รีวิว ป๊ะป๋าแห่งแสง เรื่องราวของพ่อลูกติดเกม Final Fantasy XIV
Review : Brave Father Online : our story of Final Fantasy XIV
劇場版 ファイナルファンタジーXIV 光のお父さん
ป๊ะป๋าแห่งแสง เรื่องราวของพ่อลูกติดเกมไฟนอลแฟนตาซีสิบสี่
เรื่องราวของพ่อบ้างานวัยใกล้ 60 ที่กำลังจะได้แต่งตั้งเป็น CEO บริษัทเอกชo แต่จู่ ๆ แกก็ลาออกจากงาน มานั่งเหม่อลอยจุ้มปุ้กอยู่บ้าน ด้วยความที่พูดไม่เก่งและห่างเหินกับลูกเมียมานาน ทำให้ยากที่จะสานสัมพันธ์และพูดจากับครอบครัว แถมยังไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไรทำไม ร้อนถึงลูกชายเกมเมอร์วัยเริ่มทำงานที่ต้องเอาเกม Final Fantasy XIV Online มามอมเมาและตีเนียนเข้าไปเป็นเพื่อนใหม่ของพ่อในโลกมายา เพื่อจะง้างความในใจของพ่อออกมาให้ได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากเรื่องราวบน Blog ของชาวญี่ปุ่น โดยมีการดัดแปลงเป็นบนละครโทรทัศน์มาก่อนในปี 2017 ก่อนจะนำบทโทรทัศน์มาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ต่อในปี 2019 โดยผู้กำกับคนเดียวกัน
Blog ของชาวญี่ปุ่นที่ว่า มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบไว้ที่ : https://transnoteblog.wordpress.com/2017/03/08/tfol-toc/
-------------------------------------
ข้อควรรู้ก่อนการรับชม
-------------------------------------
หลายคนสงสัยว่าควรจะทำการบ้านด้วยการดูหนังเรื่องนี้เวอร์ชั่น TV Drama ที่ออกฉายทางโทรทัศน์ปี 2017 บน Netflix มาก่อนหรือไม่?
[ตอบ] - เพื่ออรรถรสสูงสุดในการรับชม ควรดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ผ่านการดูเรื่องราวเวอร์ชั่น Blog และ TV Drama มาก่อน
ถ้าเคยดูเวอร์ชั่น Blog และ TV Drama มาก่อนแล้ว คุณจะรู้ Main Plot ของเรื่องอยู่แล้ว ทำให้ไม่เซอร์ไพรส์กับพล็อตและมุกต่าง ๆ ในส่วนที่ซ้ำกับเวอร์ชั่นอื่น ๆ อีกทั้งสมองจะเกิดการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง 3 เวอร์ชั่นไปและแยกการจดจำในระหว่างการรับชมไปด้วย
-------------------------------------
วิจารณ์ความแตกต่างจากเวอร์ชั่น TV Drama (ไม่สปอยล์เนื้อหา)
-------------------------------------
ประเด็นหลัก ๆ ของเรื่องเคยมีการหยิบยกมาพูดคุยและขยายความในอดีตไปหลายครั้งแล้ว ในที่นี้ขอหยิบเฉพาะส่วนที่เวอร์ชั่นภาพยนตร์ทำออกมา "แตกต่าง" จากเวอร์ชั่น TV Drama
1. งานภาพและเพลงประกอบ - ทำออกมาบรรจงประณีตยิ่งกว่าเดิมมาก ฉากภายในบ้านและสถานที่ทำงานของอาคิโอะก็ได้ภาพที่สวยงามขึ้น ขณะที่ฉากในเกมก็มีการแสดงทิวทัศน์ของโลก Eorzea ที่งดงามมากขึ้น มีการโชว์ภาพเหตุการณ์รายละเอียดตอนสู้กับทวินทาเนียและเหตุการณ์ในเกมต่าง ๆ มากขึ้น ใส่เอฟเฟคท์ลูกเล่นต่าง ๆ ลงไปมาก และผสมเพลงต่าง ๆ จากเกมลงไปได้อย่างกลมกล่อมดียิ่งกว่าเดิม
2. พล็อต - หากเวอร์ชั่น TV Drama คือการดัดแปลงจากเรื่องราวบน Blog ไป 1 ขั้น, เวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็คือดัดแปลงต่อยอดไปอีกขั้น
ซึ่งในขณะที่เวอร์ชั่น TV Drama มีการแตกประเด็นยิบย่อยกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างมากมายจนอาจล้นเกินความจำเป็น แต่เวอร์ชั่นภาพยนตร์จะรวบประเด็นสำคัญเข้าไว้ด้วยกัน และตัดประเด็นที่ผมรู้สึกว่าไม่ต้องมีก็ได้ หรือยืดเยื้อเกินไป ในเวอร์ชั่น TV Drama ทิ้ง
เนื้อหาช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง สมัยผมดูเวอร์ชั่น TV Drama เคยรู้สึกว่ามันควรสลับลำดับการเกิดเหตุการณ์สำคัญ หรือดัดแปลง Sequence ใหม่นิดหน่อย แล้วจะทำให้เนื้อหามี Impact มากขึ้น ปรากฏว่าพอมาเวอร์ชั่นภาพยนตร์นี้ ผู้กำกับแกได้ย้อนไปปรุงแต่งเหตุการณ์ตรงนั้นซะใหม่ ซึ่งทำออกมาได้ค่อนข้างดีกว่าเดิม!!
