FAQS เนื้อเรื่อง - Final Fantasy Type-0
*เผยแพร่ครั้งแรกลงเพจ Re: FFplanet เมื่อ 7 กันยายน 2015 แล้วค่อยพอร์ทมาลงบล็อกภายหลัง
1. Fabula Nova Crystallis คืออะไร?
[ประวัติ]
Fabula Nova Crysatllis ซึ่งทางค่าย Square Enix อ้างว่าเป็นภาษาลาตินของคำว่า The New Tale of the Crystal หรือตำนานคริสตัลบทใหม่ (ซึ่งมีผู้วิจารณ์มันผิดไวยากรณ์ในภาษาลาติน) เป็นนิยายที่คุณคาสึชิเงะ โนจิมะ มือเขียนสคริปต์เกมในค่าย Square Enix เริ่มแต่งขึ้นตั้งแต่ปี 2004 และใช้เวลาแต่งประมาณหนึ่งปี [1] โดยในการแต่งนิยายดังกล่าว เขาได้รวมไอเดียของแกนนำในค่ายหลายคน ซึ่งประกอบด้วยชินจิ ฮาชิโมโตะ, โยชิโนริ คิตาเสะ, โมโตมุ โทริยามะ และฮาจิเมะ ทาบาตะ หลังจากแต่งเสร็จแล้ว นิยายดังกล่าวก็ถูกส่งมอบให้แกนนำแต่ละคน นำไปตีความและสร้างเกมต่อยอดออกมาจากนิยายนั้น [2] โดยในช่วงที่มีการเปิดตัว Final Fantasy XIII, Final Fantasy Versus XIII และ Final Fantasy Agito XIII ในงาน E3 ปี 2006 เอกสารทางการของค่ายได้ระบุว่าเกมทั้งสามไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน (ความหมายคือไม่ได้อยู่ในจักรวาลเดียวกัน) แต่ตั้งอยู่บนนิยายเดียวกัน
เวลาผ่านไป จนกระทั่ง Final Fantasy XIII วางจำหน่ายในปี 2009 ในเนื้อหาของเกมดังกล่าวได้มาการอ้างอิงถึงตำนานดังกล่าวเพียงเล็กน้อย คนเล่นเกมทั่วโลกพยายามจะช่วยกันขยายความว่านิยายซึ่งเป็นเบื้องหลังของเกมดังกล่าวมีเนื้อหาอย่างไร สมัยนั้นผมตามไปอ่านกระทู้ในบอร์ดฝรั่งมากมาย ทว่าผู้เล่นแต่ละคนก็คาดเดาบทบาทของพัลส์และลินด์เซย์แตกต่างกัน กระทั่งบทสรุปเกมที่ฝรั่งพิมพ์ขาย ก็ยังขยายความเรื่องของพวกมันอย่างผิด ๆ ถูก ๆ (เช่น ตีความว่าลินด์เซย์ก็คือบาร์ธานเดลุสบ้างล่ะ, The Maker คือพัลส์บ้างล่ะ, The Maker คือลินด์เซย์บ้างล่ะ พวกนี้เป็นศัตรูกัน และพัลส์วางแผนจะรับมือกับลินด์เซย์ที่จะมาบุกในอนาคนบ้างล่ะ) จากข้อมูลที่เกมให้มาน้อยและไม่ชัดเจน ทำให้ต่างคนต่างตีความกันไปคนละทาง และไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฏในภายหลัง (ผมเชื่อว่าฟีดแบ็คในส่วนนี้เป็นสาเหตุของข้อถัดไป)
กระทั่งวันที่ 18 มกราคม 2011 ทาง Square Enix ได้จัดงาน SQUARE ENIX 1st Production Department Premiere ซึ่งเป็นงานเปิดตัวทีมพัฒนาที่ 1 ขึ้น (หลังจากที่ได้มีการจัดแบ่งโครงสร้างทีมพัฒนาใหม่) ซึ่งภายในงาน คุณคิตาเสะ ได้นำคลิปวีดีโอที่เป็นการย่อเนื้อหาจากนิยายของคุณโนจิมะมาเปิดให้รับชมกัน โดยแกบอกว่านิยายจริง ๆ มันยาวและเขียนเสร็จเมื่อ 4-5 ปีก่อน โดยสาเหตุที่เอาคลิปนิยายดังกล่าวมาเปิด เพราะคิดว่าจะทำให้ผู้เล่นเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมที่สร้างต่อยอดมาจากนิยายนี้ได้ดีขึ้น [3,4]
คลิปสรุปนิยาย Fabula Nova Crystallis ที่ทางค่ายเปิดให้ชมในวันนั้น สามารถรับชมได้จากลิงค์นี้ : https://www.youtube.com/watch?v=cnc1cj1gYpM
[เนื้อหา]
เนื้อหาของคลิปนั้น แปลเป็นภาษาคนได้ว่า เดิมทีแล้วจักรวาลนี้ปกครองโดยเทพธิดามูอินและลูกชายที่ชื่อบูนิเบลเซ่ ทั้งสองเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอิทธิฤทธิ์สูงกว่ามนุษย์
วันหนึ่งบูนิเบลเซ่อยากครองจักรวาลคนเดียว เลยฆ่ามูอินทิ้ง ทำให้มูอินลอยไปยังโลกหลังความตาย ซึ่งซีรีส์นี้ขอใช้ชื่อเฉพาะว่า “โลกที่มองไม่เห็น”
