รวม Easter Egg & Reference ใน Final Fantasy XVI
Easter Egg & References
--------------------------------------------
1. Mothercrystal = เตามาโค (FFVII)
ปกติแล้ว Crystal ใน FF ยุคคลาสสิก จะเป็นแหล่งพลังงาน มอบพลังดินน้ำลมไฟให้กับโลก ทว่าฟังก์ชันของ Mothercrystal ใน FFXVI มันต่างออกไป ถึงแม้ว่าคนที่อยู่อาศัยรอบ Mothercrystal จะรู้สึกว่ารอบดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์ ทว่าแท้จริงแล้วความอุดมสมบูรณ์นั้น มันไม่ใช่พรของคริสตัล แต่เป็นการที่มันไปดูดความอุดมสมบูรณ์ของโลก หรือพลัง Aether ในผืนแผ่นดินมาใช้
ดังนั้นแล้ว ฟังก์ชันของมันจริง ๆ จึงไปเหมือนกับเตาปฏิกรณ์มาโคใน FFVII ที่ไปดูดไลฟ์สตรีมของโลก มาใช้แปรรูปเป็นพลังงานมาโค ยิ่งใช้โลกก็จะยิ่งตายไวขึ้นทุกวัน
โดยในขณะที่มิดการ์ ซึ่งเป็นเมืองที่สูบและใช้มาโคมากที่สุดนั้น รอบ ๆ เมืองกลายเป็นผืนแผ่นดินแห้งแล้ง ใน Final Fantasy XVI ก็ประสบภาวะ Blight หรือโซนดำ กล่าวคือแผ่นดินไหนที่ไม่มี Aether เหลือแล้ว ก็กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้งสีดำ ปลูกพืชไม่ขึ้น เลี้ยงสัตว์ไม่ได้ คนก็อยู่ไม่ได้ (ก่อนที่ในภายหลัง มนุษย์จะคิดค้นวิธีพัฒนาพื้นที่โซนดำให้อยู่อาศัยได้)
2. ไคลฟ์ ได้ยินเสียงในหัว ปวดหัว หลงผิด โทษคนอื่น = คลาวด์ (FFVII)
ตั้งแต่ต้นเกม พรี่ไคลฟ์จะได้ยินเสียงในหัวบ่อย ๆ แต่เสียงนั้น มันเป็นเสียงที่อัลเทม่าคุยกับไคลฟ์ โดยอัลเทม่านั้น รู้ได้ถึงการตื่นขึ้นของไคลฟ์ในฐานะ Mythos ร่างภาชนะสุดยอดที่อัลเทม่าเฝ้ารอมานาน มันเลยพูดงึมงำ ๆ บอกให้ตื่นขึ้นบ้าง มานี่บ้าง ฯลฯ เรียกให้ไคลฟ์ไปหา ซึ่งเวลาอัลเทม่าเรียกไคลฟ์ ไคลฟ์ก็หัวจะปวด
อาการนี้คล้ายกับที่คลาวด์เป็นใน FFVII โดยของคลาวด์นั้น เกิดจากการที่มีเซลล์เจโนว่าอยู่ในตัว แล้วเซลล์เจโนว่ามันปั่นป่วนความทรงจำ และประสาทการรับรู้ได้ อาการปวดหัวจี๊ดนั้น เลยมีทั้งเจโนว่าพยายามเซนเซอร์เรื่องที่คลาวด์ไม่ควรรู้, มีทั้งปวดหัวที่นึกเรื่องในอดีตไม่ออก, มีทั้งปวดหัวที่เซฟิรอธตัวจริงที่หลุมทางเหนือ พยายามสื่อสารกับคลาวด์ และเรียกไปหา ผ่านเซลล์เจโนว่า
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไคลฟ์หลงผิด งงว่าตกลงไอ้โม่งฆ่าโจชัว หรือกรูฆ่า หรือใครฆ่าวะะะ แล้วก็ฟูมฟายเศร้าฟุ้งคลุ้มคลั่งเล่นใหญ่เกินเบอร์…. อาการเดียวกับคลาวด์ตอนโดยเซฟิรอธหลอกว่าแกไม่ใช่คลาวด์ แกเป็นใครก็ไม่รู้ที่รับเซลล์เจโนว่าเข้าไป แล้วเซลล์มันไปดูดเอาความทรงจำเรื่องคลาวด์ในหัวทิฟาเข้าไปในตัว ทำให้แกมโนไปเองว่าตัวเองคือคลาวด์….