ทว่าผมกับหลานมีความเห็นตรงกันว่า ในขณะที่เวอร์ชั่น TV Drama ที่ฉายสัปดาห์ละตอนมันเกิดการทิ้งช่วงของเวลา มันก็ทำให้คนดูเกิดการตกผลึกในความคิดหลายอย่าง เกิดความผูกพันกับตัวละครอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป และพอสัปดาห์ต่อมาเราก็ได้มารู้ว่า ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว ตัวคุณพ่อมี Progress ในเกมเล่นเกมคืบหน้าไปแค่ไหนบ้างนะ? ทว่าในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่อัดเนื้อหารวดเดียวจบใน 114 นาที มันไม่สามารถเอาปัจจัยเรื่องการทิ้งช่วงเวลามาใช้ได้ ทำให้เวอร์ชั่น TV Drama ที่แม้บทจะเรียบกว่า แต่มันมีความเป็นธรรมชาติ และทำให้ผมกับหลาน อินกว่า...
3. ความตลกของเรื่อง - ในการทำสคริปต์ฉบับภาพยนตร์ ผู้กำกับได้สอดแทรกมุกตลกต่าง ๆ ลงไปเต็มเรื่อง ทั้งความโก๊ะของพ่อ ความแตกต่างระหว่างวัย ความบ้าบอออกนอกหน้าของรุ่นพี่อาคิโอะ เรื่องซุบซิบของผู้หญิง ฯลฯ ซึ่งเป็นมุกสากลที่คนดูทุกคนสามารถสนุกไปกับความฮาเรี่ยราดของเรื่องได้
แต่ทีนี้ มุกไหนที่เล่นซ้ำกับในฉบับ TV Drama ...ผมกับหลานจะไม่ฮา แต่คนดูคนอื่น ๆ ต่างฮากันทั้งโรง... ซึ่งเสียงหัวเราะเหล่านั้นก็ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้เราอมยิ้มตามไปด้วย แม้มันจะเป็นมุกที่รู้อยู่แล้วก็ตาม
ส่วนมุกไหนที่มาใหม่ ไม่ซ้่ำกับในฉบับ TV Drama... หลายช็อตแค่ง้างมา ผมก็ฮาออกมาเบา ๆ เป็นคนแรกของโรง แต่หลายคนอาจจะไม่เก็ตมั้ง ส่วนใหญ่จะรอให้มีตัวละครพูดตบมุก แล้วคนค่อยฮาทั้งโรงกัน
4. พ่อแม่ของอาคิโอะ - ไม่ว่าจะเป็นช่วงเกือบ 20 ปีก่อนที่อาคิโอะยังเล็ก หรือในช่วงปัจจุบัน พ่อแม่ของอาคิโอะก็หน้าเหมือนกันเป๊ะ ไม่ได้แสดงความแตกต่างของช่วงเวลาเลนเฮ่ยยย อันนี้ค้านสายตามาตั้งแต่เห็นโฆษณาแล้ว! (เวอร์ชั่น TV ก็เป็นแบบนี้)
5. ตัวละครน้องสาวอาคิโอะ - ถูกเพิ่มเข้ามาในเวอร์ชั่นนี้ เพื่อเพิ่มมิติของครอบครัว เพิ่มมิติของตัวละครพ่อ ช่วยขยายช่องโหว่ว่าที่ผ่านมาผู้เป็นพ่อบกพร่องในการทำหน้าที่ของคนเป็นพ่ออย่างไร ทำให้เมียและลูกสาว เดือดเนื้อร้อนใจอย่างไรบ้างกับพ่อที่เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังกลับดึก ๆ ดื่น ๆ หรือแยกไปอยู่ที่อื่น อ่อ และเพิ่มความฮาให้เรื่องด้วย
6. ตัวละครสาวที่มาจีบอาคิโอะ - เป็นคนละแคแรคเตอร์ คนละชื่อกับในภาค TV Drama โดยเธอมีมุกเข้าหาและจีบหนุ่มเกมเมอร์แบบใหม่ ๆ มานำเสนอแบบ Extreme... และจากเทรลเลอร์จะเห็นได้ว่าเธอเองก็เป็นผู้เล่น Final Fantasy XIV ด้วย... ราวกับว่าภาคนี้เป็น New Game+ ในการจีบอาคิโอะของเธอยังไงยังงั้น มาลุ้นเอาใจช่วยเธอทำภารกิจจีบหนุ่มเกมเมอร์กัน!!