แต่แล้ววันหนึ่งบูนิเบลเซ่ก็ตระหนักถึงความไม่ยั่งยืนของสิ่งต่าง ๆ เขาคิดว่าวันหนึ่งเขาก็ต้องล้มตาย และการล้มตายของสิ่งต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นเพราะคำสาปของมูอิน (อกตัญญูแล้วยังโคตรปัญญาอ่อน)
บูนิเบลเซ่เชื่อว่าถ้าทำให้มูอินดับสูญไปได้ ก็จะคลายคำสาปได้ แต่เนื่องจากมูอินอยู่ในโลกที่มองไม่เห็น ก่อนจะทำให้มูอินดับสูญ เขาก็ต้องตามหาประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก่อน แต่จะหาเองก็คงเหนื่อย เขาเลยสร้างเหล่าจักรกลขึ้นมาช่วย
เหล่าจักรกลที่บูนิเบลเซ่สร้างขึ้นมานั้น เรียกว่าฟัลซิ เนื่องจากพวกมันเป็นจักรกล มันจึงมีพลังที่จำกัดและไม่สามารถทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ได้รับได้ ฟัลซิตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาก็คือพัลส์ โดยบูนิเบลเซ่สั่งให้พัลส์ออกไปท่องจักรวาลและตามหาประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น
ถัดมา บูนิเบลเซ่ก็สร้างฟัลซิเอโทรขึ้นมา แต่ด้วยความที่ตอนสร้างเบลอไปหน่อย เผลอสร้างเอโทรออกมาเหมือนมูอินโดยไม่ตั้งใจ เลยไม่แบ่งพลังให้เอโทร
ต่อมา บูนิเบลเซ่ก็สร้างฟัลซิลินด์เซย์ และสั่งให้ลินด์เซย์คอยปกป้องเขาที่จะเข้าสู่การหลับใหล และเมื่อใดที่ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นถูกค้นพบ ก็ให้ลินด์เซย์ช่วยปลุกเขาให้ตื่นด้วย จะได้ไปคิดบัญชีกับมูอินได้
ระหว่างที่พัลส์และลินด์เซย์ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เอโทรที่ไร้พลังและไร้จุดหมายก็ฆ่าตัวตายและลอยไปยังโลกที่มองไม่เห็น โดยเลือดของเอโทรนั้นถูกลินด์เซย์นำไปสร้างเป็นมนุษย์ (จริง ๆ น่าจะเรียกว่าน้ำมันเครื่องมากกว่าเลือดนะ) ลินด์เซย์คิดว่ามนุษย์นั้นเชื่อมต่อกับเอโทรที่อยู่ในโลกที่มองไม่เห็น หากมนุษย์ตายก็จะกลับไปหาเอโทร การทำให้มนุษย์ตาย จึงน่าจะเป็นหนทางในการเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้
ทางด้านเอโทร พอไปถึงโลกที่มองไม่เห็น ก็เห็นมูอินที่กำลังโดนมวลเคออสกลืนกิน (อธิบายเป็นภาษา FFVII ก็คือกำลังจะถูกชะล้างตัวตนและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับไลฟ์สตรีม) โดยมูอินได้สั่งเสียให้เอโทรช่วยปกป้องสมดุลระหว่างโลกที่มองเห็น (โลกของสิ่งมีชีวิต) และโลกที่มองไม่เห็นด้วย (โลกหลังความตาย) เพราะหากโลกทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว วัฏจักรชีวิตจะพังทลาย ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด และจักรวาลก็จะถึงคราวพินาศ
เอโทร ไม่ค่อยเข้าใจคำสั่งเสียของมูอิน แต่ก็คอยเฝ้าดูมนุษย์ซึ่งเป็นทายาทของตนจากโลกที่มองไม่เห็น เอโทรดูแลวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นำพาผู้ตายไปเกิดใหม่ และเอโทรคอยมอบเคออสให้กับมนุษย์ที่จะไปเกิดใหม่ การมอบเคออสให้มนุษย์นั้น นอกจากเพื่อเป็นพลังให้มนุษย์แล้ว ก็เพื่อรักษาปริมาณเคออสที่อยู่ในโลกสองฝั่งให้สมดุลกัน
ด้านพัลส์นั้น ก็ออกเดินทางไปยังยังดาวต่าง ๆ คอยสร้างความเจริญ สร้างอารยธรรม สร้างฟัลซิขึ้นมาช่วยหาประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น ลินด์เซย์เองก็ช่วยทั้งปกป้องบูนิเบลเซ่ ช่วยปกป้องมนุษย์บางส่วน และก็ให้ความร่วมมือกับพัลส์ในการตามหาประตูด้วย พอหมดธุระกับดาวแต่ละดวงแล้ว พัลส์กับลินด์เซย์ก็จะบินไปดาวอื่น โดยปล่อยให้ฟัลซิที่พวกเขาสร้างขึ้นมาช่วยกันหาประตูในดาวนั้นต่อไป ส่วนมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดาวที่พวกพัลส์และลินด์เซย์มาระราน บ้างก็บูชาพวกมันเป็นเทพ บ้างก็เรียกพวกมันว่าปิศาจ (ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์กลุ่มนั้นได้รับประโยชน์หรือโทษจากพวกมัน)
