บันทึกการเล่น FFVII Rebirth วันที่ 8

ลานบินคอสโมแคนย่อน

  • ไปจับ Aponi มา
  • ยุฟฟีไม่เมาโจโคโบะ รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอแพ้แค่พวกยานพาหนะของชินระ
  • เคทถามว่าเซฟิรอธที่กลับมา ทำได้ยังไง และต้องการอะไร? 
  • คลาวด์บอกเขาอยากจะช่วยดวงดาว โดยไม่สนใจว่าทุกคนจะตายไปด้วนหรือไม่
  • เคทบอกโคตรบ้าบอ แต่ถ้ามีดวงดาวที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่ มันก็ไร้ค่าสินะ
  • แบร์เร็ตบอกไหนจะมีพวกที่ไม่ยอมหยุด จนกว่าเลือดของดวงดาวจะแห้งหมดตัวอย่างชินระ และถ้าเคทคิดแทงข้างหลังพวกเราล่ะก้อ พ่อจะกอดและรัดให้ตายเลย

คอสโมแคนย่อน

  • เรดใช้เสียง 2 วิ่งกลับหมู่บ้าน บอกว่ากลับมาแล้ว
  • รปภ. บอกให้ไปทักทายบูเกนฮาเกนสิ
  • รปภ. บอกเมื่อเช้ามียานบินหย่อนโปสเตอร์ประกาศจับคนวางระเบิดเตาให้ดู แต่เออ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนายเนอะ ต่อให้นานาคิไม่ได้รับประกันให้ก็ตาม แล้ว รปภ. ก็ยื่นโปสเตอร์ให้ดูว่าหน้ามันเปลี่ยนไป




  • เคทแอบทำหน้าภูมิใจ
  • ชาวบ้านบอก กังหันลมสร้างพลังงานให้เรา
  • มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
  • เจอ Robin นักเล่นการ์ด เป็นทหารเก่า เป็นใบ้จากสงคราม ใช้ภาษามือ SSL Shinra Sign Language
  • แม่น้ำแห่งแสงมีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ยุคเซทร่า
  • มีเดินจงกลมรอบกองไป
  • แชดลีย์บอกว่าดวงดาววิทยา ปฏิเสธสังคมการใช้มาโค ยืนยันว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับโลกใบนี้ 
  • โรงแรม Syldra เอาชื่อมาจากมังกรในตำนาน



  • เรดบอกเขาเกิดและโตทีนี่ เป็นผู้ดูแลหุบเขาเหมือนกับรุ่นก่อน ๆ จนกระทั่งชินระจับไป ตอนนี้กลับบ้านแล้ว ชดใช้หนี้ให้พวกนายแล้ว ก็กะจะรับใช้หมู่บ้านอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างมาก หวังว่าจะมีเวลาด้วยกันมากกว่านี้ แต่นี่เป็นหน้าที่
  • ส่วนไอ้ที่ดัดเสียง เพราะอยากให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แบบสุนัข
  • แบร์เร็ตบอกไปเรียนความลับของดวงดาววิทยากันเถอะ เคทไปนอน ยุฟฟีไปหามาเทเรีย
  • เจอ Ka’dina เป็นนักดวงดาววิทยาที่เล่นการ์ด
  • แบร์เร็ตบอกคนไม่รู้ว่าดวงดาววิกฤต ถ้าคนที่นี่เห็นเวพ่อนใกล้ชิดแบบพวกเราก็จะเข้าใจ พวกเขาคงปรารถนาสิ่งดี ๆ เพื่อโลกเหมือนกัน คงยังไม่สายที่จะชวนเข้าอวาแลนซ์



  • ที่นี่เต็มไปด้วยพลังชีวิตตั้งแต่โบราณ
  • มีคลาสสัมมนาดวงดาววิทยา รับเฉพาะคนที่ถูกรับเชิญจากเมมเบอร์เดิมเท่านั้น
  • บูเกนฮาเกน ขอบคุณที่เราดูแลเรดให้ เขาเป็นครูสอนดวงดาววิทยาในหุบเขา




