บทสัมภาษณ์ครบรอบ 35 ปี Final Fantasy (Part FFI - III)
-------------------------
Final Fantasy I
-------------------------
- FFI สร้างที่กินซ่า ฝั่งตะวันออกเขต 3 ใกล้ ๆ เขต 4 คุณซากากุจิบอกว่าในหน้าร้อนใส่เสื้อเหม็นเปรี้ยวกับกางเกงขาสั้น และรองเท้ายาง เดินไปหาข้าวเที่ยงกินที่ห้างมัตสึยะ พวกแม่บ้านก็นินทากันว่าคนพวกนี้เป็นใครกัน (หัวเราะ)
- คุณชิบุยะบอกตอนนั้นเธออายุ 20-21 เอง พึ่งเข้าบริษัทในฤดูร้อนปีนั้นเอง
- คิตาเสะบอกตอนนั้นเขายังเรียนมหาลัย เรียน Mario ของเพื่อนอยู่เลย แล้วตอนนั้นก็น่าจะได้เล่น FF1
- ซากากุจิก็ตะโกน "เฮ่ย!!" (ใช้คำว่าน่าจะได้ไง) คิตาเสะก็บอกเขาจำไม่ได้ว่า ได้เล่นตอนเกมออกทันทีเลยมั้ย ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้เข้ามาในวงการเกม เพราะเขาอยากเป็นคนสร้างภาพยนตร์มาตลอด
- ซากากุจิบอกว่าคิตาเสะ ปรากฏตัวขึ้นมาในตอนที่เขาต้องการคนเข้าใจการพรีเซนต์ FF แบบ Cinematic คิตาเสะถึงไปทำวีดีโอโปรโมต ๆ หน้าตาประหลาดออกมา ไอ้ที่แบบมีสกรีนแยกย่อยเยอะ ๆ ลอยจากบนลงล่างฉากลงมา
-------------------------
ที่มาของชื่อ Final Fantasy
-------------------------
- ซากากุจิบอกว่าตอนแรกมันมาจากชื่อ Fighting Fantasy ก่อน
- ยุคนั้น Dragon Quest มีชื่อเรียกย่อแล้วว่า ดราเก้ สำหรับเขาแล้วก็อยากให้เกมตัวเอง มีตัวย่อเป็น FF เลยตั้งชื่อ FF ขึ้นมาก่อน แล้วมาขยายเป็น Fighting Fantasy แต่มันดันใช้เป็น Trademark ไม่ได้ (แกเคยบอกว่ามันมีบอร์ดเกมใช้ชื่อนั้นก่อนแล้ว http://re-ffplanet.blogspot.com/2019/12/32.html)
- เลย "จำใจ" ต้องใช้ชื่อ Final Fantasy เป็นทางออกสุดท้าย (ขำกันทั้งห้อง)
-------------------------
ไอ้ที่เขาลือกันว่าเป็น "ความฝันสุดท้าย"
-------------------------
- ซากากุจิบอกว่าครั้งหนึ่ง เคยมีครูฝรั่งที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เขียนคำว่า Final Fantasy บนกระดาน แล้วบอกว่ามันคือ 究極の幻想 (Ultimate Illusion) ในภาษาญี่ปุ่น
- เด็กโรงเรียนนั้น เลยส่งโปสการ์ดมาถามว่า "ครูสอนเราว่ามันมีความหมายแบบนี้ มันจริงใช่มั้ยครับบ?"
