ก็คือเผ่าวารีนั่นแหละ

แล้วมันก็ดันไปจงใจเฉลยเอาตอนท้ายของ The Rising Tide ด้วยนะ แสดงว่ามาเอฮิโระจงใจทิ้งเวลาไว้ให้คิดนานเลย แต่ผมกลับตกผลึกไม่ได้ 5555

เดี๋ยวจะมาสรุปสั้นและสรุปยาวอีกที แต่ใจความเรื่องก็คือ เผ่าวารีต้องหลบซ่อนจากโลกภายนอก เพราะเคยโดนศาสนจักรกรีกอร์ไล่ฆ่ามาก่อน เนื่องจากชาววารีไม่ยอมทิ้งความเชื่อเดิมและหันมานับถือพระแม่กรีกอร์ ช่วงที่ซันเบรกกำลังก่อร่างสร้างประเทศและต้องการกำจัดคนเห็นต่างที่อาจมาท้าทายอำนาจ เลยฆ่าเผ่าวารีไปเกือบเหี้ยน พวกที่มีชีวิตเหลือรอดมาได้ เลยมาหลบซ่อนในดินแดนทางเหนือส่วนที่ไม่กลายเป็นโซนดำ และอยู่แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีการแบ่งแยกกดขี่คนกับแบร์เรอร์ สังคมของชาววารีกลายเป็นตัวอย่างสังคมที่มนุษย์กลับมาเท่าเทียมกันได้ก่อนโลกภายนอก.... เพราะพวกเขาต้องเผชิญมรสุมด้วยกัน

ไคลฟ์ได้เข้ามาในหมู่บ้านของชาววารี ให้พวกเขาได้คลายผนึกเวลาที่ผนึกโดมิแนนต์ของลิเวียธานไว้มากว่า 80 ปี แล้วไคลฟ์ก็รอรับมือกับลิเวียธานที่คลุ้มคลั่ง ป้องกันไม่ให้ทุกอย่างสูญสลายไปกับซึนามิ

ในตอนท้าย ชูล่ารู้แล้วว่าอีกไม่ช้า คริสตัลดำที่สต็อคไว้จะหมดลง พวกเธอจะไม่สามารถซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้อีกต่อไป ก็ต้องกลับเข้าสู่สังคมโลกอีกครั้ง แต่โลกมันพร้อมจะยอมรับพวกเธอหรือ? ขนาดพวกไคลฟ์ยังอยู่กันแบบหลบซ่อนในรังลับเลย

แล้วไคลฟ์ก็บอกว่า "โลกมันเลยจุดที่จะช่วยได้ไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ คือดิ้นรนเปลี่ยนแปลงโลกที่เหลืออยู่ ให้เป็นโลกที่คนจะมีชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน"

สิ่งที่ไคลฟ์พูด มันทำให้ผมนึกถึงคำถามที่คนมักจะเถียงกันว่าคนเราเท่าเทียมกันหรือไม่?

แน่นอนว่า ธรรมชาติมันสร้างมาให้สรรพสิ่งไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้วล่ะ แต่ไคลฟ์ก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ไม่แฟร์ที่มีคนสูงส่งกว่า คนต่ำกว่า คนที่กดขี่คนอื่นได้ คนที่สั่งให้คนอื่นตายได้...

เพราะไคลฟ์ผ่านชีวิตมาทุกรูปแบบ ตั้งแต่เกิดมาเป็นเจ้าชาย แล้วตกอับโดนจับไปเป็นทหารทาส หนีทัพกลายมาเป็นพวกนอกรีต ชาติตัวเองโดนยึดครองไปแล้ว หมู่บ้านที่ให้ที่ซุกหัวนอนตัวเอง ยังโดนฆ่าล้างหมู่บ้าน แล้วบางครั้งก็มีคำสั่งสั่งหารหมู่แบร์เรอร์แล้วจับมัดเสาแขวนห้อยหัวประจาน ต่อหน้าต่อตา...