  • เรดบอกกูอายุ 48 แล้ว ไม่ใช่เด็ก แต่บูเกนบอกว่าเทียบกับคนก็อายุ 15-16 เอง
  • เรดบอกว่าเขาแก่พอที่จะปกป้องหุบเขาและทุกคนได้แล้ว ไม่เหมือนพอที่ไม่มีชิ้นดีของเขา
  • บูเกนบอกให้ไปแจ้งการกลับมาให้คอมมูฯ ไป
  • เจอเจอบันทึกการผันผวนของพลังงาน
  • งานวิจัยครึ่งนึงของที่นี่ เป็นฝีมือของ ศจ.กัสต์ (ออกเสียงแกสต์)
  • เจอพวกหินที่เป็น ผลึกความทรงจำของดวงดาว
  • เจอลูกโลก ฝุ่นที่เกาะ ก็เหมือนผู้คนบนดาว
  • บูเกนบอกนานาคิไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอก หวังว่าการเดินทางกับเราจะเปิดโลกให้เขา



  • เจอเครื่องตรวจจับมาโครุ่นแรกสุด
  • เจอเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แบบเก็บเกี่ยวพลังลมมาผลิตกระแสของตัวเอง
  • มีกล้องโทรทัศน์ยักษ์ ส่องได้ยันสุดขอบจักรวาล



  • ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมา บูเกนบอกว่าเป็นเสียงดวงดาวโหยหวนด้วยความเศร้า บูเกนได้ยินบ่อยในพักหลัง เลยมีเครื่องสำหรับฟังเสียงของดวงดาว
  • ทิฟาบอกว่าแต่เสียงที่เราได้ยินเมื่อกี้ ไม่ได้มาจากดวงดาว เป็นเสียงของเวพ่อน เห็นมากับตา ทั้งที่ก็องกาก้าและโคเรล
  • บูเกนหัวเราะ แล้วบอกว่าความหลงผิดแบบนั้นอาจมาจากพิษมาโคได้ ไปหาหมอนะ ฟังจากที่พูดแล้วเหมือนพวกเธอสามคน ไม่รู้เรื่องพื้นฐานดวงดาววิทยาเลย
  • บูเกนพาไปท้องฟ้าจำลอง แม้ของที่ตึกชินระจะมีเทคโนโลยีล่าสุด แต่ของบูเกนเป็นออริจินอลของตัวเอง





  • บูเกนอธิบายว่า ดวงดาววิทยา ไม่ได้แค่ซึ่งศักษาจักรวาลและสสารในอวกาศ แต่ยังทำความเข้าใจวัฏจักรชีวิต แผ่นดินอุดมด้วยสรรพชีวิต มนุษยชาติเกิดขึ้นมา มนุษย์มีชะตาที่ต้องตายเหมือนทุกสรรพสิ่ง ร่างกายเหี่ยวเฉา กลับคืนสู่ดวงดาว แต่จิตวิญญาณก็เหมือนร่างกาย คือกลับสู่ที่ ๆ จากมา สายธารใหญ่ที่ไหลเวียนรอบดวงดาวไม่จบสิ้น วัฏจักรของการบรรจบและแยกทาง กระแสนั้นคือไลฟ์สตรีม เป็นชื่อที่ดี แม้มันจะเหมือนอ่างน้ำมากกว่าลำธาร รวมไว้ซึ่ง spiritual energy ของดาวทั้งดวง นั่นคือแก่นแท้ของดวงดาวของเรา เลือดที่ไหลเวียนอยู่ของดวงดาว แล้วถ้ามันหมดไป (ดวงดาวกลายเป็นผุยผง) 
  • คลาวด์สรุปว่ามาโคก็คือ spiritual energy ที่เรากำลังใช้ให้หมดไป
  • บูเกนบอกการดูดจากดาวมาใช้ในอุตสาหกรรม พลังงานนั้น ไม่อาจทำหน้าที่แท้จริงของมันได้อีกต่อไป ไปเป็นพลังงานให้เครื่องจักร และหายไป
  • ทิฟาถามว่ามันหายไปจริงเหรอ? เป็นไปได้มั้ยว่า มันก็กลับคืนไลฟ์สตรีมในรูปแบบอื่น
  • บูเกนแซะว่าทฤษเฎาดั่งนิยายแบบนั้น แสดงว่าขาดความเข้าใจ ต้องให้เวลาและการศึกษา ว่าแล้วก็ปรบมือเรียกผู้ช่วยมาพาทิฟาไปคลาสสัมมนา แล้วแอริธขอไปด้วย
  • คลาวด์ถามว่าถ้าพลังงานหมด ทุกอย่างบนดาวก็จะตายใช่มั้ย? บูเกนบอกใช่ คลาวด์ถามว่าทำให้ spiritual energy แข็งแรงขึ้นได้มั้ย? บูเกนโวยว่ามาถามอะไรแบบนั้น
  • บูเกนขอโทษ บอกว่าตัวเองเหมือนติดอยู่กับอดีต เรามาถึงยุคนี้มนุษย์พยายามอยู่เหนือธรรมชาติแล้ว ดวงดาวกับสังคมก็วิวัฒนาการ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าเกินไป แต่เขาทำไม่ได้ บางทีคงเหมือนหมาแก่ ที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ถูกใจคำอธิบายของเขา การสัมมนาคงให้ประสบการณ์ที่เห็นชอบกว่า
  • ในสัมมนา เจอพวกแชร์ประสบการณ์กัน แต่ก็เหมือนมีแต่การพูดจากความเชื่อส่วนบุคคลกันทั้งนั้น