- พออ่านปุ๊บ ซากกากุจิเลยเอาไปบอกทุกคนในบริษัทว่า "เอาแบบนี้!!" "จากนี้ไปชื่อเกมนี้แปลว่า 究極の幻想 สืบปัยยยยย"
- ซากากุจิบอกว่า ต้องขอบคุณครูฝรั่งคนนั้นมากจริง ๆ
-------------------------
เหตุผลที่เข้าวงการ
-------------------------
- ซากากุจิบอกว่าตอนนั้นมันมีเครื่อง Apple II ที่ทรงประสิทธิภาพมาก เขาก็เรียนมหาลัยอยู่กับฮิโรมิจิ ทานากะ ซึ่งทานากะเขาเล่น Ultima กับ Wizardry บนเครื่องนั้น ตอนนั้นก็ตะลึงงันมาก แล้วก็เลยตกหลุมรักเกม
- ส่วนคาสึโกะ ชิบุยะ อยากเป็น Animator เลยเรียนโรงเรียนสอน Animation แต่พอเรียนไปแล้วรู้สึกไม่เหมาะกับตัวเอง เลยไปปรึกษาครูว่าเรียนมาทางนี้แล้วจะทำงานอะไรได้อีกบ้าง ครูก็บอกว่าได้รับโฆษณาหางานจากบริษัทเกมมา
- ซากากุจิบอกว่าที่เลือกก็เพราะเธองานอาร์ตดี ตอนสัมภาษณ์ก็ถามว่ารู้เรื่อง Pixel Art มั้ย? (สมัยนั้นคนยังแทบไม่รู้จัก) ก็เลยเริ่มรู้จักตอนนั้นแหละ
- ซากากุจิถามว่าเธอไม่ได้เล่นเกม ไม่รู้ว่าตัวเองทำ Pixel Art ได้มั้ย แล้วไงถึงเลือกทำงานกับเราล่ะ? ชิบุยะก็บอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดเหมือนกัน ตอนนั้นก็ว่าจะไปเป็นดีไซเนอร์แล้ว (ขำ)
- ส่วนคิตาเสะ มาเข้าร่วมทีมช่วง FFIII เขาเองได้ออกจากโรงเรียนที่ทำงานเป็น Animator, Animation Planner อยู่ปีนึง แล้วอยากเปลี่ยนงาน ตอนนั้นก็เล่นเกมเป็นงานอดิเรก ตอนนั้นก็เล่นเกมนึงอยู่ จำชื่อไม่ได้ แต่เล่นแล้วหาทางไปต่อไม่ได้ เลยไปยืนเปิดนิตยสารดูในร้านหนังสือ แล้วเห็น Square ประกาศรับสมัครงานอยู่ในหนังสือ Famimaga ตอนนั้นก็คิดว่าอยากได้งานนี้ จะได้เล่นเกมทั้งวัน
- ตัวคิตาเสะเอง เล่น DQ และเกมหลากหลาย แต่ก็เห็นว่า FF น่าสนใจ ทั้งการเล่าเรื่องและการใช้ดราม่าแบบผู้ใหญ่
-------------------------
การพัฒนาเริ่มขึ้นได้อย่างไร
-------------------------
- ซากากุจิก็บอก เขียน setting บนไวท์บอร์ด แล้วมีสักคนเขียน "ดิน น้ำ ลม ไฟ" บอกว่าเป็นธาตุทั้ง 4 ขึ้นมา
- ตอนนั้นนาเซอร์ (Nasir Gebelli - โปรแกรมเมอร์จากอิหร่าน ทำ FFI-III สร้างเทคนิค high speed scrolling การเลื่อนฉากไวขั้นสุดสำหรับเรือเหาะขึ้นมา ซึ่งเป็นเทคนิคที่แทบเป็นไปไม่ได้ในยุคนั้น) ยังไม่รู้จัก RPG เลย ทั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน 3D Action เลยต้องอธิบายตั้งแต่ว่ามันจะมีฉาก Field, ฉาก Town, แล้วต้องมีตัดเข้า Battle Scene ซึ่งนาเซอร์ก็บอกว่า "ทำไมต้องตัดฉากด้วย สู้กันตรงนั้นเลยไม่ได้เหรอ?"
- แล้วนาเซอร์ก็พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ RPG แต่ก็ยังคิดอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ คือไปทำเรือเหาะขึ้นมา โดยที่ยังไม่ได้อนุมัติไอเดียเลยด้วยซ้ำ!!
------------------------
มองอะไรเทียบระหว่างพัฒนา FF
------------------------
- ซากากุจิบอกว่า ตอนนั้น DQ เป็นเป้าหมายใหญ่
- ตอนแรกพวกเขาเคยทำเกม RPG บน PC มาก่อนแล้ว แต่คิดว่าคงทำแบบเดียวกันลงความจุ ROM ของ Famicom ไม่ได้ แล้ว RPG มันต้องเล่นได้เกิน 10 ชั่วโมง มีการค่อย ๆ บิ้วตัวละครเป็นเวลานาน แต่ทีม DQ รู้จักตัดทิ้งที่ไม่จำเป็นทิ้ง และนำเสนอโลกอันมีสีสันจากข้อความของโฮริอิได้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนต่อยเข้าหน้า เพราะเชื่อมาตลอดว่า Famicom ไม่สามารถสร้าง RPG ได้แท้ ๆ เพราะคิดว่า Famicom เอาไว้สร้างเกม Action แท้ ๆ การมาถึงของ DQ เลยมีอิทธิพลกับเขามาก
-------------------------
Final Fantasy II
-------------------------
- สร้างหลังย้ายมาที่โอคาจิมาจิ
- ซากากุจิบอกค่าเช่าออฟฟิศที่กินซ่ามันแพง เดือนละ 20 ล้านเยนในยุคนั้น แต่ที่โอคาจิมาจิ มันแค่ 2 ล้านเลย ต่างกัน 10 เท่าเลย ลมแรงกว่าด้วย!!