ทั้งสองคนจบแบบเดียวกันที่อ่าว…. กุฟุ้งไปเอง…
3. ไคลฟ์ต่อสู้กับร่างมืดของตัวเอง = เซซิลก้าวข้ามด้านมืดของตัวเอง (FFIV)
ในเกมจะมีซีนที่ไคลฟ์ต้องต่อสู้กับด้านมืดของตัวเอง และต้องยอมรับความจริงว่าตัวเองคืออิฟรีต เอาพลังของอิฟรีตมาใช้ เพื่อก้าวข้ามตัวเองในอดีตไป
เช่นเดียวกับเซซิลที่ใช้ชีวิตอยู่ในวิถีของ Dark Knight มาตลอด และสำนึกผิดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาที่ได้ทำลงไป จึงไปขัดเกลาตนเองที่หุบเขาทรมานตน ผจญกับร่างมืดของตัวเอง และก้าวข้ามร่างมืดมาได้ จึงได้กลายเป็น พาลาดิน อย่างเต็มตัว
4. Aether = Mist (FFXII) + Lifestream (FFVII)
Aether เป็นพลังงานในแผ่นดิน ทำให้โลกอุดมสมบูรณ์ และทำให้ใช้เวทมนต์ได้
นอกจากนี้คนที่ได้รับ Aether เข้าตัวมากเกินไป ก็จะอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่ง เป็นบ้า จิตหลุดได้
ประเด็นนี้คล้ายกับคุณสมบัติของ Mist ใน Ivalice ที่เป็นแหล่งพลังงานเวทมนต์ และคนที่ได้รับ Mist เข้าไปมาก ๆ ก็จะคลุ้มคลั่งได้
แต่ขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติเหมือน Lifestream ของ FFVII ในแง่ที่มันทำให้ดวงดาวสมบูรณ์ มันเป็นดั่งพลังงานชีวิต
5. Spoony Bard = Gilbert/Edward (FFIV)
กวีที่เล่นดนตรีอยู่ในรังลับของซิด ตอนแรกเราจะรู้จักเขาในฉายา Spoony Bard ซึ่งคำนี้เป็นศัพท์ใน FFIV ที่เทร่า (Tellah) ใช้เรียกกิลเบิร์ต หรือในภาคอังกฤษมีชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด
6. Lukahn Larkstongue = Lukahn นักทำนาย (FFI)
ภายหลังเราพบว่ากวีนั้นมีชื่อจริงว่า ลูคาห์น ซึ่งชื่อนั้นเอามาจาก ลูคาห์น ใน FF ซึ่งเป็นคนทำนายว่าเมื่อความมืดเข้าปกคลุมโลก นักรบแห่งแสงทั้ง 4 คนจะปรากฏตัว
7. เรือเหาะ Invincible = เอามาจากชื่อเรือเหาะที่ใช้ในหลายภาค
เรือเหาะ Invincible เคยปรากฏมาแล้วใน FFIII, FFIX, FF Brave Exvius และยังเป็นชื่อเครื่องประดับ อบิลิตี้ หรือศัตรูในอีกหลายภาค
8. Crystal Fetter = Crystal Jammer (FF Type-0), Wallbreaker Wave (FFXV)
Crystal Fetter เป็นโซ่ตรวนที่ทำให้ลำเลียง Aether เข้าออกร่างไม่ได้ เมื่อสวมเข้าใส่ร่างทรงและแบร์เรอร์ ก็จะทำให้ใช้เวทมนต์ไม่ได้ ใน FFXVI นั้นตอนโจชัวกับจิลโดนจับ ก็โดนสวมตรวนนี้ไว้
คุณสมบัติของมัน คล้ายกับ Crystal Jammer ใน FF Type-0 ที่เป็นการปล่อยคลื่นสัญญาณ ทำให้ชาวสุซาขุถูกตัดขาด ไม่สามารถรับพลังจากคริสตัลได้ ทำให้ชาวสุซาขุใช้เวทมนต์ไม่ได้ ทว่าพวกคลาส 0 ที่เป็นเด็กเส้น ยังใช้ได้ปกติ เพราะพวกนี้ใช้พลังเวทย์จากจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่ได้ดึงมาจากคริสตัล
