บันทึกการเล่น FFXVI วันที่ 11

[เควสต์วิเวียน]


  • ให้ช่วยตามหาตำรา From the Distance ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอมาเป็นนักวิชาการ
  • ฮาร์โปคราเตสบอกเป็นไปไม่ได้หรอก มันมี Executor, Covetors of Secrets องค์กรลับที่เก็บรวบรวมตำราต้องห้าม และเทคโนโลยีต้องห้าม ตำราอย่างที่วิเวียนต้องการ บันทึกประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของการกดขี่แบร์เรอร์เป็นทาสไว้ มันเป็นเรื่องที่อาจจะพลิกกฎเกณฑ์ของสังคมที่มีอยู่ได้ หากข้อมูลถูกเผยแพร่ออกมา เขาลือกันว่างั้นนะ พวกมันอยู่ในเงามืด โผล่มาแค่เอาของที่จะเอา ตำรา สิ่งประดิษฐ์ ผู้คน ก่อนที่จะหายไป
  • ไคลฟ์บอกว่าเพราะงี้ฉบับของวิเวียน ถึงหายไปโดย Executor หลังจากเธอได้มาไม่นานสินะ แล้วเขาทำไปทำไม? ประโยชน์ส่วนตัวหรืออุดมการณ์?
  • ฮาร์โปคราเตสบอกว่าทั้งจุดกำเนิด จำนวน ผู้นำองค์กร เขามีแต่ทฤษเฎาเท่านั้น ทว่าเรื่องราวของ Executor ก็มาจากปากนักวิชาการฝั่งทวีปพายุ แต่แทบไม่มีจากอีกฝั่งเลย เขามีเพื่อนในหมู่บ้าน Garnick นักสะสมตำราโบราณ แต่แทบไม่ได้ข่าวอีกเลยนับจากท้องฟ้าวิปริต เพื่อนคงกลายร่างไปแล้ว แต่แม้เพื่อนไม่เคยเอ่ยถึง มันอาจจะมีตำรา From the Distance อยู่ในชั้นหนังสือของเพื่อน รอคอยให้ค้นพบอย่างเงียบ ๆ ถ้าสามารถไปช่วยหนังสือจากห้องสมุดของเพื่อนได้ วิญญาณของเพื่อนคงเป็นสุข
  • From a Distant - Chapter XVI : The Fall of the Bearers การปรากฏตัวของผู้ใช้เวทมนต์ช่ำชองครั้งแรก ถูกเลื่องลือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า ต่อมาคนที่ได้รับของขวัญนั้นถูกเรียกด้วยคำย่อของ “ผู้รับพรจากสวรรค์” (Bearer of the Heavenly Blessing - เลยเป็นที่มาของการเรียกว่าแบร์เรอร์) ซึ่งเป็นคำที่นักบวชในสมัยนั้นใช้เรียก ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพร ได้รับการยกย่องว่าเป็นคริสตัลที่มีชีวิต และได้รับตำแหน่งสูง และรางวัลมากมายจากการที่มีสถานะเป็นผู้ถูกเลือก ต่อมาความเคารพบูชานี้ได้กลายเป็นศาสนาของแบร์เรอร์เอง
  • ทว่านานาประเทศสมัยนั้น ไม่เห็นด้วยกับการก่อตั้งศาสนจักร ขณะที่ผู้มีอำนาจสมัยนั้นนำแบร์เรอร์เข้าสู่ตำแหน่งทรงอำนาจในรัฐมาช้านาน แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อใจองค์กรที่นำโดยแบร์เรอร์เพื่อแบร์เรอร์ จึงเกิดความพยายามลงโทษศาสนจักรและสาวกทันที พร้อมแบนเขาจากการถือยศตำแหน่ง ขับไล่สาวกออกจากบ้านเกิด และสลายขั้วด้วยการใช้กำลัง ศาสนจักรจึงตอบโต้ด้วยการก่อตั้งกองกำลังอาสา เวลาผ่านไป วัฏจักรแห่งการนองเลือดและเคียดแค้นก็ดำเนินไป เกิดเป็นความแตกแยกระหว่างคนที่เกิดมาได้รับพร และคนที่ไม่มีพร
  • จากจุดเริ่มต้นของการเฆี่ยนตีและปะทะกันตามท้องถนน ท้ายที่สุดลุกลามกลายเป็นสงครามไปทั่ว The Twins ไปเกือบชั่วอายุคน และสูญเสียทั้งประชากรคนและแบร์เรอร์ “การนองเลือด” ทำให้ดินแดนกลายเป็นสีแดง และทิ้งบาดแผลยาวนานไว้ในจิตใจของชาววาลิสเธีย
  • หลังจากการการต่อต้านครั้งสุดท้ายของแบร์เรอร์ ถูกบดขยี้ลง นานาประเทศของวาลิสเธียได้ร่วมกันมาลงนามสนธิสัญญาทวีป (Continental Accord) และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบทาส ที่ฝังแน่นอยู่ทั่วแผ่นดินตราบจนทุกวันนี้ ประโยคที่รู้จักกันดีว่า “แบร์เรอร์ไม่ใช่คน” มีที่มาจากสงครามอันขมขื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น การเป็นผู้ไม่ได้รับพร จึงเป็นข้ออ้างสำหรับการปฏิเสธอันเลวร้ายที่จะให้ผู้ที่ได้รับพร ลิขิตชีวิตตนเอง
  • ดอก Eitrfpetida หรือหางไวเวิร์น (Tail of Wyvern) ดอกสีขาว รากสีดำ อย่างหลังพอตัดแล้วได้หมึกดำ  ชนเผ่าทางเหนือของทวีปพายุเอาเข็มไม้โอ๊กจุ่มน้ำดำ วาดเป็นลวดลายตามแขนขา เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้า แต่น้ำมันเป็นพิษ ถ้าเข้าปากเพียงหยดเดียว จะทำให้เจ็บปวด 5 วัน 5 คืน ถ้าหยดลงแผลก็ถึงแก่ความตาย ถ้าเข็มพลาดแทงนักรบหนุ่มตาย ว่ากันว่าไม่ได้ขึ้นสวรรค์
  • พอออกมา Executor จะบอกให้ไคลฟ์ส่งหนังสือมา ไคลฟ์ถามว่าจะเอาไปเผาหรือฝัง? มันบอกว่ามันไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่จะให้มีบันทึกเหลือไม่ได้ ไคลฟ์ก็ไม่ยอม
  • เราชนะแล้ว ไคลฟ์ถามว่าทำไมถึงต้องการเอาตำราไปด้วย มันบอกว่ามันเล่าประวัติศาสตร์อันน่าอับอาย การกำจัดและปราบพวกคนส่วนน้อยที่ได้รับพร โดยคนส่วนมากที่ไม่มีพร แล้วมันบอกว่าเรื่องประวัติศาสตร์ไม่มีการตีความที่ถูกหรอก แม้หลายเหตุการณ์จะถูกพิสูจน์ได้ว่าเคยเกิดขึ้น แต่ไม่มีคำอธิบายที่ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อ หากคนจำนวนมากพอ เชื่อว่าเหตุการณ์นั้นเคยเกิดขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง ความเชื่อนั้นก็กลายเป็นความจริง
  • ไคลฟ์บอก อ่อ พวกแกเลยพยายามควบคุมความจริง
  • มันบอก แค่ปกป้องผู้คนไม่ให้รู้เรื่องที่รู้ไปก็เจ็บปวดเปล่า ๆ แล้วมันก็บอกให้เก็บหนังสือไปก่อนได้ จนกว่าจะเจอกันใหม่ ยังไงโลกก็เล็กนิดเดียว
  • เอามาให้วิเวียน แล้วไคลฟ์เล่าว่าไปเจอ Executor มา แล้วมันบอกว่าความจริงนั้นคือความเชื่อจำนวนมาก ถ้าคนจำนวนมากเชื่อคำโกหก คำโกหกนั้น ก็จะกลายเป็นความจริง
  • วิเวียนก็บอกว่าความจริงมันเปลี่ยนได้ ถ้าคนที่อยากเปลี่ยนสามารถชักจูงคนให้เชื่อว่ามุมมองของเขาถูกต้องได้ ดั่งเรื่องเศร้าของแบร์เรอร์ ผู้แต่งหนังสือนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เธอเป็นนักวิชาการ ผู้หญิงที่แต่ง เป็นคนนอกรีต เป็นผู้ปลุกระดม ตะแลงแกงทั่วโลกรอจะแขวนคอเธอกันหมด แต่เธอผู้แต่งก็ยืนหยัดอยู่กับความจริง บางทีวิเวียนก็รู้สึกว่าตัวเองแยกออกจากโลกมนุษย์ แปลกแยกจากเผ่าพันธุ์เดียวกันเอง ผู้แต่งนั้นสอนให้เธอรู้ว่าความสันโดษไม่ใช่คำสาป แต่เป็นพรสวรรค์ และแม้ว่าการเดินทางตามหาความจริง มันจะเป็นการเดินทางอันโดดเดี่ยว (ไม่มีใครเอาด้วย) แต่สิ่งที่จะค้นพบในปลายทางนั้น มันยิ่งกว่าคู่ควร
  • ไคลฟ์ถามว่าเอ้า นี่เธอไม่รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับเราเหรอ? 
  • วิเวียนบอกไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่มาอยู่รังลับ ความคิดก็ฟุ้ง ๆ แต่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งพบคุณค่าของการมองจากข้างใน มิใช่ข้างนอก ก็อยากทำงานที่นี่ต่อไป จำไว้ว่าถ้าคนจำนวนมากเชื่อ ความเชื่อก็จะกลายเป็นความจริง ขอให้ไคลฟ์มอบความจริงให้มนุษย์ ทำให้พวกเขาเชื่อในตัวไคลฟ์แบบที่เธอเชื่อ
  • วิเวียนให้หมวกจากการสำเร็จการศึกษาที่ Kanver มา