-------------------------------------
สรุป
-------------------------------------
หลานสาววัย ม.5 บอกว่าส่วนตัวชอบทีมนักแสดงเวอร์ชั่น TV Drama มากกว่า เวอร์ชั่นนั้นเรื่องมีการนำเสนอและเล่นกับการทิ้งช่วงเวลาของแต่ละตอน ตอนละ 1 สัปดาห์ ทำให้สร้างความผูกพันกับคนดูได้ดีกว่า เป็นธรรมชาติและทำให้คนดูอินกว่าเวอร์ชั่นภาพยนตร์
ผมเสริมว่า เวอร์ชั่นภาพยนตร์มีการแก้พล็อต ตัดส่วนที่เยิ่นเย้อและยืดยาดจากเวอร์ชั่น TV Drama ไปเหี้ยนดีแล้ว แถมแก้ไขและปรุงแต่งลำดับเหตุการณ์สำคัญช่วงท้ายเรื่องใหม่ให้มีความอร่อยเหาะขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเห็นตั้งแต่แรก
น่าเสียดายที่ผมดูเวอร์ชั่น Blog และเวอร์ชั่น TV Drama มาก่อนแล้ว พอมาดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์เลยรู้สึกซ้ำและไม่ได้อรรถรสอย่างเต็มที่.... ก็แอบอิจฉาคนที่มาดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์เป็นเวอร์ชั่นแรก เขาจะได้อรรถรสอย่างเต็มจากหนังเรื่องนี้กว่าครับ
ดังนั้น ก็ฝากไปบอกต่อกันด้วยวว่า ถ้าจะดูก็ไปดูเลยยย~~ ไม่ต้องไปดูเวอร์ชั่นอื่นก่อน...
ป.ล. ในเกมจะมี culture ที่คนเล่นจะร้องแสดงความไม่พอใจด้วยการพูด Yoshidaaaaaaaaaaaa ซึ่งเป็นชื่อของผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างภาค 14 ต่อจากคุณฮิโรมิจิ ทานากะ แต่คนแปลซับฯ คงรู้ว่าถ้าแปลว่า "โยชิด่าาาาาาาาาาาาาา" คนดูก็คงไม่เก็ตกัน เลยแปลเป็นคำอุทานแปลก ๆ ไปแทน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากเรื่องราวบน Blog ของชาวญี่ปุ่น โดยมีการดัดแปลงเป็นบนละครโทรทัศน์มาก่อนในปี 2017 ก่อนจะนำบทโทรทัศน์มาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ต่อในปี 2019 โดยผู้กำกับคนเดียวกัน
Blog ของชาวญี่ปุ่นที่ว่า มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบไว้ที่ : https://transnoteblog.wordpress.com/2017/03/08/tfol-toc/
-------------------------------------
ข้อควรรู้ก่อนการรับชม
-------------------------------------
หลายคนสงสัยว่าควรจะทำการบ้านด้วยการดูหนังเรื่องนี้เวอร์ชั่น TV Drama ที่ออกฉายทางโทรทัศน์ปี 2017 บน Netflix มาก่อนหรือไม่?