หมายเหตุ : ข้อมูลที่ได้จากคลิปนี้ เป็นข้อมูลชุดเดียวกับภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง ที่ปรากฏในภาค Lightning Returns –Final Fantasy XIII- ผมเชื่อว่าทีมงานน่าจะตั้งใจเฉลยเรื่องทั้งหมดแต่แรกในภาค LR ทว่าด้วยความที่ผู้เล่น FFXIII คาดเดาเนื้อเรื่องของ Fabula Nova Crystallis กันไปคนละทิศคนละทาง และไม่ได้ใกล้เคียงความจริง ทางค่ายจึงต้องตัดสินใจเอาเบื้องหลังนี้มาเฉลยก่อน
แนวคิดเรื่องที่ว่าโลกนั้นแบ่งออกเป็นโลกมนุษย์ที่มองเห็น โลกหลังความตายที่มองไม่เห็น และมีเทพซ่อนตัวอยู่ในโลกที่มองไม่เห็น เป็นแนวคิดที่คล้ายกับแนวคิดของลัทธิชินโตที่นับถือกันในญี่ปุ่น [5,6]
[1] http://dengekionline.com/soft/interview/ff13/index.html
[2] http://www.gamasutra.com/php-bin/news_index.php?story=19940
[3] http://andriasang.com/comtou/ffxiii_and_fnc_interviews/
[4] http://ffplanet.exteen.com/20110119/fabula-nova-crystallis
[5] http://www.philadelphiaproject.co.za/shintoism_belief.htm
[6] http://www2.kokugakuin.ac.jp/ijcc/wp/cpjr/kami/sasaki.html
สรุปแล้ว FNC ก็คือนิยาย และเกมในเครือ FNC ก็คือเกมที่สร้างเนื้อหามาต่อยอดจากนิยายนั้น โดยแต่ละเกมมันก็มีทั้งเรื่องราวของเกมเอง และเรื่องราวของเทพจักรกลที่ต่อยอดออกมาจากนิยาย ซึ่งแต่ละเกมนำเสนอความคืบหน้าดังนี้
FFXIII – ลูกสมุนของลินด์เซย์หาทางเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นออกได้สำเร็จ แต่แล้วเอโทรก็ใช้พลังชีวิตทั้งหมดเข้ามาปิดประตูเอาไว้
FF Type-0 – ลูกสมุนของพัลส์และลินด์เซย์ช่วยกันหาทางเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นอยู่นานแสนนาน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
FFXIII-2 – เอโทรถูกมนุษย์ผู้เก่งกาจทำให้ดับสูญไปถาวร ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นถูกเปิดออก สมดุลระหว่างโลกมนุษย์และโลกที่มองไม่เห็นพังทลาย โลกสองฝั่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดพังทลาย ผู้ตายกลายเป็นมวลวิญญาณที่ไม่สามารถเกิดใหม่ได้อีก
LRFFXIII – บูนิเบลเซ่ตื่นจากการหลับใหล หวังจะนำพาดวงวิญญาณบริสุทธิ์ไปเริ่มต้นใหม่ในจักรวาลใหม่ที่เขาจะสร้างขึ้น และทำให้ดวงวิญญาณที่แปดเปื้อนดับสูญไป แต่ไลท์นิ่งยอมรับแนวทางนี้ไม่ได้ เธอออยากให้ดวงวิญญาณทั้งหมดได้ไปเริ่มต้นในจักรวาลใหม่ อีกทั้งเธอยังค้นพบว่าบูนิเบลเซ่แอบทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่มนุษย์ซึ่งเป็นผลงานของเอโทร เธอจึงสังหารพัลส์และลินด์เซย์ จากนั้นก็ร่วมมือกับวิญญาณของมนุษย์ทั้งหมด โค่นบูนิเบลเซ่ลงได้ และอพยพไปยังจักรวาลใหม่ที่บูนิเบลเซ่สร้างขึ้น โดยที่เธอก็ไม่รู้แน่ชัดว่าบูนิเบลเซ่ที่พวกเธอปราบได้นั้น ดับสูญไปแล้วหรือยัง?
2. ทำไมเหล่าคลาส 0 ทั้ง 12 คน (ไม่นับมาคิน่าและเรมที่เข้าร่วมภายหลัง) จึงสามารถใช้เวทมนต์ในสภาพที่คริสตัลแจมเมอร์เปิดการทำงานอยู่ได้?