ส่วน Wallbreaker Wave ใน FFXV เป็นเทคโนโลยีของฝั่งนิฟไฮม์ เป็นคลื่นคล้ายกับที่ออกมาจาก Crystal Jammer นั่นแหละ คือทำให้ชาวลูซิสไม่สามารถใช้เวทมนต์ที่เป็นพรพลังจากคริสตัลของราชวงศ์ได้ พวกนิฟไฮม์ใช้ตอนบุกเข้ามาตีลูซิส และก็เปิดที่ฐาน Zegnautus Keep ตอนที่น็อคติสกับพวกลอบเข้าไป ทว่า Wave นั้นไม่สามารถตัดพลังเวทย์จากแหวนลูซิไอออกไปได้ เพราะแหวนลูซิไอมันมีพลังในตัวมันเอง
9. ภาพสัญลักษณ์ของ Mobhunt = มอนสเตอร์ Tomato (FFXII)
10. ห้องเก็บของสะสมของไคลฟ์ = ห้องเก็บสะสม achievement ที่ชื่อ Sky Pirate’s den (FFXII)
11. Desert Rose ที่ได้จาก L’ubor = กุหลาบทะเลทราย ที่ได้จากพรี่ Ruby Weapon (FFVII)
สามารถเอา Desert Rose ไปแลกเป็นโจโคโบะทองได้
12. ท่าโจมตีของ Undertaker ที่ชื่อ Spirits Within = เอามาจากชื่อหนัง CGI ปี 2001 ของฮิโรโนบุ ซากากุจิ
Final Fantasy: The Spirits Within ออกฉายเป็นครั้งแรกในรอบพรีเมียร์ โดย Square ได้ลงทุนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไปทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 167 ล้านดอลลาร์ โดยแยกเป็นต้นทุนการผลิต 137 ล้านดอลลาร์ และต้นทุนด้านการตลาดอีก 30 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภาพยนตร์แนว Sci-fi ดังกล่าวก็แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Final Fantasy ที่แฟน ๆ รู้จัก และท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของมันก็คือการทำให้ Square ต้องขาดทุนวอดวายถึง 82 ล้านดอลลาร์ (ทำรายได้ทั่วโลกได้ 85 ล้านดอลลาร์)
13. โม่งผ้าคลุมใช้ไฟ = ดีไซน์ของพวกคลาส 0 ( FF Type-0)
แต่ถ้าโม่งเฉย ๆ มีตั้งแต่พวกศัตรูปริศนาใน FF III เป็นต้นมาแล้ว อะไรที่ยังไม่อยากเปิดเผยตัวตน เขาก็ใช้เป็นพวกโม่งไปก่อน - ทว่าโม่งที่ใช้ไฟ ไฟล้อมเป็นหลักจริง ๆ คือพวกแก็ง Class 0
14. อัลเทม่าสร้างภาพหลอน = โอควิเลียสร้างผีราสเลอร์ (FFXII)
ใน FFXII เหล่าโอควิเลียที่พยายามครอบงำประวัติศาสตร์มนุษย์ ได้สร้างภาพหลอนของเจ้าชายราสเลอร์ สามีผู้ล่วงลับ พยายามปั่นหัวอาเช่ เพื่อให้อาเช่แค้น แล้วจะได้รับพลังจากโอควิเลีย เอาไปทำลายจักรวรรดิอาร์เคเดีย และรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งตามประสงค์ของโอควิเลีย ซึ่งตั้งตัวเป็นสมมติเทพผู้ครอบงำโลกนี้
เช่นเดียวกับใน FFXVI ที่วายร้ายของเรา ก็เล่นมุกสร้างภาพหลอนมาปั่นหัวคนไปทั่วอีกแล้ว เรียกว่าเป็นสกิลพื้นฐานของตัวร้ายจริง ๆ
15. เรือไม่เหาะ Enterprise = เรือเหาะ (FFIII, FFIV, FFXIV)
ยานนี้ปรากฏครั้งแรกใน FF III เดิมเป็นเรือธรรมดา แต่ซิดเอาไปโมฯ จนกลายเป็นเรือเหาะ หลังจากนั้นยานนี้ก็เป็นเรือเหาะสืบมา…