[ตอบ] - เพื่ออรรถรสสูงสุดในการรับชม ควรดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ผ่านการดูเรื่องราวเวอร์ชั่น Blog และ TV Drama มาก่อน
ถ้าเคยดูเวอร์ชั่น Blog และ TV Drama มาก่อนแล้ว คุณจะรู้ Main Plot ของเรื่องอยู่แล้ว ทำให้ไม่เซอร์ไพรส์กับพล็อตและมุกต่าง ๆ ในส่วนที่ซ้ำกับเวอร์ชั่นอื่น ๆ อีกทั้งสมองจะเกิดการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง 3 เวอร์ชั่นไปและแยกการจดจำในระหว่างการรับชมไปด้วย
-------------------------------------
วิจารณ์ความแตกต่างจากเวอร์ชั่น TV Drama (ไม่สปอยล์เนื้อหา)
-------------------------------------
ประเด็นหลัก ๆ ของเรื่องเคยมีการหยิบยกมาพูดคุยและขยายความในอดีตไปหลายครั้งแล้ว ในที่นี้ขอหยิบเฉพาะส่วนที่เวอร์ชั่นภาพยนตร์ทำออกมา "แตกต่าง" จากเวอร์ชั่น TV Drama
1. งานภาพและเพลงประกอบ - ทำออกมาบรรจงประณีตยิ่งกว่าเดิมมาก ฉากภายในบ้านและสถานที่ทำงานของอาคิโอะก็ได้ภาพที่สวยงามขึ้น ขณะที่ฉากในเกมก็มีการแสดงทิวทัศน์ของโลก Eorzea ที่งดงามมากขึ้น มีการโชว์ภาพเหตุการณ์รายละเอียดตอนสู้กับทวินทาเนียและเหตุการณ์ในเกมต่าง ๆ มากขึ้น ใส่เอฟเฟคท์ลูกเล่นต่าง ๆ ลงไปมาก และผสมเพลงต่าง ๆ จากเกมลงไปได้อย่างกลมกล่อมดียิ่งกว่าเดิม
2. พล็อต - หากเวอร์ชั่น TV Drama คือการดัดแปลงจากเรื่องราวบน Blog ไป 1 ขั้น, เวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็คือดัดแปลงต่อยอดไปอีกขั้น
ซึ่งในขณะที่เวอร์ชั่น TV Drama มีการแตกประเด็นยิบย่อยกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างมากมายจนอาจล้นเกินความจำเป็น แต่เวอร์ชั่นภาพยนตร์จะรวบประเด็นสำคัญเข้าไว้ด้วยกัน และตัดประเด็นที่ผมรู้สึกว่าไม่ต้องมีก็ได้ หรือยืดเยื้อเกินไป ในเวอร์ชั่น TV Drama ทิ้ง
เนื้อหาช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง สมัยผมดูเวอร์ชั่น TV Drama เคยรู้สึกว่ามันควรสลับลำดับการเกิดเหตุการณ์สำคัญ หรือดัดแปลง Sequence ใหม่นิดหน่อย แล้วจะทำให้เนื้อหามี Impact มากขึ้น ปรากฏว่าพอมาเวอร์ชั่นภาพยนตร์นี้ ผู้กำกับแกได้ย้อนไปปรุงแต่งเหตุการณ์ตรงนั้นซะใหม่ ซึ่งทำออกมาได้ค่อนข้างดีกว่าเดิม!!
ทว่าผมกับหลานมีความเห็นตรงกันว่า ในขณะที่เวอร์ชั่น TV Drama ที่ฉายสัปดาห์ละตอนมันเกิดการทิ้งช่วงของเวลา มันก็ทำให้คนดูเกิดการตกผลึกในความคิดหลายอย่าง เกิดความผูกพันกับตัวละครอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป และพอสัปดาห์ต่อมาเราก็ได้มารู้ว่า ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว ตัวคุณพ่อมี Progress ในเกมเล่นเกมคืบหน้าไปแค่ไหนบ้างนะ? ทว่าในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่อัดเนื้อหารวดเดียวจบใน 114 นาที มันไม่สามารถเอาปัจจัยเรื่องการทิ้งช่วงเวลามาใช้ได้ ทำให้เวอร์ชั่น TV Drama ที่แม้บทจะเรียบกว่า แต่มันมีความเป็นธรรมชาติ และทำให้ผมกับหลาน อินกว่า...