ประชาชนชาวโอเรียนซ์ซึ่งสังกัดชาติต่าง ๆ นั้น จะได้รับพรเป็นพลังพิเศษจากคริสตัลประจำชาติของตนมา สำหรับชาวสุซาขุ ก็ได้รับพรเป็นพลังเวทมนต์มาจากคริสตัลของสุซาขุ
ทว่าเครื่องคริสตัลแจมเมอร์ที่ฝ่ายเบียกโคประดิษฐ์ขึ้นมานั้น มีคุณสมบัติในการแปลงพลังงานที่ส่งมาจากคริสตัลของเบียกโค นำไปสร้างเป็นคลื่นหักล้างพลังที่ถูกส่งออกมาจากคริสตัลชาติอื่น เป็นการตัดการส่งพลังจากคริสตัลมายังชาวเมืองอื่น ดังนั้นเมื่อเอาคริสตัลแจมเมอร์ไปเปิดในดินแดนของสุซาขุ คริสตัลจึงไม่สามารถส่งพลังเวทย์มาให้ชาวสุซาขุได้ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้
ทว่าในช่วงต้น Chapter 2 นั้น หากไปคุยกับอเรเซีย เธอจะบอกว่าคริสตัลแจมเมอร์ไม่มีผลกับคลาส 0 จากนั้นก็พูดหยอกโดยบอกให้คิดซะว่าเพราะต้นกำเนิดพลังของคลาส 0 ไม่ใช่คริสตัล แต่ให้คิดซะว่าเป็นความรักของมาเซอร์ [1] – เดิมทีผมเคยทราบข้อมูลแค่นี้ และเข้าใจว่าประโยคนี้เป็นการบอกใบ้ว่าอเรเซียซึ่งเป็นผู้สร้างคริสตัลนั้น เป็นคนส่งพลังเวทย์ให้กับเหล่าคลาส 0 เองโดยตรง คริสตัลแจมเมอร์ซึ่งมีไว้ขัดขวางคริสตัล จึงไม่สามารถขัดขวางการส่งพลังของอเรเซียได้
แต่ในภายหลัง เมื่อผมไปอ่านประวัติของเอซ มีหน้าหนึ่งที่เขียนเฉลยเรื่องนี้ไว้ว่า เหล่าคลาส 0 นั้นไม่ได้อาศัยพลังจากคริสตัล แต่แหล่งกำเนิดพลังของพวกเขานั้น มาจากวิญญาณพิเศษในร่างของพวกเขาแต่ละคนเอง [2]
นั่นก็หมายความว่า พวกคลาส 0 ใช้พลังเวทย์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีใครส่งพลังมาให้ แต่ที่อเรเซียบอกว่าให้คิดซะว่าเป็นเพราะความรักของเธอ อาจคิดได้ว่าเธอคือคนที่ฟูมฟักให้วิญญาณของคลาส 0 มีคุณสมบัติพิเศษเช่นนั้น
[1] สกรีนช็อต http://goo.gl/axGttU
[2] สกรีนช็อต http://goo.gl/cB9imn
3. การตายของอิซานะและดราม่าของมาคิน่า มีเบื้องหลังอย่างไร?
เดิมทีแล้ว บ้านเกิดของเรม มาคิน่า และอิซานะ ตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างสุซาขุ และเบียกโค เวลาเกิดสงคราม จึงมีการผลัดเปลี่ยนมือเจ้าของระหว่างสองฝั่งอยู่หลายครั้ง
กระทั่งประมาณ 8 ปีก่อน มัลโบโร่ป่าได้ออกอาละวาดและปล่อยโรคระบาดในดินแดนดังกล่าว จนโรคได้ลามมาถึงหมู่บ้านของพวกเรม ตอนนั้นเองทางเบียกโคจึงส่งทหารมาเผาหมู่บ้านเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค ผู้คนมากมายโดยเฉพาะคนที่ติดเชื้อ ได้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์นั้น
เรมและมาคิน่าไม่ติดเชื้อ และด้วยความที่ยังเด็กก็ไม่สามารถขัดขวางการกระทำของฝ่ายเบียกโค จึงรอดมาได้ แต่พวกเขาก็สูญเสียครอบครัวและเพื่อนไปมากมาย หลังจากนั้นมาคิน่ากับเรมก็แยกจากกัน โดยอพยพไปพร้อมกับเพื่อนคนละกลุ่ม จนทั้งสองได้มาเจอกันอีกทีในเพอริสเตอเลียม
ส่วนอิซานะในตอนนั้น เวลามีพ่อค้านักเดินทางแวะเวียนมาที่หมู่บ้าน เจ้าตัวก็ชอบติดตามพวกพ่อค้าออกนอกหมู่บ้านไปด้วย โดยเจ้าตัวมองว่าการเดินทางเล็ก ๆ นั้นเป็นการฝึกฝนตามประสาเด็ก ๆ [1] ในวันที่หมู่บ้านโดนเผา เจ้าตัวก็ออกไปกับพวกพ่อค้าพอดี จึงรอดมาได้ แต่การที่อิซานะหายหัวไปโดยไม่มีเหตุผลอันควรในยามที่หมู่บ้านถูกเผา เป็นปมเหตุแรกที่ทำให้มาคิน่าผิดใจกับอิซานะ [2]
เวลาต่อมา มาคิน่าเก่งกาจขึ้นมากจนกลายเป็นนักเรียนทหาร อิซานะจึงรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าน้อง และไม่กล้าสู้หน้าน้องที่เก่งกว่า อิซานะยอมรับในฝีมือของมาคิน่า แต่ตัวเขาเองก็อยากเก่งกาจขึ้นและทำให้มาคิน่ายอมรับเขาบ้างเช่นกัน [3]