  • มีคนเชื่อว่าพ่อแม่ที่จากไปแล้วอยู่ภพอื่น เป็นทฤษฎีโลกอื่น ซึ่งวิเคราะห์ว่าไลฟ์สตรีมคือะไรกันแน่อ  คือในเมื่อ spiritual energy คือความรู้และความทรงจำของเรา แล้วความฝันและความหวังของเราล่ะ มันก็เป็นความทรงจำไม่ใช่เหรอ? เป็นไปได้มั้ยว่า spiritual energy ไม่ได้แยกระหว่างความทรงจำจากการใช้ชีวิตจริง ๆ กับความปรารถนานามธรรมที่อยู่ในหัวใจทุกคน เ้ป็นไปได้มั้ยว่าการสัมผัสพลังงานเหล่านั้น จะทำให้เราเหมือนมองลูกแก้วทำนาย หวังว่าจะพบความจริงสักวัน
  • ทิฟาเล่าบ้างว่า เธอตกลงไปในไลฟ์สตรีม มันสวยงามมั้ง มีความรู้สึกอ่อนโยนมากมายพัดเข้ามา ความจำที่ลืมไปนานแล้วหวนคืน เป็นที่ ๆ อบอุ่น แต่ก็มีความขัดแย้ง มีสงครามระหว่างดวงดาวกับศัตรู฿ ที่จะปล่อยให้พวกมันชนะไม่ได้ เราต้องปกป้องดวงวดาว ดวงดาวก็ต้องการเรา เราต้องลุกขึ้นสู้กลับ ซึ่งไม่รู้จะทำไง หวังว่าคุณ ๆ จะมีคำตอบ เธอไม่ได้จะวิพากษ์ดวงดาววิทยา และไม่ได้จะทำให้ใครกลัว
  • ทุกคนปรบมือให้
  • เลิกสัมมนา ให้ทุกคนไปที่กองไฟ พิธีแม่น้ำแห่งแสงใกล้จะมาถึงแล้ว พิธีนี้มีปีละครั้ง ทำให้ใกล้ชิดดวงดาวมากขึ้น เป็นการรวบรวมวิญญาณ ส่งกลับดาว
--------------------------------

เมื่อคืนวิ่งอยู่คอสโมแคนยอน ผมรู้สึกบูเกนแกบุคลิกเหมือนคนแก่อีโก้สูงที่ไม่น่ารักเลย

- เริ่มจากทิฟา บอกว่าไอ้เสียงร้องเนี่ยมันเสียงของเวพ่อน ไม่ใช่เสียงของดวงดาว พวกเราเห็นเวพ่อนตัวบะเอ้กมากับตา แบบเผาขนสุด ๆ ถึงรู้ > บูเกนหัวเราะ  บอกทิฟาหลงผิด เป็นเพราะพิษมาโค แล้วบอกให้ไปหาหมอ

- บูเกน บอกว่าพวกคลาวด์ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องดวงดาววิทยาเลย แล้วก็พาไป educate ซะเดี๋ยวนั้น