ก่อนที่ใน FFXVI มิดและซิดจะร่วมกันออกแบบเรือ Enterprise ขึ้นมา ซึ่งมิดพยายามจะโมฯ ให้กลายเป็นเรือเหาะ แต่จนจบเรื่องก็ยังทำไม่สำเร็จ
16. Blight ~ เขต Jagd
ในภาคตระกูล Ivalice นั้น จะมีดินแดนที่เรียกว่าเป็นเขต Jagd
เขต Jagd นั้น จะมี Mist อยู่ในอากาศ และมี Magicite ที่เป็นแหล่งพลังเวทย์ในพื้นดินมหาศาล ทำให้เรือเหาะปกติที่ลอยได้ด้วยหินเวทมนต์ Skystone ไม่สามารถลอยผ่านเขต Jagd เพราะพลังงานธรรมชาติในเขต Jagd มันเยอะเกินควบคุม
พอพลังงานมันเยอะจนเกินควบคุม พวกชาติต่าง ๆ ก็จะไม่อยากยุ่งกับเขต Jagd มันกลายเป็นดินแดนที่อาศัยลำบาก คนปกติก็จะไม่เข้าไปอยู่กัน
ในภาค FFTA ที่มีจัดจ์เดินคุมตามที่ต่าง ๆ ก็ปรากฏว่าพวกจัดจ์จะไม่เข้ามายุ่งในเขต Jagd ทำให้ดินแดนเหล่านั้นกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนของพวกนอกรีตไป
ฟังดูแล้วมันก็มีส่วนคล้ายและตรงข้ามกับเขต Blight หรือโซนดำใน FFXVI กล่าวคือ
ในขณะที่ Jagd นั้นมี Mist และ Magicite เยอะจนเกินควบคุม แต่เขต Blight นั้นคือปราศจาก Aether
ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้ง Jagd และ Blight ต่างเป็นดินแดนที่มีปัญหาในการอยู่อาศัย คนปกติเขาก็ไม่เข้าไปอยู่กัน
17. คริสตัลมีทั้งหมด 8 ก้อน = การมีคริสตัล 8 ก้อนในเรื่อง โดนตอนแรกเผยมาแค่ 4 แต่จริง ๆ แล้วมันมีถึง 8 มีมาตั้งแต่ FFIII, FFIV แล้ว
18. Akashic = ใน FF Type-0 มี Akashic Records เป็นตำราบันทึกประวัติศาสตร์โลกทั้งหมดไว้
19. ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนช่วงกลางเกม = มุกจาก FFVI หลังเคฟก้ายึดพลังสามเทพ, FFVII หลังเซฟิรอธเรียกเมเทโอมาลง
19. ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนช่วงกลางเกม = มุกจาก FFVI หลังเคฟก้ายึดพลังสามเทพ, FFVII หลังเซฟิรอธเรียกเมเทโอมาลง
20. Orcish สารพัดชนิด เช่น Orcish Fodder, Orcish Mesmerizer เอามาจาก FFXI
21. Molbol Carrot = เป็นโมลโบลมีชื่อ เป็น Mobhunt ตัวนึงใน FFXII
22. Magitek = พลังจักรกลเวท ปรากฏใน FFVI และ FFXV
23. พวก The Fallen เอามาโดวอาเมอร์มาสู้กันแล้วเรียก The War of Magi = เป็นศัพท์ใน FFVI แต่ของ FFVI นั้นคือการที่พวก Esper+Magi ของแต่ละประเทศ สู้กัน (มาโดวอาเมอร์มาเกิดขึ้นภายหลัง)
24. หุ่นไล่กา = ว่ากันว่าคล้ายวีวี่ (FFIX) แต่จะมองว่าเป็นร่างพื้นฐานของ Black Mage ทั่วไปตั้งแต่ FFI ก็ได้
25. นามแฝง Lord Margrace ที่โจชัวแห่งโรซาเรียใช้ = นามสกุลของ Al-Cid แห่งโรซาเรียใน FFXII
26. Martha ตอนถือกระทะโวยวาย = อันนี้อาจจะไม่ได้ Ref มาซะทีเดียว แต่ผมว่าคนเล่น FFIV มายังไงก็ต้องถึงภรรยาของหยาง ที่ฝากกระทะไปทุบหัวผัวตัวเอง