เอซที่ได้รับฟังความในใจของอิซานะ ก็เห็นใจและอยากช่วยให้อิซานะมีโอกาสแสดงฝีมือ จึงเสนอให้อิซานะช่วยมาทำภารกิจด้วย โดยให้ทำหน้าที่ง่าย ๆ แค่เป็นคนนำอุปกรณ์สื่อสารมาส่งให้คลาส 0 พออิซานะตอบตกลงข้อเสนอของเอซ เอซก็ไปขอให้อเรเซียช่วยหาทางออกคำสั่งให้อิซานะเข้าร่วมภารกิจด้วย [4]
ทว่าอิซานะก็เสียชีวิตในภารกิจอย่างที่เห็นกัน พวกสภาสุซาขุมาทราบภายหลังว่าการส่งอิซานะออกไปอย่างน่ากังขาเป็นฝีมือของอเรเซีย สภาสุซาขุจึงหวังใช้มาคิน่าและเรมคอยสอดแนมพฤติกรรมน่าสงสัยและแผนของพวกอเรเซีย ส่วนเอซนั้นพอทราบว่าตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้อิซานะ-พี่ชายของมาคิน่าตาย เอซก็ได้เพียงกล่าวคำขอโทษกับมาคิน่า โดยไม่กล้าอธิบายว่าขอโทษเรื่องอะไร
ภายหลังมาคิน่าได้ข้อมูลว่าอิซานะถูกอเรเซียสั่งให้เข้าร่วมภารกิจ โดยคลาส 0 เป็นผู้เรียกร้องมาอีกที (มาคิน่าไม่รู้ว่าอิซานะเต็มใจเข้าร่วมภารกิจเอง) จึงโกรธแค้นพวกคลาส 0 ตอนที่ทั้งกลุ่มต้องหนีตายออกมาจากมิลิเทสใน Chapter 4 พอเรมเหนื่อย มาคิน่าก็ขอให้ทุกคนหยุดพัก แต่ควีนปฏิเสธโดยบอกว่าที่แห่งนี้อันตรายเกินไป จะให้ทั้งกลุ่มมาเสี่ยงตายเพื่อรอคน ๆ เดียวหายเหนื่อยไม่ได้หรอก มาคิน่าได้ยินแบบนั้นจึงยิ่งไม่พอใจ
จุดแตกหักเกิดขึ้นมาทั้งกลุ่มหนีมาถึงกระท่อมร้างกลางป่า ระหว่างที่กำลังทะเลาะกัน เอซก็หลุดพูดชื่ออิซานะขึ้นมา การที่เอซรู้จักชื่อของอิซานะ ทำให้มาคิน่าเข้าใจได้ทันทีว่าเอซต้องเกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายของเขา และเมื่อเอซบอกว่าเราต้องลืมเรื่องของคนที่ตายไปแล้วเพื่อให้ก้าวต่อไปได้ มาคิน่าจึงยิ่งโมโห
[1] ข้อมูลใน Profile ของอิซานะ หน้าที่ 3 http://goo.gl/qF8aGL
[2] ข้อมูลใน Profile ของเรม หน้าที่ 4 http://goo.gl/lwpdNd
[3] https://www.youtube.com/watch?v=GftKVC06ouk#t=1m16s
[4] https://www.youtube.com/watch?v=4i6xuHI29ts#t=28m47s
4. ช่วงเวลาที่ 9 และ 9 พบ 9 หมายความว่าอย่างไร?
ช่วงเวลาที่ 9 และ 9 พบ 9 ได้เฉลยไว้ในหนังสือ FF Type-0 Ultimania ว่า 9 แต่ละตัวนั้นสื่อถึงจุดจบ ดังนั้น 9 จำนวน 3 ตัวจึงหมายถึงจุดจบของ 3 สิ่ง ซึ่งนำไปสู่จุดจบของโลก และอาจเรียกว่าเป็นการล่มสลายของวัฏสงสาร (ในอัลติมาเนียเรียกแบบนั้น) [1]
ในอัลติมาเนียยังขยายความอีกว่า หากพูดให้ชัดเจน 9 แต่ละตัวก็หมายถึงจุดจบของอาณาจักรแต่ละแห่ง ดังนั้น 9 จำนวน 3 ตัว จึงหมายถึงสภาพที่มีอาณาจักรล่มสลายไป 3 แห่ง (เนื่องจากโลกโอเรียนซ์ประกอบด้วยอาณาจักรใหญ่ 4 อาณาจักร) จึงเหลือแค่อาณาจักรเดียว โอเรียนซ์ได้ถูกอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งที่เหลืออยู่ ยึดครอง และรวมเป็นหนึ่งเดียว (ในเกมคือสภาพที่ทุกอาณาจักรตกอยู่ใต้อำนาจของสุซาขุ)
หลายคนอ่านแล้วอาจสงสัยต่อว่า เขาโยงไปได้ยังไงว่า 9 สื่อถึงจุดจบ? อันนี้หลายคนรวมถึงผม ก็ตีความกันเองว่าสรรพสิ่งต่าง ๆ เริ่มต้นขึ้นจาก 0 และก้าวต่อไปยัง 1 2 3 .....ขณะที่ 9 นั้นคือเลขสุดท้ายในเลขฐาน 10 ที่มนุษย์ใช้กัน ด้วยเหตุนี้ เลข 9 จึงสามารถสื่อถึงจุดจบได้เหมือนกัน
สภาพที่อำนาจทั้งหมดถูกรวมอยู่ในอาณาจักรนั้น โลกก็จะอยู่ในความสงบสุข ไม่มีการทำสงครามระหว่างกัน นั่นคือสิ่งที่อเรเซียและกาล่าไม่พึงประสงค์ จึงนำจุดจบมาสู่โลกนั่นเอง