[เควสต์มิด]

  • เด็กบอกเธอแปลก ๆ ไป ตั้งแต่กลับมาดูเสียใจมาก
  • มิดกำลังคิดหาทางให้เรือบินได้ เธอบอก Enterprise เป็นเรือที่เร็วที่สุดในภพอยู่แล้ว แต่ต้องมีทะเลอยู่ด้านใต้ แต่ถ้าไม่ต้องยึดติดกับทะเล ไม่ต้องยึดติดกับอะไรเลยล่ะ เทพเจ้ายึดท้องฟ้าไว้ผู้เดียว มันไม่แฟร์เลย ส่วน The Fallen มีโอกาสขึ้นไปบนฟ้า แต่พวกนั้นพึ่งพาเวทมนต์มากเกินไป แล้วก็เลยเกิดเรื่องขึ้น (ร่วงลงมา) แต่ฉันไม่ใช่ ฉันค้นพบวิธีที่จะบินโดยไม่ต้องมีเวทย์แล้ว แต่ต้องทำ prototype ก่อน
  • ไปหาไขสัตว์ และกระดองเต่าอันดามันมาให้
  • แต่มิดบอกยังขาดเกีย ที่ Blackthorne ทำให้
  • มันอยู่กับเด็ก ๆ ในเควสต์ตอนที่ไคลฟ์ประกอบตราชั่งกลับ แล้วมีชิ้นส่วนเหลือ เด็กไปเก็บไว้ใต้เตียง
  • เอามาส่งให้มิด แต่พอลองใส่ใน prototype แล้ว มันก็ยังบินไม่ได้
  • มิดสงสัยว่า มันเป็นฝันที่ไม่ควรเป็นจริงรึเปล่านะ ถ้ามียานบิน เดียวก็เอามาฆ่ากัน ตายกันหมด เหมือนที่เธอเสียครอบครัวไป เหมือนตอนนี้ต้องเลือกว่าจะทำตามหัวใจ หรือสมอง?
  • ไคลฟ์บอกครั้งแรกที่ได้ขึ้นเรือของเธอ รู้สึกถึงสายลมที่เสยผ่านผม ราวกับบินได้ ได้แต่คิดว่าถ้าบินได้จริง ๆ จะเป็นยังไงนะ
  • มิดบอกพ่อเคยสอนว่าการใช้ชีวิตมีสองแบบ คือไล่ตามฝัน กับรอวันตาย ผู้คนมีความฝันที่ต้องไล่ตาม ยิ่งในโลกแบบนี้ โอเค เมื่อเรื่องนี้จบลง เธอจะเอา mythril engines ทั้งหมดไปยัง Dzemekys แล้วปล่อยลงเหว (sling them over the edge) จะไม่ยอมให้ความฝันของตัวเองกลายเป็นฝันร้ายของคนอื่น ความตรากตรำทั้งหมด จะต้องไม่ถูกเอาไปใช้เพื่อสงคราม ได้ยินมั้ย แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะหายไป เธอจะฝังมันไว้แบบมีแบบแผน ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง ไปตามหามัน เอาให้ยากสุด ๆ เพื่อที่คนช่างฝันที่คลั่งไคล้ที่สุดเท่านั้น ถึงจะพบคำตอบ
  • แต่มันอาจไม่มีค่าพอ หากไม่สามารถทำให้เรือของเล่นบินได้ (คงเอาไปพัฒนาต่อให้บินได้ก่อน) แต่ขนาดนั้นไม่สำคัญ ขอแค่เป็นความฝันที่ดี
  • ส่วนโมเดลนี้ มิดบอกว่าอย่าไปยึดติดกับความล้มเหลว มีแต่จะบั่นทอน ทว่า prototype มันจะมีค่าขึ้นมา เมื่อเธอมีชื่อเสียงเหมือน Bartz the builder