27. Owain ที่ให้เราช่วยสร้างเตาเผา Telamon Furnance = เอามาจากชื่อ Tower of Owen ใน FFIII ซึ่งมีเตาเผาที่เดชมันโดดเข้าไป โดยหอคอยนั้นผลิตพลังงานที่ทำให้ทวีปลอยฟ้าลอยได้
28. Gizamaluk = บอสสุดโหดจาก FFIX
29. Interdimensional Rift = ช่องแยกมิติ ปรากฏครั้งแรกใน FFV แล้วก็ลามไปภาคอื่น ๆ ที่โดดเด่นเช่น FFXIII-2, Dissidia, FF Origin รวมถึงสารพัดภาคที่กิลกาแมชโผล่ไปได้
30. ท่า Eternal Darkness ของอัลเทม่า = มาจากชื่อ Eien no Yami บอสใหญ่ของ FFIX และท่าของ Ark
31. อัลเทม่ามาจากดาวอื่น ที่ไม่อาจอยู่อาศัยได้แล้ว = เซมุส บอสใหญ่ FFIV
32. อัลเทม่าจะสร้างโลกใบใหม่ = บูนิเบลเซ่ จะสร้างจักรวาลใหม่ (LR FFXIII)
33. จิลบอกไคลฟ์ว่าจะรอเธอกลับมาที่ยานแม่นี่ I’ll always be here = สคอลล์ที่บอกริโนอาว่า “I’ll be waiting for you. If you come here, you’ll find me. I promise.” (FFVIII)
34. ดิออนบอกว่าเดี๋ยวแปลงเป็นบาฮามุทแล้วพาไป Origin ให้ จะได้เซฟ ๆ พลังของโจชัว = เซเลสเทีย อาสาแปลงร่างเป็นชินริว เพื่อพาคลาส 0 ขึ้นไปยังตำหนักมารลอยฟ้า แพนเดโมเนียม (FF Type-0)
35. บัทซ์ยอดนักประดิษฐ์ (Bartz the Builder) = ชื่อมาจากพี่บัทซ์ เทพเปียโน ผู้ดำน้ำได้ 7 นาที ลูกดอร์แกน พระเอก FFV
36. Balmung Dark = ใครมาเหยียบก็ต้องรู้ ว่าที่นี่เหมือนโคลิเซียมของยัสมัท ที่ตั้งอยู่หน้าประภาคารฟารอส บริเวณผาน้ำตกริโดรานา (FFXII)
32. อัลเทม่าจะสร้างโลกใบใหม่ = บูนิเบลเซ่ จะสร้างจักรวาลใหม่ (LR FFXIII)
33. จิลบอกไคลฟ์ว่าจะรอเธอกลับมาที่ยานแม่นี่ I’ll always be here = สคอลล์ที่บอกริโนอาว่า “I’ll be waiting for you. If you come here, you’ll find me. I promise.” (FFVIII)
34. ดิออนบอกว่าเดี๋ยวแปลงเป็นบาฮามุทแล้วพาไป Origin ให้ จะได้เซฟ ๆ พลังของโจชัว = เซเลสเทีย อาสาแปลงร่างเป็นชินริว เพื่อพาคลาส 0 ขึ้นไปยังตำหนักมารลอยฟ้า แพนเดโมเนียม (FF Type-0)
35. บัทซ์ยอดนักประดิษฐ์ (Bartz the Builder) = ชื่อมาจากพี่บัทซ์ เทพเปียโน ผู้ดำน้ำได้ 7 นาที ลูกดอร์แกน พระเอก FFV
36. Balmung Dark = ใครมาเหยียบก็ต้องรู้ ว่าที่นี่เหมือนโคลิเซียมของยัสมัท ที่ตั้งอยู่หน้าประภาคารฟารอส บริเวณผาน้ำตกริโดรานา (FFXII)
37. Kuza beast = อสูรที่ปราสาทผนึกคูเซอร์ (FFV)
38. Gav the Lionheart = สมญาของสคอลล์ (FFVIII), Gav the Almighty = สมญาของบูนิเบลเซ่ (LRFFXIII)
ก่อนที่ไคลฟ์จะไปสู้ศึกสุดท้าย ไคลฟ์กับ Gav มักพูดหยอกล้อเหมือนว่าจะไปแล้วไม่ได้กลับมา ไคลฟ์บอกว่าถ้าเขาเป็นอะไรไป ขอฝากชื่อซิดให้ Gav สานต่อด้วย แต่ Gav บอกไม่เอาหรอก ถ้าเป็นชื่อ Gav the Magnificent, Gav the Almighty, Gav the Lionheart ยังดีซะกว่า