- ผมว่าถึงเราเห็นใครไม่มีความรู้เรื่องหนึ่งเลย แต่ในเมื่อพวกคลาวด์ไม่ได้พูดด้วยความโอ้อวด แต่พูดด้วยความไม่รู้จริง ๆ บูเกนก็ควรแนะนำเขาดี ๆ ใช้แค่คำว่ามันไม่ใช่แบบนั้น และอธิบายว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร อ้างอิงอะไร พิสูจน์ได้อย่างไรก็พอแล้ว ไม่ใช่ไปใช้คำว่า "พวกเธอไม่มีพื้นความรู้เลย" แบบนี้มันหยามกัน เป็นการพูดที่เคลือบพลังลบของการดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าไว้

- พอทิฟาถามว่าเราใช้มาโคแล้ว ทำให้ spiritual energy หายไปเลยเหรอ? มันเป็นไปได้มั้ยที่จะกลับคืนดวงดาวในรูปแบบอื่น? บูเกนก็แซะก่อนเลยว่า "ทฤษฎีดั่งนิยายแบบนั้น แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจ ควรต้องใช้เวลาและการศึกษา ถึงจะก้าวผ่านได้" ผมฟังแล้วอยากจะเตะบูเกนให้ร่วงลูกแก้วลงมา

- ต่อมาบูเกนก็ปรบมือ เรียกลูกศิษย์มาพาทิฟา ไปเข้าคลาสสัมมนา.... คือมึงไม่รับฟังเหตุและผลใด ๆ เขาไม่เปิดโอกาสให้เขาชี้แจงเลย มึง judge ว่า้เขาผิด กูคือความถูกต้อง และจับทิฟาไปปรับทัศนคติทันที

- ไอ้คลาสสัมมนาเนี่ยก็ไร้สาระ อย่าเรียกว่าสัมมนาเลย เหมือนสภากาแฟที่มานั่งคุยทฤษฎีสมคบคิดกันมากกว่า ผมก็นึกว่าจะคุยกันแบบวิชาสัมมนาในปริญญาโท ที่โยนหัวข้อมา เปิด โอกาสให้ทุกคนโต้เถียงกันด้วยเหตุผลเต็มที่ แต่สิ่งที่เห็นกลายเป็น ต่างคนต่างมาเล่า "ความเชื่อ" ที่ไม่มีเหตุผลรองรับ ที่พิสูจน์ไม่ได้ ของตัวเอง แล้วใครที่ฟังอยากจะเชื่ออะไรก็ตามใจ ไม่มีการถกเถียงโตแย้ง เหมือนกับว่าคนพวกนี้อยู่กันแบบงมงาย เอาความเชื่อความศรัทธาเป็นที่ตั้งล้วน ๆ ซึ่งไร้สาระ

- ผมทนฟังจนจบแล้ว อยากจะส่งบูเกน ไปเข้าคลาสสัมมนาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันบ้าง ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว มึงยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางได้ยังไง.... การจะพัฒนาความคิดคน ไม่ได้ทำกันแบบนี้ การพัฒนาคือการโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ตรวจสอบโต้แย้งได้

- พอคลาวด์ถามว่าถ้า spiritual energy หมดแล้วดวงดาวจะตาย งั้นเราทำให้ spiritual energy ของโลกเข้มแข็งขึ้นได้มั้ย? คือคลาวด์มันก็ถามแบบตาใสจริง ๆ แต่บูเกนก็ปรี๊ดแตกว่ามาถามอะไรแบบนั้น (ในเชิงโกรธที่มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติได้ยังไง)

- พอบูเกนหลุดขึ้นเสียงดัง ก็ยังดีที่เขารีบขอโทษที่เสียมารยาท เขายอมรับว่าตนเหมือนหมาแก่ที่ตามโลกไม่ทัน เขารู้ว่าตอนนี้โลกมาถึงยุคที่มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติแล้ว วิทยาศาสตร์และสังคมมันก้าวหน้าไปไกล แต่เขายังติดอยู่กับอดีต (ที่มนุษย์ยอมปรับตัวให้ธรรมชาติ)

- สรุป คนแบบบูเกน สมควรโดนเตะตกลูกแก้ว และควรจับแกไป educate ดูงานสัมมนาจริง ๆ ดูบ้าง ไม่ใช่ปล่อยแกเป็นแกนนำลัทธิ ที่พอใครซักถามก็แซะว่าเขาขาดความรู้ความเข้าใจ ไร้พื้นฐาน และจับคนอื่นไปปรับทัศนคติอย่างเดียว คนแบบนี้มิอาจขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวหน้าได้

ไม่มีความคิดเห็น