ฮามากุจิเผยงานท้าทายของ FFVIIR ภาคสุดท้าย คือการ rebuild โลกให้รองรับ Highwind
บทสัมภาษณ์จาก The Washington Post
โยชิโนริ คิตาเสะ
- คิตาเสะบอกว่า หาก Rebirth เป็นเกม Multiplatform แต่แรก ก็จะไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้ หมายถึงว่า การมุ่งพัฒนาแบบ console exclusive เพื่อ PS5 โดยเฉพาะ ทำให้ง่ายต่อทีมงานในการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยภูมิประเทศอันหลากหลาย ดินแดนในร่มและในที่แจ้ง เต็มไปด้วยกิจกรรมให้ทำมากมาย แคแรคเตอร์และศัตรู ทั้งหมดนี้ไม่มี loading screen มากวนใจ ในขณะที่หากทำเกมแบบ multiplatform มักจะเพิ่มงาน และทำให้ต้องโฟกัสกับการพอร์ทมากกว่าการสร้าง game design
- ถ้าเป็นลงเครื่องเดียว ตัว Worldmap จะไม่ไร้รอยต่อ และเกมเพลย์จะถอยหลังไปกว่านี้
- การพัฒนาอันรวดเร็วของ Rebirth เกิดจากการที่ทีมงานเดิม 80% ของ Remake ยังคงอยู่ทำภาคต่อ แล้ว Remake ยังสร้าง digital asset ที่เอามาใช้ในภาคต่อได้ ทำให้ทีมงานไม่ต้องมาทำงานกรรมกรที่ผลาญเวลาหนัก เช่น การสอนทีมงานใช้ tool ต่าง ๆ
- คิตาเสะบอกว่าฮามากุจิจะต้องเป้าหมายและทำความเข้าใจกับทั้งทีมแต่เนิ่น ๆ แล้วเป้าหมายนั้น จะแบ่งเป็น midterm goal สำหรับทุก ๆ 3 เดือน และก็ต้องมีการสื่อสารอัปเดตกันเรื่อย ๆ
นาโอคิ ฮามากุจิ
- กำลังทำ design document สำหรับองค์ประกอบหลักของภาคสุดท้าย
- งานส่วนใหญ่ทำไปแล้ว เพราะสร้างโลกเสร็จไปใน Rebirth แล้ว
- งานท้าทายของภาคสุดท้าย คือการ rebuild โลกให้รองรับเรือเหาะยักษ์ ไฮวินด์ และอยากสร้างประสบการณ์ท่องไปบนโลกด้วย Highwind ให้ได้อย่างที่คาดหวังไว้
- FF แบบ offline ไม่ได้คะแนนสูงแบบนี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว (ฮามากุจิพุดถึง Metascore 92 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่เทียบเท่าสมัย FFXII (2006) และเป็นรองแค่ FFIX (2000) ที่ได้ 94 คะแนน) ฮามากุจิบอกว่านี่เป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับ Remake Project ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต
- ฉากจบของ Rebirth จะนำไปสู่การตีความหลากหลาย รวมถึงทีมงาน และตัวฮามากุจิเองด้วย
Christian Svensson (จาก Sony)
- ตั้งแต่สมัย PS1 ที่เรายังมีเกมของตัวเองน้อย การจะมีจุดยืนในวงการเกมที่การแข่งขันดุเดือด เราก็อยากชนะใจ 3rd party dev อย่าง Square นั่นก็เป็น DNA ของเราจนทุกวันนี้ เราจึงติดต่อเพื่อร่วมมือในการสร้าง FFVII Rebirth ออกมา
- FF เป็นหนึ่งในเสาหลักของ PS มาตลอด
Post a Comment