ฮาวทูทิ้ง เรื่องจริงที่ทุกคนต้องตระหนักในช่วงหนึ่งของชีวิต
[Life][บ่น] ตั้งแต่แวบแรกที่ได้ดูเทรลเลอร์ของฮาวทูทิ้ง ผมก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้พยายามสื่อถึงแนวคิดอะไรบางอย่าง ที่มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตกผลึกมันขึ้นมาเองให้ได้ ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต
ย้อนกลับไปตอนสมัยผมพึ่งเรียนจบ ป.ตรี ใหม่ ๆ มีอยู่ช่วงนึงที่ผมเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่น และมีอาการหายใจไม่ออกบ่อยมาก
เรื่องแบบนี้ถึงกินยาไปก็ไม่ค่อยจะช่วยอะไร ที่สำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมในการใช้ชีวิตด้วย มันถึงจะหาย
ทีนี้ด้วยความที่บ้านผมอยู่ติดถนนใหญ่ มีฝุ่นควันจากริมถนนพัดผ่านตลอด แถมบ้านยังเป็นระบบครอบครัวจีนโบราณ ถือค่านิยมในการเก็บรักษาทุกสรรพสิ่งที่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีประโยชน์แล้วไปจนกว่าจักรวาลจะดับสูญ มันก็ทำให้บ้านกลายเป็นที่แออัดด้วยของเก่าและฝุ่นมากมาย
สำหรับห้องของผมเอง แม้ว่าผมจะเป็นคนเก็บรักษาของเป็นระเบียบ แต่ผมก็พยายามเก็บของทุกอย่างที่ได้มาตั้งแต่เด็กไว้ทั้งหมด และใช้สอยพื้นที่ทุกตารางนิ้วในห้องให้คุ้มค่าที่สุด ผลคือสิ่งต่าง ๆ ในห้องแม้จะถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบมุมฉาก แต่มันก็พ่วงด้วยความแออัดและรกแน่นด้วยฝุ่น
ตอนนั้นเอง ผมถึงเริ่มต้องมาทำความสะอาดห้องและพื้นที่ใช้สอยส่วนตัวใหม่อย่างจริงจัง เพื่อจะรักษาตัวเองจากโรค
แล้วก็คิดได้ว่า พอมีข้าวของมาถึงจุดนึง คนเราก็ต้องทำการ "สะสาง" สิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย
สะสางในที่นี้ กินความหมายรวมทั้ง "ทิ้ง บริจาค ขาย ยกให้" คนอื่น ๆ ต่อไป
ของที่ทิ้ง เท่าที่นึกออกก็เช่น
- กองนิตยสาร Mega/Mega Month ที่ซื้่อทุกฉบับมา 20 ปี, หนังสือคู่มือเกมเก่า ๆ จำนวนมหาศาล (เหลือเก็บไว้แค่ FF และ KH), พวกแผ่นก๊อปเกมทั้งหมด
- นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าตังค์ นาฬิกาปลุก พวกของที่เคยใช้ตอนประถม มัธยม และคงไม่ได้ใช้แล้ว
- ของที่ระลึกกระจุกกระจิก ของที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มักจะได้มาตอนที่คนอื่นไปเที่ยวแล้วซื้อมาฝาก หรือได้มาจากพวกงานจับสลากแลกของ
- ฟิกเกอร์สนู๊ปปี้ ของสะสมต่าง ๆ จากชุดแฮปปี้มีลแมคโดนัลด์ รวมถึงพวกของเล่นของสะสมเด็กแบบนั้น
- รูปถ่ายจำนวนหนึ่ง
- ฯลฯ (นึกไม่ค่อยออก ที่ผ่านมาก็พยายามจะไม่ทบทวนให้ตัวเองเจ็บปวด)
ที่ปวดหัวที่สุดคือ พ่อผมเป็นคนที่ชอบเอาภาพถ่ายไปใส่กรอบวิทยาศาสตร์ แล้วก็เอามาตั้งเรียงให้มันรกบ้าน แล้วก็ชอบเอาภาพผมไปอัดใส่กรอบมาเผื่อแผ่เต็มห้องไปหมด.... ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าเราไม่ควรจะเอารูปไปอัดใส่กรอบแบบนั้นพร่ำเพรื่อเลย มันกินพื้นที่ ถ้าเก็บเป็นภาพกระดาษเล็ก ๆ มันยังเก็บง่ายกว่า
ซึ่งทุกครั้งที่ต้องสะสางของออกไป ผมก็รู้สึกเจ็บปวด... กระทั่งทุกวันนี้เวลานึกถึงพวกของเหล่านั้น ที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว ก็ยังคงเศร้าและเจ็บปวด
