The Last of Us Part II ที่ฉันควรจะหนีไปตั้งแต่แรกกกก
- พึ่งเล่นจบบ่ายวันนี้ The Last of Us Part II
- หลังจากเกมออกมา 10 เดือน แล้วมีอารมณ์เล่นได้แค่เดือนละ 1~2 ชั่วโมง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้ผจญภันกับพวกนี้มา 10 เดือน
- เบ็ดเสร็จใช้ไป 25~26 ชั่วโมงจบเนี่ย
ข้างล่างจะเป็นการบ่นเรี่ยราดล่ะนะ
-----------------------
สิ่งที่ชอบ
-----------------------
- ความละเอียดของฉาก, object, โลก
- ระบบถ่ายรูป, filter, การปรับแต่งภาพอันมากล้น
- ระบบสนับสนุน/ปรับแต่งค่าต่าง ๆ สำหรับผู้เล่นทุกกลุ่ม
- ระบบฟิสิกส์
- งาน production แทบทุกส่วน
- ความกล้าในการนำเสนอพล็อตเรื่อง "แบบนั้น" หมายถึงกล้าที่จะฆ่าโจล แล้วนำเสนอมุมมองของแอ็บบี้ เพื่อให้คนเล่นเรียนรู้มุมมองหลาย ๆ ด้าน มากกว่าที่จะเอาโจลเป็นศูนย์กลาง และตีเส้นให้เรื่องคนเล่นเข้าใจความเป็นมนุษย์ของแอ็บบี้....
- ผมมองว่านี่คือความกล้าแบบเดียวกับที่อันโนะสร้าง Rebuild of Evangelion มาโดยทำเหมือนเป็นการรีเมค แต่ที่จริงเป็นภาคต่อ, และกล้ายิ่งกว่าคุณโนมุระ ที่เดินตามรอยอันโนะมาติด ๆ
-----------------------
สิ่งที่เฉย ๆ
-----------------------
- ระบบการเล่นมันก็แทบจะก๊อปแปะมาจากภาคแรก
- ปืน อาวุธ ก็เหมือนเดิมแทบจะเป๊ะ
- A.I. ศัตรูที่เป็นมนุษย์ยังมีจุดบอดเหมือนเดิม ถ้าเรานั่งยองเดินสักอย่าง ก็มั่นใจได้เลยว่าสามารถเข้าไปลอบฆ่าได้แน่ ๆ ซึ่งมันไม่สมจริง
- แค่มีอะไรบังหัวเราสักหน่อย ศัตรูก็ไม่เห็นแล้ว ทั้งที่สิ่งที่บังมันบังเราได้บาง ๆ ถ้าเป็นชีวิตจริง ยังไงอีกฝ่ายก็เห็นเรา
-----------------------
ไม่ชอบเลย / บ่นไปเรื่อยเปื่อย
-----------------------
- ภาคแรก ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องด้วยความรัก ความรู้สึกที่อยากปกป้องเอลลี และไม่อยากสูญเสียคนสำคัญมากไปอีก มันคือพล็อตที่อบอุ่นและจรรโลงใจ
- แต่ภาคสอง ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องด้วยการแก้แค้นเป็นหลัก แม้จะมีเรื่องความรักระหว่างเอลลีกับเพื่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอิน แล้วเอลลีที่เป็น PTSD ไปแล้ว (เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นเราก็คงหลอน และก็คงมีอาการ flashback เห็นภาพความทรงจำที่เลวร้ายผุดขึ้นมา replay ในหัวเป็นระยะ ๆ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้) ก็เลือกที่จะอยู่กับการแก้แค้นมากกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและไม่จรรโลงใจ
- ช่วงองค์แรก (เนื้อเรื่องเอลลี) ผมเล่นไปแบบอืดอาดมาก ไม่มีแรงจูงใจที่จะเล่นเลย เบื่อ หลับ เหนื่อย ไม่มีแรงกระตุ้นจะเล่นต่อ..... แต่พอข้ามมาองค์สอง (เนื้อเรื่องแอ็บบี) และได้เห็นเบื้องหลังต่าง ๆ ได้เรียนรู้ความเป็นมาของเธอ เห็นเหตุผลของ เห็นความเป็นมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว ความสัมพันธ์ของแอ็บบี้กับแฟนเก่า (โอเว่นอยากให้แอ็บบี้มุ้ฟอรแล้วอยู่กับโอเว่น แต่แอ็บบี้หมกมุ่นแต่เรื่องแก้แค้นแล้วก็เลิกกับโอเว่น) การปิดบังแฟนใหม่ของแฟนเก่า (แอ็บบี้พึ่งโจ๊ะพรึม ๆ กับโอเว่นไป ทั้งที่เมลท้องอยู่ แล้ววันต่อมาเมลก็โผล่มาหาโอเว่น) การช่วยเหลือคนแปลกหน้าด้วยความเป็นมนุษย์ (เลฟ) มันทำให้รู้สึกตื่นเต้น และน่าเล่นกว่าองค์แรกอีก