  • มิดบอกว่ามันอาจจะมีคนอยู่บนฟ้าอยู่แล้วก็ได้ ไว้จบเรื่องแล้วอยากจะขอให้ดิออน (Imperial Fancy Pants) พาขึ้นไปดูกับตาสักครั้ง
  • ในข้อมูลโมเดลเขียนว่า ถ้ามิดดังแล้ว ไคลฟ์จะเอาไปขายได้ราคางาม


[เควสต์ Herman]

  • เป็น cursebreaker อยากกลับไปที่วาลูด ที่เขาโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งฝึกหนักผิดมนุษย์มนา เพื่อเปลี่ยนเด็กแบร์เรอร์ให้เป็นอาวุธไร้จิตใจ ซึ่งเขาหนีมา เขาอยากได้ทะเบียนพี่น้องในนั้นทุกคน
  • เจอบันทึกของคนดูแล ที่เขาฆ่าภรรยาทิ้งไป เพราะให้กำเนิดลูกสาวที่เป็นแบร์เรอร์ แล้วลูกสาวก็ถูกฝึกหนักจนกลายเป็นหิน โดยเขาไม่รู้ว่าคนที่เขาฝึกหนักนั้นเป็นลูกตัวเอง เพราะส่งให้ทางการตั้งแต่ตอนเป็นทารก แต่แล้วเขาก็หลอน เห็นหน้าภรรยาและลูกสาว เลยอยากฆ่าตัวตายตาม ให้เด็ก ๆ ฉีกแขนขาเขา แล้วฝังร่างลงใต้ต้นไม้สีขาว พร้อมกับทะเบียนชื่อของทุกคน ซึ่งเป็นตราบาปของเขา
  • ไคลฟ์บอกเจอแต่ทะเบียน ไม่เจอร่าง หรือข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ๆ หลังมันถูกปิด
  • Herman จะไปเขียนหนังสือเกี่ยวกับความโหดร้ายที่ Badbach ให้วาลิสเธียรู้เป็นบทเรียน และจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก 


[เควสต์ Dorys]

  • ช่วยแบร์เรอร์ที่ถูกจับตัวไว้ที่ Balmung Dark เช่น Chadwick
  • ที่นั่นเป็นคุกสำหรับกักกักแบร์เรอร์ เพื่อจะเลี้ยงและฝึก Kuza ให้พร้อมปล่อยไปรบ ซึ่งเป็นความลับสุดยอด ใครเผยแพร่ถึงตาย 
  • Kuza ยังไม่สามารถแยกพวกเดียวกันกับศัตรูได้ ถ้าใช้งาน ควรปล่อยแบร์เรอร์ไปล่อความสนใจจากศัตรู
  • อาหารไม่พอเลี้ยง Kuza มันเลยกินแบร์เรอร์ที่ฝึกซ้อมกับมัน แล้วมันดูพอใจกับการกินแบร์เรอร์เป็น ๆ มากกว่าอาหารเดิมอีก ดังนั้นแบร์เรอร์ที่ไม่ได้ใช้ฝึกซ้อมแล้ว ให้เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้ (มาเป็นอาหารให้มัน)
  • เจอเด็กสาวแบร์เรอร์รอดชีวิตคนนึง เขาบอกยามผิดปกติไป ส่วนคนอื่นโดนกินหมดแล้ว Chadwick ช่วยสู้เบี่ยงความสนใจให้เธอหนีมาได้ เขาสัญญาว่าจะปลดปล่อยคนอื่นด้วย
  • เจอไดอารีของ Chadwick ที่ Dorys เคยให้ไว้ สงสัยโดนกินไปแล้ว

  • เราพาเด็กที่รอดชีวิตกลับมา เธอชื่อ Heidemarie
  • Chadwick เป็นเหมือนพี่น้องของ Dorys ที่ฝึกมาด้วยกัน
  • ในข้อมูลของ ATL บอกว่าพวกแบร์เรอร์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในคุกก็อดตายกัน


ข้อมูล Veldermarke

เดิมเป็นราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปธุลี ก่อนโดนบาร์นาบัสเอากองทัพของเขามาปฏิวัติ แล้วตั้งราชอาณาจักรวาลูดขึ้นมาแทน ทั้งที่เมืองยังควันโขมงอยู่เลย

ข้อมูล Southern Isles

ประเทศที่ตั้งบนหมู่เกาะในทะเลตอนใต้ของวาลิสเธีย มีสัมพันธ์ทางการค้ากับดัลเมเคียและ Kanver มียาและพืชที่พบได้แค่หมู่เกาะนี้ มีราคาสูง แต่ด้วยการอุบัติของโซนดำ ท้ายที่สุดทำลายสังคมนี้ไปหมดสิ้นแล้ว

ข้อมูล Airship

ยาน Invincible ที่ไคลฟ์และพวกอยู่ ก็เป็น relic นึง เป็นเทคโยโลยีสุดล้ำของ The Fallen ที่แทบไม่ต่างจากเวทมนต์ ทำให้นักประวัติศาสตร์ของต้นยุคสมัยใหม่ เรียกว่า Menne of Magitek หรือ Men of Magical Technology มิดฝันว่าจะเอาเทคโนโลยีนี้กลับมา มนุษยชาติจะได้บินกันอีกครั้ง

ข้อมูล Mid

ลูกบุญธรรมของซิด ซิดช่วยเธอจากข้างถนน แล้วเลี้ยงดุจลูกแท้ ๆ ของตัวเอง มิดเดินตามรอยเท้าพ่อเพื่อทำดีไซน์ของ mythril engines ให้สำเร็จ แม้เธอเกรงว่า engine ที่สมบูรณ์อาจถูกใช้ไปในทางชั่วร้ายหากตกอยู่ในมือคนชั่ว ความฝันที่เธอกับพ่ออยากจะโบยบิน ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะทิ้งไป เธอจึงพยายามต่อ ว่าสักวันหนึ่งฝันนั้นจะเป็นจริง


[เควสต์ฮาร์โปคราเตส]