อ่าวเฮ่ย พูดถึงบรรทัดนี้ ก็นึกถึงรองเท้าของแฟนเก่า ที่แม้เลิกกันไปแล้วผมก็ยังเก็บไว้ในห้องอีกนาน แต่วันนั้นก็ถึงคราตัดใจต้องทิ้งไป
แม้จะเจ็บปวดกับการลาจาก แต่ผมก็อยากจะเชื่อว่าทุกความเจ็บปวดนั้น ล้วนทำให้เราเติบโตมากขึ้น
ยังไงซะ เราก็ต้องสะสาง เพื่อให้พื้นที่มันสะอาด -> พอสะอาดแล้วจะได้ไม่มีเชื้อโรค ทำให้ทำความสะอาดง่าย แล้วเราก็จะหายจากภูมิแพ้
ถ้าสะสางแล้ว มีพื้นที่ว่างมากขึ้น -> เราก็จะพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ให้เข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น
วันที่ตัดสินใจแบบนั้นได้ ผมก็รีบลงมือจัดการทำให้เสร็จ... ทั้งบ้านก็ตกใจมากเพราะจากเดิมผมพยายามเก็บรักษาของทุกอย่างไว้ แต่พอถึงวันที่คิดจะทิ้ง ก็รีบลงมือทิ้งไปหมดเลย
จากนั้นมา... ในแต่ละปีผมก็ต้องหาวัน "สะสาง" ของตัวเอง แล้วก็มานั่งจัดระเบียบข้าวของต่าง ๆ อันไหนไม่ใช้ก็ทิ้งไป, พวกสินค้าจำพวกชุด Collection ก็เลิกซื้อมันแล้ว ซื้อเท่าที่ได้เล่น-ได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ และส่งมอบต่อไปให้คนอื่นได้ดีกว่า
ผมกลายเป็นพวกพยายามจะเลิกสะสมวัตถุ และก็เริ่มเห็นว่าหากแนวคิดนี้ได้แพร่กระจายไปยังคนในครอบครัว+คนในที่ทำงานด้วย มันก็คงจะดีนะ..... ไอ้สภาพบ้านและที่ทำงานที่รกเละไปด้วยของเก่าเก็บ หากทุกคนช่วยกันสะสาง มันก็คงจะดี
------------------------------------------
[Movie] อืม... หนังเรื่องนี้มันถ่ายทอด Struggle ที่คนซึ่งกำลังพยายามสะสางจะต้องเผชิญ
ไม่ว่าจะทิ้งสิ่งของ ทิ้งเพื่อน ทิ้งแฟน ทิ้งคนในครอบครัว หรือการเป็นคนที่ถูกทิ้งก็ตามที
ทุกอย่างมันมีอุปสรรค เอาแค่เราจะสะสางของ ๆ เราเองในบ้านเราเอง ก็ต้องมีหลายครั้งหลายหนที่คนในครอบครัวมาห้ามยั้งไว้
ทุกการสะสางแม้จะเจ็บปวด แต่ผมก็เชื่อว่ามันได้ทำให้เราเติบโตขึ้น และพร้อมที่จะก้าวต่อไป สู่สิ่งใหม่ ๆ ได้
แต่ว่าเราก็ไม่จำเป็นจะต้องหักดิบ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย... มันก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องหาความพอดีให้กับตัวเองว่า เมื่อไหร่และอะไร ที่คุณจะทิ้ง....
สำหรับผมเอง ตอนนี้ยังไม่สามารถทำใจทิ้งพวก กระดาษที่พ่อแม่หรือคนสำคัญเขียนอวยพรให้เราด้วยความรัก, เกมบอยคัลเลอร์ที่พ่อพาไปซื้อที่สะพานเหล็กให้ตอน ม.ต้น พวกของที่เป็นหลักฐานว่าในช่วงเวลาหนึ่งเขาเคยรักเรามากขนาดไหน ของพวกนี้ผมมีไม่เยอะเท่าไหร่ และก็ยังไม่พร้อมจะสะสางไป
สรุปแล้ว ก็เป็นหนังที่พยายามสื่อถึงแนวคิดของเรื่องการสะสางสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิต... ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องตกผลึกให้ได้ในสักวันนึง
แม้จะไม่ใช่หนังแนวสนุก แต่ก็เป็นหนังที่เป็นประโยชน์กับทุกคน และอาจช่วยกระตุ้นให้คนที่ยังไม่ตกผลึก ได้ตกผลึกไวขึ้น... ก็อยากแนะนำให้ทุกคนไปดู เผื่อจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการสะสางบ้านและที่ทำงานของคุณให้สะอาดมากขึ้น.... ผมจะได้ไม่ต้องเป็นไอ้บ้านักสะสางอยู่คนเดียววว ขอบคุณครับบบบ
Post a Comment