ภาพติดตาในวันนั้น กลายเป็นแรงขับดันที่ฝังลงไปในใจไคลฟ์ว่า ทุกคนต้องมีสิทธิเลือกที่ตายของตัวเอง... นั่นคือความเท่าเทียมกันของมนุษย์

ด้านชูล่าเอง ก็กังวลกับเรื่องนี้ และแม้จักรวรรดิซันเบรกจะล้มไปแล้ว ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าชาววารีจะวางใจได้ แต่เธอก็รู้ว่าศาสนจักรกรีกอร์ ไม่ใช่แค่จักรวรรดิ แต่มันคือผู้คนมากมายที่เกิดและเติบโตมาท่ามกลางความเชื่อแบบนั้น

"ถึงจักรวรรดิจะล่มสลายไปแล้ว แต่ความเชื่อเดิมยังคงอยู่ ความเชื่อว่าคนนึงสูงส่งเหนือกว่าอีกคนนึง การเข่นฆ่าคนที่ต่ำกว่าคือความชอบธรรม ความเชื่อนั้นแหละทำให้พวกเธอเดือดร้อน และใจคนมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ "

โดยรวมแล้ว The Rising Tide จึงเป็นเรื่องราวที่มีหัวใจหลักเหมือนกับเนื้อหาหลักของ Final Fantasy XVI เลยคือ โลกมันเดินทางมาอยู่ในจุดที่คนเราไม่เท่าเทียมกัน โลกใบนี้มีความเชื่อว่าคน ๆ นึงสูงส่งกว่าอีกคน มีความเชื่อว่ามีคนที่แตะต้องไม่ได้ มีความเชื่อว่ามีคนที่ทุกคนต้องกราบไหว้บูชา ความเชื่อต่าง ๆ สังคม ศาสนา กฎหมาย มันก็ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อหล่อเลี้ยงระบบที่คนไม่เท่ากันนี้ ให้ดำรงสืบไป

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ในเมื่อก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันมีคนบริสุทธิ์มากมายต้องตายเพราะระบบนี้ ในเมื่อภาพที่ชาวแบร์เรอร์ใน Auldhyl โดนจับห้อยหัวโชว์เป็นหมู่คณะ มันจะปรากฏขึ้นในใจอยู่เสมอ เราก็ต้องตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ และพยายามที่จะดิ้นรนเปลี่ยนแปลง ให้โลกที่คนไม่เท่าเทียมกันนี้ กลายเป็นโลกที่คนจะใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

ชูล่าเองก็รู้ว่า เรื่องความเชื่อนั้น มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันได้ง่าย ๆ มันฝังรากลึกลงไปในสังคมศาสนาวัฒนธรรมกฎหมายมาลึกซะขนาดนี้...

แต่ทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ก็มีจุดสิ้นสุด และการเริ่มต้นใหม่ เฉกเช่นเดียวกับ ฝนจากสวรรค์ที่จะตกลงบนภูเขา มาสู่ลำธาร ไหลลงทะเล ก่อนที่จะหวนคืนสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง...

ในเมื่อชาววารี เผชิญผ่านมรสุมกันมา แล้วอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะเลิกที่จะแบ่งแยกสูง-ต่ำกัน ไม่มีการกดขี่แบร์เรอร์อีกต่อไป หันมามองว่าคนเราทุกคนเท่าเทียมกัน ร่วมมือกัน

นั่นคือลางบอกเหตุจากมาเอฮิโระ ที่อยากจะสื่อว่าท้ายที่สุดแล้วในยามที่มนุษย์เผชิญผ่านความยากลำบากครั้งใหญ่ด้วยกัน ดั่งโลกวาลิสเธียในช่วงท้ายเรื่อง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ก็จะทำให้พวกเขาเลิกแบ่งแยกกัน และกลับมาร่วมแรงร่วมใจ เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคนั้นไปได้

เพราะโลกที่เป็นอยู่มันไม่เท่าเทียมกัน เราถึงต้องส่งต่อความคิดนี้ต่อไป ความคิดของซิดที่ว่า คนเราต้องเท่าเทียมกัน...

ไม่มีความคิดเห็น