ซึ่ง Lionheart นี่คือสมญาเลื่องชื่อของสคอลล์ ส่วน Almighty เป็นสมญาของบูนิเบลเซ่ แต่อาจจะมองว่า Almighty มันเป็นคำกลาง ๆ ก็ได้
39. Dalan กับ Kytes = NPC ชาวดัลมัสก้าใน (FFXII) โดย Kytes เป็นสมาชิกทีมในภาค Revenant Wings ด้วย
ตอน Cyril เอา Book of Martyrs ที่เป็นทะเบียนชื่อกองทัพอมตะ (Undying) ให้ไคลฟ์ดู เพื่อที่ไคลฟ์จะหาชื่อจริงของคนที่ใช้ฉายาว่า Third Chair ที่ยอมตายเพื่อรับใช้ตระกูลของเขา ไคลฟ์พลิกดูแล้ว ไปสะดุดตากับชื่อ Dalan และ Kytes
ไคลฟ์บอกว่าสองชื่อนี้ ไม่น่าเป็นชื่อชาวโรซาเรียได้ เขาคิดว่ากองทัพอมตะทั้งหมด เป็นชาวโรซาเรียซะอีก
ทว่า Cyril บอกว่าถูกแล้ว กองทัพอมตะเป็นชาวโรซาเรียทั้งหมด แต่พวกเขาต้องทำงานในเงามืด เลยต้องตั้งชื่อกันใหม่ เพื่อปกปิดชาติกำเนิดของตนเอง มันเลยมีคนใช้ชื่อ Dalan กับ Kytes ได้ (ซึ่งเป็นชื่อแบบชาวดัลมัสก้า) ไอ้ชื่อ Cyril ก็ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา
ปัญหาของไอ้เควสต์นี้คือ… จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่รู้ว่า Third Chair มันชื่ออะไร พอเจอชื่อ Dalan กับ Kytes แล้วมันก็จบทั้งอย่างงั้นเลย!!
40. ท่า Tri-Disaster = ท่าของ Valigarmanda (FFVI) และท่าผสานพลังโจมตีของริเดีย พาลอม และเลโอโนรา (FFIV The After Years)
41. Ultima = Occuria + Lunarian (FFXII + FFIV)
อัลเทม่านั้นมาจากดินแดนอันแสนไกล ไกลจนต้องสละร่างเนื้อให้เหลือแต่วิญญาณจึงจะเดินทางมาได้ และมากันหลายคน มาแล้วก็ครอบงำประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลัง
ในแง่การเดินทางไกลมาแสวงหาดินแดนแห่งใหม่ ก็เหมือนกับชาวจันทราใน FFIV (ซึ่งไม่ใช่คนจากดวงจันทร์ แต่เป็นคนจากดาวเคราะห์สักดวง ที่ขับดาวมาจอดข้างโลก แล้วโคจรอยู่เป็นดวงจันทร์ดวงที่ 2 ของโลก)
ส่วนในแง่มีกันเป็นกลุ่ม วางตัวเป็นสมมติเทพ ครอบงำอยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ จะเหมือนกับพวก Occuria ใน FFXII
42. ฉากต่อสู้กับอัลเทม่า ที่ได้ยินเสียงเพื่อนทีละคน และโจมตีแลกกันด้วยพลังอสูรทีละตัว = FFIII FFIV FFIX
ในฉากต่อสู้กับอัลเทมาลิอุส ไคลฟ์ได้ยินเสียงของพวกพ้องมากมายที่ส่งกำลังใจมาช่วย โดยเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเพื่อน ๆ จะออกมาตะโกนเรียก “คูไลบู่!!” คนละที ส่วนเวอร์ชั่นอังกฤษโคจิฟ็อกซ์เอาสคริปต์ไปตกแต่งอย่างมันส์มือ โดยเน้นที่การเปลี่ยนสรรพนามตามที่พวกพ้องแต่ละคนใช้เรียกไคลฟ์ กับเติมคำเชียร์ไปข้างหน้า
แกฟ “เอาโว้ยไคลฟ์” (Howay, Clive!)