  • เขาเคยเป็นครูของดิออน ก่อนจะมารวมกลุ่มกับซิด เขาเป็นหนึ่งใน scholar ที่เก่งที่สุดใน Oriflamme และถูกเชิญไปที่ราชวัง เพื่อสอนหนังสือ เพื่อที่ว่าที่จักรพรรดิจะมีพื้นฐานทุกอย่างที่ควรมี ประวัติศาสตร์ ศาสนา การพาณิชย์ การปกครอง แต่ดิออนไปเข้ากองทัพดรากูน การเรียนพวกนั้นเลยสิ้นสุด ไม่จำเป็นกับเขาอีกต่อไป ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ตอนนี้ก็ยังหาจังหวะคุยไม่ได้เลย ดิออนดูใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลาอยู่ตัวคนเดียว เขาก็ไม่อยากไปรบกวนทักทาย ยิ่งพอรู้ว่าเขาจมอยู่กับเรื่องอัลเทม่าทำให้เขาก่อเรื่องที่ Dominion 
  • ไคลฟ์บอกว่ามันก็ฝีมืออัลเทม่า เขาไม่ควรโทษตัวเอง เอามาแบกรับไว้เลย
  •  ฮาร์โปคราเตสบอกว่าตอนเจอกันครั้งแรก ดิออนก็แบกรับความคาดหวังคนรอบข้าง แล้วเขาก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาภาระนั้นเลย ดิออนแบกคนเดียว จนถึงวันที่ดิออนแบกรับมันไม่ไหว เขาเลยเสียใจที่สุด ที่ไม่ได้เสนอแนะอะไรไป ในยามที่สิ่งที่ดิออนต้องการที่สุด ก็คือมิตรภาพ เลยอยากให้ช่วยเอาดอก Wyvern Tail มาให้หน่อย เภสัชกรบอกว่ามันสามารถปลอบขวัญในใจได้
  • เอาดอกไม้มาให้ แล้วไปตามดิออน
  • ดิออนจะไม่กล้ามาพบ เพราะทำให้คนฉิบหายไปเยอะ ตอนนี้ตั้งใจว่าจะไถ่บาป หรือพยายามจนตัวตาย ตอนนี้เลยกลัวว่าถ้าพบหน้าฮาร์โปคราเคสอีกครั้ง ก็กลัวจะลังเล
  • ไคลฟ์บอกงั้นยิ่งต้องไป เพื่อทดสอบตัวเอง แสดงให้เห็นว่ามุ่งมั่นแค่ไหน
  • ไคลฟ์พาไป แล้วดิออนก็ลังเลเรื่อย ๆ
  • ดิออนขอโทษที่ออกจากการเรียนก่อนจบหลักสูตร บทเรียนนั้นเปิดโลกให้เขารู้ยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการไว้ และรู้สึกขอบพระคุณมาก
  • ฮาร์โปคราเตสบอกไม่ต้องขอโทษอะไรเลย แล้วเขามีของอยากจะให้ เป็นดอก Wyvern Tail ที่สีต่างไปจากที่ดิออนเคยเห็น สิ่งที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอันลำบาก ก็จะมีสีโดดเด่นแบบนี้ แม้รากจะไม่ต่างจากดอกที่โตในสภาพที่ดี แต่เมื่อมันเบ่งบาน ความแตกต่างนั้นก็จะปรากฏขึ้นทันที ถึงจะเป็นรากของดอก Wyvern Tail แต่รากไม่ได้กำหนดว่ามันจะโตมาเป็นยังไง เช่นเดียวกับรากเหง้าของท่านที่ไม่ได้กำหนดว่าท่านต้องเป็นอย่างไร  เลยอยากให้เก็บไว้เพื่อเตือนใจถึงความจริงนี้
  • แต่ดิออนไม่รับไว้ และบอกว่าให้เก็บไว้ก่อน จนกว่าเขาจะทำหน้าที่สำเร็จ แล้วเขาจึงคู่ควรที่จะรับมัน
  • ฮาร์โปคราเตสก็รับปากว่าจะรอ
  • ดิออนบอกไคลฟ์ว่ารากเหง้าไม่ได้กำหนดว่าเราจะเป็นอย่างไร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่บุญธรรม (อนาเบลล่า) ถึงไม่เหมือนกับไคลฟ์
  • ดิออนให้แหวนที่ลด cooldown gigaflare มา สำหรับการให้เขาหวนคืนถึงความทรงจำที่ลืมไปนาน
  • ฮาร์โปคราเตสขอบคุณไคลฟ์ และบอกว่าเขาต้องปลูกดอก Wyvern Tail เองแล้ว ตอนที่ดิออนกลับมา จะได้ไม่ผิดหวัง (จะได้มีดอกให้) ดอกนี้ยังปลูกในดินแดนแห้งแล้งของวาลูดได้ ดินที่รังลับนี่สบาย
  • ฮาร์โปคราเตสให้ปากกาขนนก Stolas ของเขามา เขาว่าปีกนกฮูกเต็มไปด้วยความปรารถนาที่มันได้ยินมาชั่วชีวิตอันยาวนาน คำพูดทั้งหมดรอที่จะพรั่งพรูลงไปในหน้ากระดาษ วันหนึ่งไคลฟ์อาจจะวางดาบ หันมาจับปากกาแทน
  • ไคลฟ์บอกถึงวันนั้น เขาคงมีเรื่องมากมายให้เขียน
  • ฮาร์โปคราเตสจำได้ว่าดิออนเป็นคนที่เชื่อหมดใจ ว่าหน้าที่ของจักรวรรดิ คือรับใช้ประชาชน แล้วตัดสินใจเรียนรู้อดีต เพื่อจะได้ไม่ก่อความผิดพลาดซ้ำ เพราะงี้การล่มสลายของ Twinside จึงทำให้เขาเจ็บปวดมาก เขาต้องรับผลที่ตามมา แลเกรงว่าลำพังเวลา ไม่เพียงพอที่จะเยียวยาเขา มันต้องได้รับการให้อภัย แต่ไม่ใช่ไคลฟ์ จากฮาร์โปคราเตส จากประชาชน จากจักรพรรดิที่ตายไป แต่เป็นจากตัวเขาเอง เมื่อนั้น ดอกไม้ของเขาจะเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง
  • ดิออนอยากกลับมาเห็นดอกนั้นอีกครั้ง เมื่อเขาคู่ควร ช่วงเวลาที่ได้เรียนกับฮาร์โปคราเตส เป็นช่วงสุกสกาวของชีวิต เพื่อที่เขาจะได้เป็นจักรพรรดิแบบที่ประชาชนควรมี แต่แล้วเขากลับทำให้ฮาร์โปคราเตสผิดหวัง ทว่าฮาร์โปคราเตสกลับต้อนรับเขาอยากอบอุ่น ราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อยในวันวานคนนั้น เขาก็อยากทำให้ฮาร์โปคราเตสภูมิใจในตัวเขาให้ได้



[เควสต์ Isabelle]