- ประโยคแรกที่เอลลีพูดแรกตอนเจอแอ็บบี้อีกครั้งในท้ายองค์สอง คือ "....ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงฆ่าโจ เขาทำเพื่อปกป้องฉัน เป้าหมายของเธอจริง ๆ ควรเป็นฉัน...." ประกอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้า ทำให้เข้าใจได้ว่า สมองของเอลลียอมรับแล้วว่าสิ่งที่แอ็บบี้ทำ มันสมเหตุสมผล.... เพียงแต่หัวใจของเอลลียอมรับไม่ได้ ประกอบกับอาการ PTSD นั่นอีก.... พอสมองกับหัวใจ มันไม่ไปด้วยกัน มันนำไปสู่ความสับสน ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ไม่รู้ควรมุ้ฟอรตามหัวใจหรือตามสมอง
- การนำเสนอเรื่องราวของคนเป็น PTSD แบบนี้ผมว่ามันยากมาก ๆ และสภาพจิตใจเขาเต็มไปด้วยความสับสน มันยิ่งถ่ายทอดออกมาให้สวยงามยาก ส่งผลให้เล่นแล้วเราทั้งสับสนตาม ม่วนหน่วงท้อง แต่ก็ต้องชมคนเขียนพล็อตจริง ๆ ที่กล้ามาก ๆ ที่จะนำเสนอมุมมองของตัวละครแอ็บบี้ และทำให้เราเข้าใจเธอได้ขนาดนี้ และยังกล้าที่จะจบเรื่องแบบนั้น
- จบแบบ พอจะฆ่าก็ฆ่าไม่ลง... Flashback ภาพของโจลใน mood ที่อบอุ่นกำลังเล่นกีตาร์ กระตุ้นความอ่อนโยนในใจขึ้นมา... แล้วก็แยกกันทางใครทางมัน พอกลับมาบ้าน ก็ไม่เหลือใครแล้ว เหลือแต่บ้านอันว่างเปล่าาาา กีตาร์ที่โจลเคยให้มา ก็เล่นไม่ได้แล้วเพราะนิ้วขาดดดด
- คือมึงกล้ามว๊ากกกกกก คะแนนความกล้านี่เต็ม 10 เอาไป 112 เลยยย แต่เมื่อคืนตรูตามข่าวสลายการชุมนุม คนสะดุดล้มหนีไม่ทันโดนกระบองรุมฟาด สถานการณ์ตึงเครียด เห็นไฟจากปากกระบอกแล่บรัวเป็นระยะ ๆ เห็นคนหนีเข้าไปขอความช่วยเหลือจากแมคคคค เห็นคนนั่งกินข้าวข้างทางเฉย ๆ ต้องหนีตาย นักข่าวเองก็รายข่าวข่าวไป กรี๊ดแตกประสาทแดกกันไปหมดด้วยย เมื่อคืนก็ม่วนท้องฉิบหายแล้วว ไหงวันนี้กรูต้องมาเจอฉากจบเกมแบบนี้อี๊กกกกกกกกกกก
- แต่ก็ยังดีอย่างนะ ผมมีภูมิคุ้มกันจาก Life is Strange 2 มาก่อน.... อันนั้นคือเกมเพลย์แย่กว่านี้, Production เล็กกว่านี้, เนื้อเรื่องหลวมกว่านี้ แต่ประเทประทังเรื่องดราม่า เรื่องเศร้า ความม่วนท้อง การสูญเสียมาให้ตั้งแต่ต้นจนจบ.... ผมยังยกว่า The Last of US Part II มีแง่มุมดี ๆ ให้น่าเคารพนับถือและศึกษา มากกว่า Life is Strange 2 เยอะ
หากพระเจ้าส่งโจลย้อนเวลากลับไปในวันที่ฆ่าล่างเหล่าหิ้งห้อยเพื่อช่วยชีวิตเอลลี โจลก็จะยังคงเลือกทำแบบเดิมโดยไม่ลังเล เพราะโจลรู้สึกเหมือนเอลลีเป็นลูก โจลกลัวที่จะสูญเสียคนที่เป็นดั่งครอบครัวไปอีก โจลรู้สึกว่าเอลลีจะเป็นคนที่สืบทอดจิตวิญญาณของเขาและมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปแทนที่เขา ก็เหมือนพ่อที่อยากจะส่งมอบโลกใบนี้ต่อไปให้ลูก โดยเตรียมใจว่าสักวันนึงเราจะจากโลกนี้ไปก่อน โดยหวังให้เขามีชีวิตที่เป็นสุข
แต่หากพระเจ้าส่งผมย้อนเวลากลับไปในวันที่ผมเดินเข้าร้าน Siam Gameshop Day 1 ที่ The Last of Us Part 2 ออก ก่อนที่ตัวผมในอดีตจะจ่ายเงิน 1,850 บาทให้พี่คิดส์ไป
ผมจะไปกระชากหัวตัวเองในวันนั้น แล้วบอกตัวเองว่า "หนีปัยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"
Post a Comment