ซิด “สู้มันพ่อหนุ่ม” (Go on, Lad!)
มิด “ส่งมันลงนรกไป ไคลฟ์!!” (Give them hell, Clive!)
ไบรอน “นั่นแหละ หลานเลิฟ” (That’s my boy!)
จิล “ช่วยกันน” (Together!)
เอลวิน “ซัดเข้าไป ลูกพ่อ” (Onwards, my son!)
โจชัว “ตลอดไปเลยพี่” (Forevermore)
ซึ่งส่วนตัวผมว่าโคจิฟ็อกซ์แต่งได้แพรวพราวมาก โดยใจความก็ไม่ได้ต่างไปจากญี่ปุ่นหรอก
ไอ้มุกส่งพลังมาช่วยสู้กับบอสใหญ่นี่ มีมาตั้งแต่ใน FFIII ซึ่งกรณีของ FFIII นั้น ซารา เด็ช ซิด อาลุส และหัวหน้าผู้เฒ่าเบียว โดก้า อูเน่ จะมารวมพลังช่วยส่งให้ 4 นักรบแห่งแสงเอาชนะเมฆาอันธกาลได้ - https://youtu.be/H2TEAMb_Cqo?list=PLcPYmB04zYCi5mqqGf5GQbLhG1aROXH5a&t=366
เช่นเดียวกับ FFIV ที่หยิบยกมุกนี้มาใช้อีกครั้ง แต่เป็นการที่เพื่อน ๆ บนโลก ปาลอม โปรอม หยาง กิลเบิร์ด ซิด ราชาจีออต ลูก้า กระทั่งผีเทร่า ส่งคำอธิษฐานอันก่อเกิดเป็นพลังมาให้พวกเซซิล อ่อ รวมถึงฟุโซยะ และกอลเบซ่าที่นอนหมดสภาพอยู่แถวนั้นด้วย - https://youtu.be/zBTwH72VxGQ?list=PLcPYmB04zYCh6QeIHUgsB4SAMyPUPgHl2&t=106
มุกเดียวกันนี้ ถูกผลิตซ้ำอีกครั้งใน FFIX ตอนที่เราสู้กับบอสใหญ่ ความมืดชั่วนิรันดร์ โดยเพื่อน ๆ ที่โดนโจมตีจนหมดสภาพไป จะส่งพลังมาช่วยเพื่อน 4 คนที่เราเลือก ต่อสู้ในศึกสุดท้าย
ทั้งนี้ ชื่อท่าโจมตีของอสูรต่าง ๆ ในอัลทิมาลิอุสใช้ เช่น บาฮามูร์ คาทัสโตร ไอซึน ไฮเปอร์ ฯลฯ ก็เอามาจากชื่อมนต์เรียกอสูรใน FFIII ตามภาพประกอบ
43. ท่า Exaflare ที่อัลทิมาลิอุสใช้ = ท่าของบาฮามุท Fury ใน Crisis Core FFVII
44. ท่า Pulsar ที่ Ultima Risen ใช้ = ท่า Shockwave Pulsar ของอัลติมิเซีย ใน FFVIII
45. ท่า The Rapture ที่ Ultima Risen ใช้ = ท่า Limit Break ของเซลฟี่ FFVIII
46. ท่า Flare ที่อัลทิมาลิอุสใช้ = ท่า Flare Star ของคุจาใน FFIX
47. ตอนจบมีเด็กเกิดใหม่ 1 คน = ref มาจากตอนจบ FFVI ที่มีเด็กเกิดมาใหม่เหมือนกัน
48. ตอนจบแสงแห่งอรุณวันใหม่ก็เข้ามาทดแทนความมืด จากบรรยากาศที่วิปริตแปรปรวนมานาน ก็กลับกลายเป็นปกติ = FFVI FFVII FFXV (จะเหมือนของ FFXV ที่สุด)
49. จิลที่แหงนหน้ามองดวงจันทร์ แล้วเห็นดาว Metia ดับแสงลง และรู้สึกว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไคลฟ์ = เช่นเดียวกับแอริธในตอนจบ Crisis Core ที่อยู่ในโบสถ์ ขณะกำลังรับฟังเสียงจากดวงดาว ก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับแซ็ค