  • ซาบีนมาหา Isabelle และบอกว่าเขาขัดขวางพ่อเหมือนกัน พ่อชอบคิดว่าประชาชนต้องรับใช้จักรวรรดิ แต่พ่อคิดผิด จักรวรรดิสิต้องรับใช้ประชาชน
  • Isabelle ไม่ได้อยากจะสู้กับดุ๊ก แต่อยากให้ประชาชนร่วมใจกันต่อต้าน
  • ซาบีนไปกล่อม Philippe ต่อ แต่ไม่ได้ผล
  • ซาบีนไปรวมชาวบ้านมากบฎพ่อ แต่ Isabelle จะมาห้าม ไม่ควรจะมาเถียงกันกลางถนน
  • ดุ๊กก็ไม่ฟัง เขาคิดว่า Isabelle ไปล้างสมองลูกเขา ดุ๊กเรียกเธอว่ากะหรี่ Carla แห่ง Twinside ที่นอนกับทาส
  • Isabelle ย้อนกลับว่าอิจฉาเหรอที่เธอเลือกนอนกับแบร์เรอร์ มากกว่าชาวลัทธิกรีกอร์
  • Philippe มาแจ้งว่า Thrall บุกเข้ามาใกล้เมืองเต็มเลย
  • ดุ๊กบอกการสร้างป้อมปราการพึ่งเริ่มเอง เราต้องถอยไป Caer Norvent ก่อน
  • Isabelle จะขอร้องให้ทุกคนร่วมกันปกป้อง Northreach บ้านของพวกเรา ชาวบ้านก็โห่ร้องเอาด้วย, Philippe บอกว่าจะรออะไรอยู่ล่ะ แล้วก็ไล่สั่งทหารทีละคนให้กระจายกำลัง
  • ดุ๊กก็อึ้งว่าเธอเป็นแค่กะหรี่
  • ช่วยกันสู้ปกป้องเมืองมาได้
  • ดุ๊กยอมรับว่าเขาคิดผิดเอง เขาคิดว่าทางเดียวในการรวมใจผู้คนได้ คือภายใต้ผืนธงจักรวรรดิ แต่ถ้าไม่มีผู้นำที่แข็งแกร่ง ซึ่ง Isabelle รวมใจคนได้ ไม่ได้ด้วยกำลัง  ไม่ได้ด้วยการอ้างเทพธิดา แต่ด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา รู้ว่าพวกเขารู้สึกยังไง ก็รับรู้ไปด้วย เขาเสียใจ และเขาขอโทษ
  • ซาบีนก็ขอโทษที่เธอเอาอารมณ์โกรธมาครอบงำ
  • Isabelle บอกว่าเราต่างต้องการความมั่งคั่งปลอดภัย ทั่วทั้งภพแหละ ก็ต้องร่วมมือกัน
  • Isabelle เล่าว่าเธอเคยใช้ชีวิตที่ Crystalline Dominion เป็นนางคณิกาของขุนนางชั้นสูง เธอไปตกหลุมรักแบร์เรอร์คนหนึ่ง เป็นทหารของนาย เป็นสุภาพบุรุษที่สุดเท่าที่เคยเห็น พอถูกจับได้ เขาโดนลงแส้เลือดสาด และห้ามไม่ให้พบเธออีก เราเลยหนีออกมาด้วยกัน แต่ไม่มีที่ให้หนี ก็ร่อนเร่ ไร้จุดหมาย หิวโหย ครึ่งกลัวครึ่งภาวนาให้วันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย จนเรามาถึง Northreach, The Veil ก็เปิดรับเรา ให้อาหาร เสื้อผ้า รักษา แต่ที่รักของเธอบาดเจ็บหนักเกินไปจนรักษาไม่ได้ ตายหลังจากเรามาถึงได้ไม่นาน แต่อย่างน้อยก็ได้มีช่วงเวลาสงบสุขด้วยกันสั้น ๆ เป็นของขวัญที่ดีที่สุด ที่เธอเคยได้รับ แล้วทั้งชายและหญิงที่ The Veil ก็ช่วยเหลือเธอในวันที่เธอเศร้า ร่วมแบ่งปันแบกรับ ทั้งที่เธอเป็นคนแปลกหน้า แต่ทุกคนดูแลเธอดั่งน้องสาว เธอเลยสาบานว่าจะทำแบบเดียวกัน จะตอบแทนความเมตตาที่ Northreach มอบให้ จะชดใช้หนี้บุญคุณนี้คืน The Veil
  • แล้วเธอก็บอกว่าไคลฟ์คล้ายชายคนนั้น เธอเลยโชว์ด้านที่ละมุนให้เห็น


[เควสต์ Gav]

  • ไคลฟ์แกล้งบอกว่าถ้าเกิดไรขึ้น ฝากชื่อซิดด้วย
  • Gav ไม่เอาด้วย บอกว่าถ้าเป็นชื่อที่กระฉ่อนกว่าเช่น Gav the Magnificent, Gav th Almighty, Gav the Lionheart อะไรแบบนี้ดีกว่า
  • ไคลฟ์บอกเลือกเองเลย ในฐานะมือขวาของซิด
  • Gav อยากทำของขวัญให้ Edda ทันก่อนคลอด เป็นเครื่องราง จากขนโจโคโบะเงิน
  • ไปหามาให้ Gav ทำเครื่องราง
  • Gav เอามาให้ Edda บอกว่าจากพวกเรา ครอบครัวใหม่ของเธอ ให้ทารกได้รู้ว่าเป็นครบวครัวของเรา
  • Gav กลับมาดื่มกับไคลฟ์ ล่อซะเมาเลย เขาฉลองที่จะได้เป็นพ่อคน ตอนเขาสิบขวบ แม่บอกว่ากำลังมีเด็กอีกคนแล้ว ก็ดีใจนึกว่าจะได้เป็นพี่ชาย แต่แล้วจักรวรรดิมาบุกหมู่บ้านในวันที่แม่กำลังจะคลอดน้องสาว ครอบครัวเขาหายไปในชั่วพริบตา ตัวเขาหลบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน เขาไม่มีวันเป็นผู้นำ หรือฮีโร่ได้ เป็นได้แค่หมาน้อยที่วิ่งมาเมื่อนายเรียกหา ไม่มีวันเป็นแบบไคลฟ์ จิล หรือทอร์กัลได้เลย
  • ไคลฟ์บอกว่า Gav เป็น scout ที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องให้ใครมาจูงมือ ถ้าไม่มีไหวพริบ ความกล้า ความมุ่งมั่นของ Gav ก็ไม่รู้ว่าพวกเราตอนนี้จะเป็นยังไง คนที่ปล่อยเขาออกมาจากดันเจี้ยน คนที่เข้าไปช่วยจิล ก็แกทั้งนั้น เพราะ Gav เป็นพี่น้องของฉัน หมายความว่าเมื่อถึงเวลานะ….
  • Gav ตอบ ให้ใช้ห้องและดาบของนายใช้ป่ะ
  • แล้วทั้งสองก็ขำกัน



[เควสต์โจชัว]