เรื่อง 9 และ 9 พบ 9 นี้ยังเชื่อมโยงไปยังพล็อตดั้งเดิมของซีรีส์ FFXIII ซึ่งถูกโละไปแล้ว โดยพล็อตเดิมนั้นเคยกำหนดให้จักรวาล FFXIII มีจุดสิ้นสุดของกาลเวลาอยู่ที่ปี AF999 และให้วาลฮัลล่าตั้งอยู่ในจุดสิ้นสุดของกาลเวลาอันเป็นปี 999 สาเหตุที่ทีมงาน FFXIII กำหนดให้เป็นปี 999 ก็เพื่อให้สอดคล้องโดยตรงกับพล็อตของ FF Type-0 นั่นเอง ทว่าภายหลังทีมงาน FFXIII ก็ได้แก้ไขพล็อตเรื่องเล็กน้อย โดยให้วาลฮัลล่าไปอยู่นอกระบบกาลเวลา ส่วนจุดสิ้นสุดของกาลเวลาในจักรวาล FFXIII ก็เลื่อนจากปี 999 มาเป็นปี 1,000 [2]
บางคนอาจตีความไปเองว่า 9 และ 9 พบ 9 หมายถึงการที่อาณาจักร 3 แห่งทำสงครามแก่กัน (โดยไม่นับเก็นบุที่ล้มไปก่อนเพื่อน) แต่นั่นเป็นการตีความที่ผิด เพราะในอดีตโลกโอเรียนซ์มันก็มีการทำสงครามแก่กันมานับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว หาก 9 แต่ละตัวหมายถึงการทำสงคราม เงื่อนไขนี้มันก็สำเร็จไปนานแล้ว มิใช่พึ่งมาสำเร็จตอนที่มีอาณาจักรล่มสลายไป 3 แห่ง
[1] FF Type-0 Ultimania หน้า 792 Q25 http://goo.gl/gdJnyH
[2] FFXIII-2 Ultimania Omega เคยแปลไว้ที่ http://ffplanet.exteen.com/20120706/ffxiii-2-ultimania-omega
5. อากิโตะ หมายถึงอะไร?
[ประวัติ]
อากิโตะ เป็นคำที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์นิรนาม (Nameless Tome) ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยดิวะ และถูกส่งมายังเพอริสเตอเลียมของอาณาจักรทั้งสี่เมื่อนานมาแล้ว [1] โดยในคัมภีร์นิรนามนั้นไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง มนุษย์จึงไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียนมันขึ้นมา
ดิวะนั้นเขียนคัมภีร์นิรนามขึ้นจากการเฝ้าสังเกตการกระทำของอเรเซียและกาล่าจากภายนอกเกลียว ซึ่งคำว่าอากิโตะที่ดิวะเขียนในคัมภีร์นิรนาม ก็เป็นคำที่เอามาจากแผนของอเรเซีย ดังนั้นแล้ว อเรเซียต่างหากที่เป็นผู้นิยามความหมายของอากิโตะขึ้นมา
เดิมทีแล้ว อเรเซียซึ่งได้รับคำสั่งจากพัลส์ให้ตามหาและเปิดประตู่สู่โลกที่มองไม่เห็น ได้นิยามความหมายของอากิโตะขึ้นว่า อากิโตะคือผู้ที่สามารถนำพาไปสู่โลกที่มองไม่เห็นได้ [2] เธอได้ทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในโลกโอเรียนซ์ก็เพื่อสร้างมนุษย์ที่จะพาไปยังที่แห่งนั้น และจะเรียกมนุษย์ผู้ที่สามารถทำได้สำเร็จว่าอากิโตะ [3]
หากอากิโตะปรากฏตัวขึ้น หน้าที่อันยาวนานของอเรเซียก็จะเป็นอันลุล่วง เธอก็จะไปจากโอเรียนซ์ เลิกยุ่งกับมนุษย์ และปล่อยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่กันต่อไปอย่างอิสระ ทว่าในมุมมองของมนุษย์ที่ได้อ่านคัมภีร์นิรนาม พวกเขาไปตีความกันว่า อากิโตะคือผู้กอบกู้โลก ผู้ที่นำพามวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากช่วงฟินิส-จุดสิ้นสุดของจักรวาล และได้เป็นอิสระในท้ายที่สุด
ตลอดเวลา 600 ล้านรอบวัฏจักรที่ผ่านมา ไม่เคยมีอากิโตะปรากฏตัวขึ้นในโอเรียนซ์ กระทั่งวัฏจักรรอบปัจจุบันของเกม พวกคลาส 0 ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากอเรเซียและกาล่าว่าเป็นอากิโตะ [4] เนื่องจากยังไงเสีย พวกคลาส 0 ก็ยังไม่มีพลังและความสามารถที่จะเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด อเรเซียก็ตัดสินใจที่จะวางมือจากโอเรียนซ์ ล้มเลิกการทดลอง ปล่อยให้โลกที่พวกมาคิน่าและผู้คนมากมายพยายามสร้างสันติสุขขึ้นใหม่นั้นดำรงอยู่ต่อไป โดยในสายตาของอเรเซีย อากิโตะในความหมายดั้งเดิม ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ทว่าสำหรับมวลมนุษย์ที่ไม่ได้รู้เรื่องเบื้องหลังนี้แล้ว พวกเขาได้ตัดสินว่ามาคิน่าที่ปรากฏตัวขึ้นและนำพาสันติสุขมาสู่โลก เป็นอากิโตะ [5]