- ทุกคนพึ่งนึกออกว่าคิตาเสะเงียบไปนาน ลืมถามคิตาเสะเลย คิตาเสะก็บอกว่าตอนนั้นเขาก็ยังยืนดูแผงหนังสืออยู่ ตอนนั้นเคยเล่น FFI มาก่อนแล้ว พอจะไปสัมภาษณ์งานกับ Square เลยไปรีบซื้อ FFII มาเล่นก่อน
- อาคิโตชิ คาวาซึ เป็นคนคิดระบบพัฒนาตัวละครใน FFII ที่ไม่ใช้ EXP และระบบนี้เอาไปต่อยอดในซีรีส์ SaGa ของแก ทุกวันนี้เป็นบิดาของซีรีส์ SaGa และ FF Crystal Chronicle
- ซากากุจิบอกว่าตอนนั้นก็พิจาณราว่า จะสร้างเนื้อเรื่องต่อมา โดยใช้ตัวเอกชุดเดิมดีมั้ย? และรู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ที่เปลี่ยนมันทั้งเนื้อเรื่องและระบบ ตอนนั้นตัวเขาและทานากะก็เหนื่อยยากจากการทำ FFI มา เลยบอกคาวาซึ "ช่วยไปคิดอะไรมาหน่อย" (หัวเราะ) ซึ่งคาวาซึมีไอเดียในหัวแล้ว เราก็ตกลงว่าจะใช้แนวทางนั้น เกมเลยเต็มไปด้วยไอเดียของคาวาซึ
- ฉากเปิดเกมที่พวกตัวเอกโดนไล่ล่าแล้วก้แพ้ ก็เหมือนกับหนัง Hollywood ที่ต้องมีจุดฮุคให้คนติดตาม
- ชื่อฟรีโอนีล เป็นสิ่งที่คาวาซึตั้ง ซากากุจิไม่ได้เป็นคนตั้ง
- ผู้สัมภาษณ์ถามว่าฉาก Lamia Queen ปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงฮิลด้า แล้วเชื้อเชิญฟรีโอนีลไปตะลึ่งตึ่งโป๊ะอีโรติคด้วยด้วย ใครเป็นคนคิดดด!! ซากากุจิบอกว่าอันนี้ไม่ใช่คาวาซึ (ทำท่านึก) แล้วก็บอกว่าน่าจะเป็นตัวเขาเองเนี่ยแหละ คือตอนนั้นพวกเราก็ยังหนุ่มแน่น นาเซอร์ก็ชอบไอเดียนี้ เลยฉาบทั้งจอด้วยสีชมพูเลย
-------------------------
ภาคคู่โฟกัสเนื้อเรื่อง ภาคคี่โฟกัสระบบเหรอ?
-------------------------
- ซากากุจิบอก ก็มีความคิดแบบนั้นเกิดขึ้นมาจริง โซวเดสเนะ ตอน FFII เราก็โฟกัสเนื้อเรื่องกัน ตัวละครก็ตายเป็นเบือ ทว่าโลกและตัวละครมันยังเป็น pixel sprite มันเลยไม่ค่อยเกิด impact เราเลยใส่การตายเป็นเบือเข้าไปในยุค pixel ได้
- ต่อมาในภาคที่เรานำเสนอระบบ Job ผู้คนก็มองว่าเราโฟกัสที่ระบบ และมองว่าภาคที่เปลี่ยน Job ไม่ได้เป็นการโฟกัสที่เนื้อเรื่อง
- ทว่าสำหรับทีมงานแล้ว พวกเขา Story Focus ทั้งหมดนั่นแหละ แต่มุมมองคนเล่นมันเปลี่ยนไปตามว่าเราใส่ระบบ Job ลงไปมั้ย
- ตอน FFIV พวกเขาย้ายมาลงเครื่อง SFC แล้วเลยอยากเน้น Visual, ส่วน FFVI เป็นภาคสุดท้ายของยุค ก็อยากใส่ทุกอย่างลงไป อยากให้เนื้อเรื่องมัน Impact
- คิตาเสะบอกเขาเริ่มมามีส่วนร่วมใน FFV ก็ทำงานสนุกดี
-------------------------
Final Fantasy III
-------------------------
- ย้ายออฟฟิศมาที่ อาคาซาคะ
- ซากากุจิบอกว่าตอนนั้นพึ่งจะได้มีออฟฟิศแบบปกติทำงาน แต่วิวจากห้องทำงาน ดันเป็นสุสานนนน แล้วก็ได้แต่มองหลุมศพทั้งวัน