  • พวกกองทัพอมตะ เจอเจตจำนงค์ของพ่อในห้องใต้ดินวังโรซาเรีย มีจดหมายของพ่ออยู่ แล้ว Cyril ก็ให้ไปหาที่ Tabor
  • จดหมายพ่อเขียนก่อนวันออกเดินทางไปฟินิกซ์เกท ฝากฝังให้สานต่อแผนงานของพ่อไว้ อย่าลืมความรัก ความศรัทธา ที่พ่อมีต่อลูก
  • แผนงานของพ่อที่ว่า พ่อได้มอบให้แบร์เรอร์คนก่อน ๆ ของ Burning Quill แล้วเขาก็ส่งมอบต่อให้ Cyril แผนนั้นคือการเลิกทาส-แบร์เรอร์ (complete emancipation of bearer) สร้างบ้านพักรับรองคนที่โดนคำสาป ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี โดยไม่ต้องพึ่งพาเวทมนต์ ยิ่งโซนดำกลืนกินแผ่นดินมาก เอลวินก็เห็นว่านั่นคือทางออกเดียวของโรซาเรีย  เขาอยากให้คนและแบร์เรอร์ เท่าเทียมกัน ให้ค่านิยมที่เชื่อกันมาหลายศตวรรษ พลิกกลับ และพ่อคิดว่าคงไม่อาจทำได้ในช่วงชีวิตของพ่อ
  • Cyril บอกเอลวินเชื่อว่ามันเป็นไปได้ ถึงเขียนจดหมายไว้ และมอบแผนให้กับเหล่าผู้ช่วยที่ไว้ใจที่สุด คนที่ปกป้องพวกคุณจากกลอุบายอันโหดเหี้ยม จริงอยู่ว่าเหล่าคนที่ภักดีต่อเอลวินที่สุด ต้องทรมานเพราะความพิโรธของอนาเบลล่าก่อนใครอื่น (duchness) แต่ก็เหลือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีของขวัญให้ bearing gifts
  • หน้าที่เขาคือ รักษาเจตนารมณ์ของเอลวินไว้ และจัดการนัดหมายให้คนที่ต้องทำหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง
  • ส่วนเรื่อง Book of Martyrs ที่เคยคุยกัน เพื่อจะหาชื่อจริงของ Third Chair ไคลฟ์พลิกดูเจอคนชื่อ Dalan กับ Kytes ที่ไม่น่าเป็นชาวโรซาเรีย ไคลฟ์บอกว่านึกว่ากองทัพอมตะ ดึงมาจากโรซาเรียทั้งหมดซะอีก
  • Cyril บอกถูกแล้ว แต่เราต้องทำงานในเงามืด เลยเลือกชื่อกันใหม่ จุดกำเนิดเราจะได้เป็นความลับ เขาเลยเลือกชือ่ Cyril ขึ้นมา 
  • มีคนนึงในทัพ บอกว่าพวกเขาไม่ใช่องค์กรลับเพียงหนึ่งเดียว ไม่นานมากนัก ก็เคยมีกลุ่มคนที่พยายามค้นหาวิธีการใช้เวทมนต์ได้โดยไม่ต้องมีตัวกระตุ้น (catalyst) กระจายอยู่ทั่ววาลิสเธีย แต่กลับถูกปรักปรำว่าเป็นพวกนอกรีต ถอนรากถอนโคน ถูกขับไล่ออกไปจากวาลิสเธีย (องค์กรลับยังมี Executor อีก)
  • เจอ Goditha บริวารหญิงของตระกูลรอสฟิลด์ เอลวินได้มอบหมายให้เธอส่งมอบของขวัญให้ ขอโทษที่เอาให้ช้าไป มันเป็นธรรมเนียมตระกูลที่จะเอาของขวัญให้เมื่ออายุถึงกำหนด มันคือ armband ซึ่งเอลวินตั้งใจจะติด heartstone ที่หาได้จากกริฟฟินด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้ทำ มันเลยไม่สมบูรณ์อยู่แบบนี้
  • เอา Heartstone ไปส่งให้ช่างเจียระไน แล้วเขาจะติดให้ armband สมบูรณ์ มันแข็งและทนมากกว่า garnet และ ruby
  • โจชัวถามว่าหลังจากเอลวินเสีย กองทัพอมตะเล่าว่าแม่เอาสมบัติทั้งหมดไปเก็บไว้คนเดียว ส่วน armband นี้ถึงจะไม่สมบูรณ์ แม่ก็ไม่น่ามองข้ามนี่ แล้วมันรอดมาได้ไง
  • Goditha บอกก็เธอเป็นคนดูแลห้องนิรภัย ในวันก่อนหน้าหายนะที่ฟินิกซ์เกท Goditha พบว่าอนาเบลล่าสั่งให้เอาเครื่องเพชรทั้งหมดของเธอ ส่งออกไปนอกปราสาท ก็รู้แล้วว่าตั้งใจจะทรยศ ตอนนั้นเขาก็พยายามเตือนเอลวินแล้ว แต่มันสายเกินไป พอข่าวการโจมตีมาถึงวัง ก็รู้ว่าเหลือเวลาน้อยแล้ว เลยรีบคว้า armband แล้วหนีออกมาคืนนั้นเลย เธอก็ไม่รู้จะทำไงต่อ เลนตามรอยกริฟฟิน กะว่ารอมันตายแล้วค่อยไปเอา จนมาเจอกับ Cyril ซึ่งแจ้งว่าได้เก็บรักษาเจตนารมณ์ไว้ และลูกชายทั้งสองยังมีชีวิต
  • Cyril มาบอกให้ไปที่อนุสรณ์ของพ่อ Hawk’s Cry Cliff ด้วย, helm ของพ่อที่กู้มาจากฟินิกซ์เกทก็อยู่ในนั้น มันเป็นมรดกที่ควรได้รับ
  • ไปวางดอกไม้ที่อนุสรณ์พ่อ โจชัวบอกว่าพ่อทำในสิ่งที่เชื่อว่าถูกเสมอ
  • ไคลฟ์บอกว่าแม้ชะตากรรมจะกลั่นแกล้ง พ่อไม่เคยสูญเสียหัวใจ ไม่เคยมองย้อนกลับ ไม่เคยหยุดต่อสู้ สำหรับเขาแล้ว พ่อคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาเลยพยายามใช้ชีวิตตามอุดมคติของพ่อมาตลอด และจะทำต่อไป แม้ต้องเผชิญหน้ากับพระเจ้าบนสวรรค์
  • โจชัวหยิบ helm ของพ่อไป
  • ไคลฟ์รู้สึกถึงวิญญาณพ่อ และบอกว่าจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง


[เควสต์จิล]