ส่วนคลาส 0 ทั้ง 12 คนนั้น แม้จะไม่ได้เป็นอากิโตะในความหมายดั้งเดิมเนื่องจากไม่สามารถนำพาอเรเซียไปสู่โลกที่มองไม่เห็นได้ ทว่าในสายตาของมาคิน่าและเรมซึ่งรับช่วงต่อในการดูแลโอเรียนซ์มาจากอเรเซีย เพื่อนพ้องทั้ง 12 คนของเขาก็คืออากิโตะ ในความหมายของผู้กอบกู้โลก (世界の救世主) [6] เพราะมาคิน่าและเรมรู้ดีว่าที่มนุษย์รอดพ้นฟินิสมาได้ ก็เพราะพวกพ้องของเขานั่นเอง
ส่วนตัวผม อยากจะสรุปของผมเองว่าหากจะมีใครสักคนในจักรวาล Fabula Nova Crystallis ที่เป็นอากิโตะที่แท้จริง คน ๆ นั้นก็ควรจะเป็นคนที่บูนิเบลเซ่-สิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์สูงสุดในจักรวาล แต่งตั้งให้เป็นผู้กอบกู้/ผู้ปลดปล่อย (The Savior/解放者) ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากมวลมนุษย์ว่าเป็นผู้ปลดปล่อยมนุษย์จากการครอบงำของพวกบูนิเบลเซ่ ซึ่งคนที่เข้านิยามนั้นก็คือไลท์นิ่งเพียงคนเดียว แม้ว่านิยามนี้จะไม่ตรงกับคำว่าอากิโตะในความหมายดั้งเดิมที่อเรเซียนิยามไว้ก็ตาม [7]
มีข้อมูลเล็ก ๆ น่ารู้ในเรื่องอีกว่า คูออนเคยบอกว่าเขาอยากเป็นอากิโตะ เพราะคิดว่าอากิโตะคือจอมเวทย์ที่ร่ายมนต์ได้ดั่งใจ แต่ภายหลังเขาเข้าใจว่าอากิโตะไม่มีอยู่จริง คูออนคิดว่าอากิโตะก็เป็นแค่เรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้นมาเพื่อหนีจากความสิ้นหวังของฟินิส พูดให้ชัด อากิโตะก็เป็นเพียง Final Fantasy หรือจินตนการเพ้อฝันขึ้นสุดยอดเท่านั้น [8] ซึ่งแม้คูออนจะเข้าใจผิด แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียว
[1] สกรีนช็อต http://goo.gl/LhZdke
[2] สกรีนช็อต http://goo.gl/AGgHnD
[3] FF Type-0 Ultimania หน้า 792 Q24 http://goo.gl/gdJnyH
[4] สกรีนช็อต http://goo.gl/46LoJV
[5] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 3
[6] เพิ่งอ้าง
[7] อ่านเพิ่มเติมแนวคิดของผมได้ที่ http://ffplanet.exteen.com/20140811/ff-type-0-ffxiii
[8] สกรีนช็อต http://goo.gl/QZdweI
[ความพยายามในการสร้างอากิโตะ]
คัมภีร์นิรนามบอกว่า เมื่อถึงเวลา กลุ่มดาว 16 ดวง [1] จะมาเกิดเป็นมนุษย์ในโอเรียนซ์ เพื่อดูว่าพวกเขาจะสามารถข้ามผ่านฟินิสและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้หรือไม่ [2]
กลุ่มดาว 16 ดวงนั้นก็คือพวกคลาส 0 ที่เราเห็นกัน 12 คน รวมกับมาคิน่า เรม ทิซ และลีน (โจ๊กเกอร์)
ดาวทั้ง 16 ดวงนั้น มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป โดยแต่ละอัตลักษณ์ก็คือคุณสมบัติซึ่งสามารถรวมกันเป็นอากิโตะได้ ทว่าในระหว่างการทดลอง 600 ล้านรอบ อเรเซียก็ได้กีดกันอัตลักษณ์ที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อการสร้างอากิโตะ ออกไป 4 อัตลักษณ์ด้วยกัน นั่นคือความกลัว (มาคิน่า) ความรัก (เรม) ความชรา (ทิซ) และความเจ็บปวด (โจ๊กเกอร์) ด้วยเหตุนี้ ในวัฏจักรสุดท้ายคลาส 0 ที่แท้จริงจึงเหลือกันเพียง 12 คน ซึ่งแต่ละคนแทนอัตลักษณ์ดังนี้
เอซ – ความเชื่อมั่น
ดิวซ์ – ความเมตตา
เทรย์ – ความรอบรู้
เคท – ความกล้า
ซิงค์ – ความไร้เดียงสา
ไซส์ – ความแน่วแน่ (ความมุ่งมั่น)
เซเว่น – ความเข้าใจ (ในตัวผู้อื่น)
เอธ – ความสงบ
ไนน์ – ความกระตือรือร้น (การลงมือกระทำ)
แจ็ค – ความเขลา (ความไม่รู้)