ทั้งสองเหตุการณ์ เราต่างไม่รู้ว่านางเอกได้รับสารจากดวงดาว มากน้อยเพียงไร เป็นการปล่อยให้ผู้เล่นเดาเอาเอง
50. “ทวีปด้านนอก” ที่อยู่นอกพื้นที่อาศัยของเรา = มีครั้งแรกใน FFIII ซึ่งเรามารู้ตัวตอนกลางเรื่องว่าเราอยู่ในทวีปลอยฟ้ามาตลอด เจอจัง ๆ อีกครั้งใน FFIX ที่เราอยู่ในทวีปแห่งหมอกมาตลอด
51. การจบเกมแบบ Time Skip ไปยังอนาคตอันแสนไกล คนเลิกใช้พลังจากแผ่นดินแล้ว = FFVII, ตอนเริ่มของ FFVI คนก็เลิกใช้เวทมนต์กันมานานแล้ว ตอนเริ่มของ FFTA และ FFTA2 ก็เช่นกัน
52. คำทำนายว่าจะมีผู้กอบกู้ ผู้ปลดปล่อย ไคโฮวฉะ อากิโตะ เซวิเออร์ นักรบแห่งแสงมากู้โลก = ผลิตซ้ำมาตั้งแต่ FFI FFIII FF Type-0 LRFFXIII
53. อัลเทม่าชอบตัวตนอันบริสุทธิ์ ซึ่งเขามองว่ามนุษย์ที่ปราศจากจิต/เจตจำนงค์ คือตัวตนที่บริสุทธิ์แล้ว = บูนิเบลเซ่ใน LRFFXIII
ใน Lightning Returns ไม่มีการอธิบายว่าเหตุใดบูนิเบลเซ่ ถึงมีรสนิยมเช่นนั้น ปล่อยให้เดากันไปเอง ผมก็เดา ๆ ว่าเพราะสภาพที่ปราศจากจิต ปราศจากอารมณ์ มันก็เหมือนเครื่องจักรดี เหมือนฟัลซิดี ทำให้ใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องกลัวผิดพลาดและไม่มั่ว
ส่วนใน FFXVI อัลเทม่านั้นสร้างมนุษย์ให้มีสภาพตั้งต้น (default) เป็นปราศจากจิต/เจตจำนงค์ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่มันจะชอบสภาพ default ที่มันสร้างเอง มากกว่าสภาพมนุษย์ที่จู่ ๆ ก็วิวัฒนาการให้ก่อเกิดจิตขึ้นมา พอมนุษย์มีจิต แม่งก็เกิดความฉิบหายพินาศผิดพลาดสงครามแย่งชิงจนทำให้โซนดำแพร่กระจาย แบบที่พวกอัลเทม่าเคยเป็นมา
ในขณะที่บูนิเบลเซ่ นั้นจะรับแต่วิญญาณของมนุษย์ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่รอดชีวิตมาจนถึงวันสิ้นโลก ไปสู่จักรวาลใหม่ โลกใหม่เท่านั้น (แต่ก็มีแผนสำรองด้วยการทำการทดลองสร้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิต เพื่อไว้มาเป็นสัตว์เลี้ยงแทนที่ของมนุษย์ แต่ไลท์นิ่งไปจัดการทิ้งแล้ว) ทว่าอัลเทม่าตั้งใจว่ามนุษย์ไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในโลกใบใหม่ที่ตนจะสร้างขึ้นมาเลย แต่ศาสนา Circle of Malius รวมถึงบาร์นาบัส กลับสอนกันอย่างผิด ๆ ว่าหากมนุษย์ละทิ้งจิตได้ ก็จะได้ไปอยู่ในโลกใบใหม่ของอัลเทม่า ซึ่งนั่นไม่ตรงกับประสงค์ของอัลเทม่าเลย
54. ท่า Phoenix Shift = Shift Warp (FFXV) คุณทาคาอิเคยยอมรับกับ Densfaminicogamer ไว้
Post a Comment