  • โจชัวเขียนจดหมายมาบอกว่าการแม้ Eikon จะทำให้จิลทรมาน แต่การสูญเสียศิวะไป ทำให้เธอหนักใจมาก ต้องหาทางปลอบเธอ แม้จะเล็กน้อย ก่อนที่เราจะขึ้นไปบนฟ้ากัน
  • โจชัวบอกต้องทำให้เธอรู้ว่าเรายังต้องการเธอ เธอเป็นพวกเรา พี่ต้องการเธอ
  • ไคลฟ์ถามว่าจำตอนที่ตามพ่อไปทัวร์ทั่วรัฐประจำปีได้มั้ย จิลกับเขาแว้บออกจากขบวนที่ขึ้นไปยัง Mann’s Hill 
  • โจชัวจำได้ พี่จะไปดู Snow Daisy นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อยอมให้พวกเราติดตามไปด้วย ตอนที่รู้ว่าพี่หายไป พ่อให้ผู้ติดตามทั้งหมด ตามหาทั่วชนบท
  • ไคลฟ์บอกมันฝนตก ฟ้าผ่า ทำให้จ้องไปหลบในดงต้นโอ๊ก ไปกันได้ครึ่งทางแล้ว แล้วเมอร์ดอช (Lord Commander) ก็มาพบพวกเขาก่อน เขากับจิลเลยไปดูไม่สำเร็จ
  • โจชัวบอก ลองไปดูกันก่อนมั้ยว่ามันยังมี Snow Daisy อยู่มั้ย
  • พอไปดู ปรากฏที่ Mann’s Hill ต้น Snow Daisy ตายเรียบแล้ว
  • ไปถามนักพฤษาศาสตร์ในรังลับ พบว่ายังมี Royal Meadow ในซันเบรกอีก
  • ไปสำรวจกันก่อน กำจัดศัตรู จนดูโอเคแล้ว
  • ลากจิลมา
  • ไคลฟ์บอกว่าแค่ยิ้มก็พอแล้ว โจชัวกับเขาเป็นห่วง แล้วถามว่าจำเรื่องตอนพยายามขึ้นไปที่ Mann’s hill ได้มั้ย?
  • จิลบอกว่าจะลืมได้ไง เธอเห็นฉันร้องไห้ เลยคิดว่าถ้าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วจะทำให้มีกำลังใจขึ้น แต่ท้ายสุด ฉันได้แต่ไอ แล้วก็ถูกแม่เธอดุด่า… แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ดี
  • ไคลฟ์ขอโทษ ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะลงเอยแบบนั้น เขาแค่ไม่อาจทนเห็นจิลร้องไห้ได้
  • จิลบอกว่า วันนั้นก่อนที่เราจะออกติดตามเอลวินมา แม่บ้านที่ดูแลห้องของจิล บอกจิลว่าแอบได้ยินอนาเบลล่าพูดเรื่องเปรียบเทียบระหว่างการแต่งงานกับจิล กับแต่งกับหญิงสูงศักดิ์คนอื่น ๆ ก็ถกเถียงกันว่าการแต่งงานกับฉัน จะสร้างประโยชน์ได้มากกว่ากันแต่งงานกับหนึ่งในตระกูลขุนนาง (โรซาเรียมี 7 ตระกูลใหญ่ รอสฟิลด์เป็นหนึ่งในนั้น) รึเปล่านะ แต่ไม่มีใครถามฉันบ้างเลย ว่าฉันรู้สึกยังไง ฉันเป็นแค่เบี้ยหมากของพวกเขา เลยรู้สึกติดในวังวน อ้างว้าง…… แต่ฉันไม่ได้ตัวคนเดียว ไคลฟ์อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วยื่นมือมาให้ฉันในตอนที่เราวิ่งไปยังต้นโอ๊ก ตอนนั้นเลยรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะปลอดภัย และฉันจะไม่มีวันลืมความรู้สึกนั้นเลย
  • จิลก้มลงไป เก็บดอก snow daisy มาร้อยเป็นมงคล
  • จิลเล่าต่อว่า เช้าวันหลังวเกิดอายุ ก่อนเราออกมาจากแคมป์ ฉันแอบหลบผู้ดูแลหญิง ปีนไปบนยอดหิน แล้วได้เห็นทะเลกลีบดอกไม้ โบยบินมุ่งสู่ดวงตะวัน เลยตระหนักได้ว่า ไม่ว่าคืนวันจะเลวร้ายแค่ไหน รุ่งเช้าวันใหม่ ก็จะมาถึงเสมอ และไคลฟ์จะมาหาเธอเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่ากี่ครั้งก็ตาม
  • ไคลฟ์ถามว่าเมื่อเรื่องจบลงแล้ว ไปไหนกันดี
  • จิลบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ที่นี่ เธอคิดว่าไปมาทั่ว The Twins แล้ว โลกนี้มันดูเล็กเกินไปละ ฉันต้องการที่ ที่จะได้กางปีกโบยบินออกไป
  • ไคลฟ์บอกว่า เธอจะได้ไปแน่นอน และเขาจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางเธอได้ 
  • จิลบอกเธอทำมงคลไม่เก่ง แต่ก็อยากทำ
  • ไคลฟ์บอกว่าเขาจะรักษามันอย่างดี
  • จิลก็ขอบคุณไคลฟ์สำหรับดอกไม้ ทุกสิ่ง นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการเป๊ะเลย You’re my Treasure
  • จิลบอกต้องกลับแล้ว ทุกคนคงสงสัยว่าเราไปไหน
  • ไคลฟ์ว่ายังมีอะไรต้องทำอีกมาก จิลบอกว่าเราก็จะทำด้วยกัน
  • จิลบอกว่าไว้จบเรื่องแล้ว เดินทางทั่วโลก สร้างความทรงจำใหม่ ๆ ด้วยกัน ความทรงจำที่ได้อยู่กับไคลฟ์คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดแล้ว


รังลับ

  • ม็อคบอกว่าเขาเคยไปทางตอนใต้ของทวีปธุลี พวก Orcs หาทางอยู่ในโซนดำกันได้ โดยไม่พึ่งพา Mothercrystal แบบพวกเรา

ข้อมูล The Savoir Myth

ในหมู่คำสอนของ Circle of Malius มีเรื่องราวคำทำนายที่ lord almighty มอบให้สาวก เป็นคำทำนายถึงทางรอดชีวิต ก่อนที่พระองค์จะหายลับไปในสวรรค์ เป็นตำนานที่เล่าขานต่อไปในหลายศาสนาที่เกิดมาแทนที่ แม้จะเชื่อกันว่าเป็นตำนาน แต่เป็นไปได้ว่ามันจะสะท้อนความจริง ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นของคำพูดสุดท้ายของอัลเทม่าต่อมนุษย์ ก่อนจะเข้าสู่การจำศีลลึกในวาลิสเธีย มีแหล่วข้อมูลที่หลงเหลืออยู่บางส่วนโต้แย้งอ้างคำพูดเป๊ะ ๆ ของอัลเทม่าไว้ไม่ตรงกัน แต่มี 4 จุดที่ตรงกันแน่ : ว่าในวันหนึ่ง ร่างอวตารใหม่ของพระองค์จะปรากฏตัวท่ามกลางมวลมนุษย์ และสร้างโลกใหม่, ว่าการจุติร่างอวตารจะได้รับการแซ่ซ้องโดยเหล่าข้ารับใช้ของสวรรค์ที่เปี่ยมด้วยพลัง, ว่าพระองค์จะรวบรวมข้ารับใช้เข้าด้วยกัน เพื่อจะนำอวตารมาสู่ร่าง และสนองความจงรักภักดี พวกเขาจะได้รับการตอบแทนด้วยความปิติสูงสุด