- แต่ข้าง ๆ ก็เป็นร้านอาหารหรูที่นักการเมืองชอบมากินกัน ตกกลางคืน ก็ได้ยินเสียงนักการเมืองเมาหัวเราะ โหวกเหวกกับเกอิชา "โอยยย ฮา ฮา ฮา ตลกจังเลยยย" ในขณะที่เขาทำงานอยู่ โคตรรำคาญญญ
-------------------------
ความลับเบื้องหลังกำเนิดเรือเหาะความเร็วสูง นอวติลุส
-------------------------
- ซากากุจิบอกว่ามีความเร็วแบบ x8 x16 ที่ไม่ได้ใช้ด้วยนะ นาเซอร์ชอบโยนสิ่งที่แกภาคภูมิใจใส่ลงไปในเกม รวมถึงไอ้การแอบใส่ Puzzle Game ลงไปด้วย นาเซอร์ชอบมีอะไรใหม่ ๆ มาอวดทุก 3 วัน เรือเหาะก็เป็นหนึ่งในนั้น
- วันหนึ่งนาเซอร์ก็มาบอก "อยากให้ทำฉากเลื่อนได้ใช่มั้ย จัดให้ เอาเลย กดปุ่ม B สิ" พอเรากดก็ทุกคนสะดุ้งแล้วกรูกันเข้ามาา "เฮ่ย มึงแม่งเท็นซัยยยยย" นาเซอร์ก็เชิดหน้าขึ้นอวดอีกว่าแบบเร็วกว่านี้ก็ยังมี แล้วมันก็เร็วฉิบหาย
- ซากากุจิเลยหันไปบอกนาเซอร์พร้อมทำมือกากบาท "ไม่ เร็วเกินไปแล้ววว ใช้ไม่ได้เว้ย!!"
-------------------------
แรงบันดาลใจของมนต์เรียกอสูร
-------------------------
- ซากากุจิจำไม่ได้แล้วว่าเป็นไอเดียของใคร เหตุผลจริง ๆ คือตลับเมโมรีที่เราใช้มันมีเมโมรีเขยิบเป็น 2 เท่า ตั้งแต่ FF > FFII > FFIII แล้วมันเมโมรีเหลือ เราเลยคุนกันว่า "ใครช่วยไปวาดมอนสเตอร์โบราณตัวเบิ้ม ๆ เผื่อมาเป็นพวกให้หน่อย!?" มันเริ่มมาจารกตรงนั้น
- แล้วอามาโนะก็ไปวาด Artwork อสูรขึ้นมา พวกเขาก็เอามา reproduce ใส่ในเกมด้วย maximum size ที่จะใส่ลงไปในฉากได้
- คุณชิบุยะบอกว่าตอนนั้นเธอวาดมอนสเตอร์ของ FFIII ด้วย และชอบการูด้ามากเป็นพิเศษ
-------------------------
ทำไม Crystal Tower ย๊าวยาว
-------------------------
- ซากากุจิบอกว่ามันเป็นดันฯ สุดท้ายของเกม ตอนแรกก็จะให้มีจุดเซฟกลางทาง แต่คนชื่อซึสึกิ ที่ยังทำงานอยู่ที่ SQEX ตอนนั้นเขาทำงาน part time โดยคอยดู content ในเกม เพื่อดีบั๊คและปรับบาลานซ์ แต่ซึสึกิคงเล่นจนพรุนแล้ว เลยมาบอกซากากุจิว่า "เกมมันง่ายไป ผมรู้สึกไม่มีแรงจูงใจเลย หยั่งกะเดินเล่นในสวนสาธารณะ" ซากากุจิ เลยสบถแล้วไปถอดจุดเซฟออก ทั้งหมดคือความผิดของไอ้ซึสึกิ!! ใครอยากด่าฝากทางนี้ไปด่าได้เลย /ผายมือไปทางคิตาเสะและชิบุยะ (หัวเราะ)
- ซากากุจิบอกว่าสำหรับผู้เล่น FFXIV Crystal Tower ยังเป็นซิมโบลิคอันเหลือเชื่อ ราวกับเหยียบเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ใน FFXIV มันก็มีคนเรียงเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน เป็นการ reproduce pixel sprite ของ Crystal Tower ด้วย
Post a Comment