3. ความตลกของเรื่อง - ในการทำสคริปต์ฉบับภาพยนตร์ ผู้กำกับได้สอดแทรกมุกตลกต่าง ๆ ลงไปเต็มเรื่อง ทั้งความโก๊ะของพ่อ ความแตกต่างระหว่างวัย ความบ้าบอออกนอกหน้าของรุ่นพี่อาคิโอะ เรื่องซุบซิบของผู้หญิง ฯลฯ ซึ่งเป็นมุกสากลที่คนดูทุกคนสามารถสนุกไปกับความฮาเรี่ยราดของเรื่องได้
แต่ทีนี้ มุกไหนที่เล่นซ้ำกับในฉบับ TV Drama ...ผมกับหลานจะไม่ฮา แต่คนดูคนอื่น ๆ ต่างฮากันทั้งโรง... ซึ่งเสียงหัวเราะเหล่านั้นก็ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้เราอมยิ้มตามไปด้วย แม้มันจะเป็นมุกที่รู้อยู่แล้วก็ตาม
ส่วนมุกไหนที่มาใหม่ ไม่ซ้่ำกับในฉบับ TV Drama... หลายช็อตแค่ง้างมา ผมก็ฮาออกมาเบา ๆ เป็นคนแรกของโรง แต่หลายคนอาจจะไม่เก็ตมั้ง ส่วนใหญ่จะรอให้มีตัวละครพูดตบมุก แล้วคนค่อยฮาทั้งโรงกัน
4. พ่อแม่ของอาคิโอะ - ไม่ว่าจะเป็นช่วงเกือบ 20 ปีก่อนที่อาคิโอะยังเล็ก หรือในช่วงปัจจุบัน พ่อแม่ของอาคิโอะก็หน้าเหมือนกันเป๊ะ ไม่ได้แสดงความแตกต่างของช่วงเวลาเลนเฮ่ยยย อันนี้ค้านสายตามาตั้งแต่เห็นโฆษณาแล้ว! (เวอร์ชั่น TV ก็เป็นแบบนี้)
5. ตัวละครน้องสาวอาคิโอะ - ถูกเพิ่มเข้ามาในเวอร์ชั่นนี้ เพื่อเพิ่มมิติของครอบครัว เพิ่มมิติของตัวละครพ่อ ช่วยขยายช่องโหว่ว่าที่ผ่านมาผู้เป็นพ่อบกพร่องในการทำหน้าที่ของคนเป็นพ่ออย่างไร ทำให้เมียและลูกสาว เดือดเนื้อร้อนใจอย่างไรบ้างกับพ่อที่เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังกลับดึก ๆ ดื่น ๆ หรือแยกไปอยู่ที่อื่น อ่อ และเพิ่มความฮาให้เรื่องด้วย
6. ตัวละครสาวที่มาจีบอาคิโอะ - เป็นคนละแคแรคเตอร์ คนละชื่อกับในภาค TV Drama โดยเธอมีมุกเข้าหาและจีบหนุ่มเกมเมอร์แบบใหม่ ๆ มานำเสนอแบบ Extreme... และจากเทรลเลอร์จะเห็นได้ว่าเธอเองก็เป็นผู้เล่น Final Fantasy XIV ด้วย... ราวกับว่าภาคนี้เป็น New Game+ ในการจีบอาคิโอะของเธอยังไงยังงั้น มาลุ้นเอาใจช่วยเธอทำภารกิจจีบหนุ่มเกมเมอร์กัน!!
-------------------------------------
สรุป
-------------------------------------
หลานสาววัย ม.5 บอกว่าส่วนตัวชอบทีมนักแสดงเวอร์ชั่น TV Drama มากกว่า เวอร์ชั่นนั้นเรื่องมีการนำเสนอและเล่นกับการทิ้งช่วงเวลาของแต่ละตอน ตอนละ 1 สัปดาห์ ทำให้สร้างความผูกพันกับคนดูได้ดีกว่า เป็นธรรมชาติและทำให้คนดูอินกว่าเวอร์ชั่นภาพยนตร์
ผมเสริมว่า เวอร์ชั่นภาพยนตร์มีการแก้พล็อต ตัดส่วนที่เยิ่นเย้อและยืดยาดจากเวอร์ชั่น TV Drama ไปเหี้ยนดีแล้ว แถมแก้ไขและปรุงแต่งลำดับเหตุการณ์สำคัญช่วงท้ายเรื่องใหม่ให้มีความอร่อยเหาะขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเห็นตั้งแต่แรก
น่าเสียดายที่ผมดูเวอร์ชั่น Blog และเวอร์ชั่น TV Drama มาก่อนแล้ว พอมาดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์เลยรู้สึกซ้ำและไม่ได้อรรถรสอย่างเต็มที่.... ก็แอบอิจฉาคนที่มาดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์เป็นเวอร์ชั่นแรก เขาจะได้อรรถรสอย่างเต็มจากหนังเรื่องนี้กว่าครับ
ดังนั้น ก็ฝากไปบอกต่อกันด้วยวว่า ถ้าจะดูก็ไปดูเลยยย~~ ไม่ต้องไปดูเวอร์ชั่นอื่นก่อน...
ป.ล. ในเกมจะมี culture ที่คนเล่นจะร้องแสดงความไม่พอใจด้วยการพูด Yoshidaaaaaaaaaaaa ซึ่งเป็นชื่อของผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างภาค 14 ต่อจากคุณฮิโรมิจิ ทานากะ แต่คนแปลซับฯ คงรู้ว่าถ้าแปลว่า "โยชิด่าาาาาาาาาาาาาา" คนดูก็คงไม่เก็ตกัน เลยแปลเป็นคำอุทานแปลก ๆ ไปแทน
Post a Comment