ข้อมูล Ultima’s Thrall

อัลเทม่ามอบชีวิตให้พวกมันตอนมาถึงวาลิสเธียครั้งแรก และมอบหมายให้ปกป้องชายฝั่งของพิภพ เพื่อป้องกันกองกำลังจากด้านนอกที่อาจหาทางเข้ามาแทรกแซง ตอนนี้เทพใช้พวกมันแค่ทดสอบพลังและความทนทายของร่างภาชนะ Mythos

ข้อมูล The Journal of Moss

นักวิชาการประวัติศาสตร์วาลิสเธียผู้ค้นพบความลับมากมายที่ถูกปิดบังไว้ของอัลเทม่าและ Circle of Malice หลังจากเขาได้พบกับฮาร์โปคคราเตสวัยเยาว์ไม่นานในทวีปด้านนอก และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กหนุ่มใฝ่เรียนรู้ Moss ก็กลับมายัง The Twins ที่ซึ่งการเดินทางตามหาร่องรอยอดีตของวาลิสเธีย ก็ได้ปิดฉากลง

ข้อมูล Obelisk

เทคโนโลยีโบราณที่อัลเทม่าสะสมไว้ วางไว้ตอนมาถึงวาลิสเธีย เพื่อชี้นำกระแส aether ไปสู่ mothercrystal เพื่อช่วยเก็บเกี่ยวพลังชีวิตของแผ่นดินให้ง่ายขึ้น obelisk เป็นคนละอย่างที่แยกกับ mothercystal ดังนั้นแม้อย่างหลังจะถูกทำลาย ก็ไม่ส่งผลต่อการทำงานของ obelisk หลังจากอัลเทม่าร่าย Primogenesis การเสียสมดุลของ aether ทำให้ obelisk เปล่งแสงสว่างมากขึ้น

ข้อมูล The Children of Dzemekys (แม่ของบาร์นาบัสเป็นทายาทผู้รอดชีวิต)

ชนเผ่าที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยในดินแดนรอบ Mothercrystal Dzemekys ที่หายไปแล้ว Mothercrystal นี้เชื่อมต่อโดยตรงกับ Origin ที่ซึ่งอัลเทม่าเฝ้าดูโลกจากการหลับใหล ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่รอบนั้น เลยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้สร้างมากกว่าใคร ๆ พวกเขาคือผู้ก่อตั้ง Circle of Malius เพื่อรักษาถ้อยคำของอัลเทม่า และอนาคตที่ผู้กอบกู้จะมาถึงให้คงอยู่ต่อไป หลังจากโศกนาฏกรรม Dzemekys และการล่มสลายครั้งแรกของมนุษยชาติ ผู้รอดชีวิตจำนวนน้อยของ Children of Dzemekys ก็หนีไปยังทวีปด้านนอก และยังคงบูชาพระเจ้า และรอคอยวันที่พวกเขาจะได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์

ข้อมูล The Fallen

อารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองหลายพันปีก่อนปัจจุบัน แม้จะไม่เหลือบันทึกโดยตรง ตำนานยุคแรกเริ่มของคลังข้อมูลปัจจุบัน เล่าว่าพวกเขาเป็น Menne of Magitek ซึ่งจุดสุดยอดของ Magical Technology ก็คือเรือเหาะ และเมืองยักษ์ที่ล่องลอยบนฟ้า แต่เมื่อเทียบซากเรือเหาะเหล่านี้กับสิ่งปลูกสร้างโบราณที่เกี่ยวข้องกับอัลเทม่า ก็พบว่ามันมีความแตกต่างกัน โดยอย่างแรกนั้น เป็นเพียงการเลียนแบบอย่างหลังเท่านั้น แต่แล้วการไล่ตามความลับที่ปกปิดไว้แน่นหนาที่สุดของอัลเทม่า ก็ทำให้พวกเขาล่มสลาย เมื่อพวกเขาส่งกองเรือเหาะไปยัง Dzemekys และนำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ทำให้อารยธรรมล่มสลาย

ข้อมูล The Ultima Civilization

อารยธรรมโบราณที่อัลเทม่าผู้ดุจดั่งเทพเจ้ารวบรวมไว้ การค้นพบเวทมนต์ทำให้พวกเขาเจริญรุ่งเรือง แต่มีราคาที่ต้องจ่ายร้ายแรง นั่นคือการกำเนิดโซนดำ หลังจากเมืองของพวกเขาล่มสลายและผู้คนดับสูญ ผู้รอดชีวิตหนีไปยังดินแดนที่ไม่มีใครไปถึงมาก่อน นั่นคือวาลิสเธีย เพื่อปูรากฐานของการคืนชีพในอนาคต ทั้ง Apodytery ใต้ฟินิกซ์เกท และหอคอย Reverie ในวาลูด ต่างเป็นสิ่งตกทอดของอารยธรรมเหล่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นก่อนยุค The Fallen นาน

ข้อมูล Arete Stone

แผ่นเซรามิกปริศนาที่ตั้งอยู่ในรังลับ แม้คล้ายกับสิ่งตกทอดของ the Fallen แต่การที่มันตอบสนองต่อไคลฟ์ และทำให้เขาปลดปล่อยศักยภาพซ่อนเร้นได้ แสดงว่ามันเกี่ยวข้องกับอัลเทม่า ดูเหมือนว่าแท่งนี้ และหอคอยอื่น ๆ ที่โครงสร้างคล้ายกัน ถูกสร้างโดยอัลเทม่าก่อนที่จะเข้าสู่การหลับใหล เพื่อช่วยเกลาภาชนะ Mythos ให้สมบูรณ์

ข้อมูล Dominant

ผู้ที่มีพลังของ Eikon หลับใหลอยู่ เป็นเพียงแผ่นหินแต่ละก้าวในการสร้างภาชนะที่สมบูรณ์แบบของอัลเทม่า Mythos ตอนที่อัลเทม่าหว่านเมล็ดพันธุ์ของมนุษยชาติ เขามอบธาตุประจำตัวให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้อง mothercrystal แต่ละก้อน พลังที่จะเพิ่มขึ้นรุ่นสู่รุ่น จนกว่า Eikon จะปรากฏขึ้นมา แม้ว่าความทรงจำของการมีพลัง จะยังคงอยู่แม้ว่าจะถูกดูด (พลัง) เข้าไปในตัว Mythos แล้ว แต่เมื่อพวกเขาจะเรียก Eikon ออกมา มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น