ควีน – ความมีปัญญา (ต่างจากความรอบรู้ที่เป็นคุณสมบัติของเทรย์)
คิง – ความมีวิจารณญาณ (การตัดสินใจได้ถูกต้อง)
ในเนื้อเรื่องภาค FF Agito ซึ่งเป็นวัฏจักรแรกของเรื่องนั้น จะเห็นได้ว่าทิซและโจ๊กเกอร์ยังมีตัวตนอยู่ในโอเรียนซ์ ทั้งสองคนได้ถูกอเรเซียกันออกไปในภายหลัง
ในบทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คของเกม ผู้สัมภาษณ์ได้ถามคุณทาบาตะว่าเดิมทีแล้วกลุ่มดาวทั้ง 16 ดวงนี้เคยเป็นคน ๆ เดียวกันมาก่อนรึเปล่า? คุณทาบาตะตอบว่าไม่ใช่ กลุ่มดาวเหล่านั้นไม่ได้เป็นคน ๆ เดียวกันมาก่อน ทว่าแต่ละคนมีอัตลักษณ์อันรวมกันเป็นอากิโตะ อเรซียซึ่งพยายามสร้างอากิโตะขึ้นมา ได้เล็งเห็นว่าอัตลักษณ์ที่เธอตามหาอยู่นั้นกระจายอยู่ในตัวพวกเขาแต่ละคน จึงได้รวบรวมพวกเขาขึ้นมาเป็นคลาส 0 [3]
ทว่าระหว่างการทดลอง 600 ล้านรอบ ก็ไม่เคยมีใครได้รับการยอมรับจากผู้พิพากษาว่าเป็นอากิโตะ และไม่มีครั้งใดที่เมื่อผู้พิพากษาดูดกลืนแฟนโทม่าจากคลาส 0 และผู้ที่มาขัดขวางแล้ว ได้พลังเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นอากิโตะ [4,5]
มีเกร็ดน่ารู้เล็ก ๆ หนึ่งในพล็อตที่ทีมงานเคยคิดไว้แต่โละทิ้งไปแล้ว คือจะให้มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่ในตอนจบเกม โดยเด็กคนนั้นเป็นลูกของพวกตัวเอก และให้เด็กคนนั้นเป็นอากิโตะที่แท้จริง ในพล็อตนั้นอากิโตะคือผู้ที่สามารถท่องไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกที่มองไม่เห็นได้ ซึ่งโลกที่มองไม่เห็นในพล็อตเก่านั้น ทีมงานกำหนดให้เป็นโลกในวัฏจักรก่อน ๆ [6] (จากจุดนี้ ผมเลยคิดว่าเสียงวิญญาณที่เราได้ยินในแพนเดโมเนียม และภาพเมืองต่าง ๆ ที่น่าจะล่มสลายไปแล้วที่เราเห็นในนั้น ก็คือโลกในวัฏจักรก่อน ๆ นั่นเอง)
[1] เดิมในภาคญี่ปุ่นใช้คำว่า 座 ซึ่งถูกแปลว่า Locus ในเวอร์ชั่นอังกฤษ แต่ใน FFwikia เลือกที่จะแปลว่า constellation ที่หมายถึงกลุ่มดาว ซึ่งผมคิดว่าลักษณะของพวกเขาก็เปรียบเสมือนกลุ่มดาว 1 กลุ่มที่ประกอบด้วยดาว 16 ดวง อีกทั้ง Locus ยังหมายถึง set of points ซึ่งเป็นลักษณะของกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันเป็นเส้นได้เหมือนกัน ผมจึงเลือกที่จะแปลศัพท์ในจุดนี้ให้สื่อถึงดวงดาว
[2] สกรีนช็อต http://goo.gl/dk7EfJ
[3] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 251 http://goo.gl/05k7EL
[4] สกรีนช็อต http://goo.gl/Wg84kv
[5] ข้อมูลจากอาร์ทบุ๊คหน้า 239 http://goo.gl/JSDXji
[6] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คหน้า 253 http://goo.gl/ZE3qiG
6. ทิซกับโจ๊กเกอร์เป็นใคร?
สองคนนี้เดิมเป็นกลุ่มดาว 16 ดวงร่วมกับพวกเอซและมาคิน่า แล้วก็มาเกิดในโอเรียนซ์เพื่อดูว่าพวกเขาจะสามารถข้ามผ่านฟินิสและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้หรือไม่ [1]
แต่เนื่องจากทิซกับโจ๊กเกอร์นั้น ครอบครองอัตลักษณ์ของความชรา และความเจ็บปวด ซึ่งอเรเซียคิดว่าเป็นองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นต่อการสร้างอากิโตะ จึงได้กันออกจากวัฏจักรไป
สำหรับทิซที่ครองอัตลักษณ์ของความชรานั้น อเรเซียเห็นว่าความชราเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตอันมีขีดจำกัด ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดความสิ้นหวัง คุณสมบัตินี้ไม่น่าจำเป็นต่ออากิโตะ เลยกันทิซออกไปจากแผนและออกไปจากวัฏจักรเป็นคนแรก ตอนนั้นเองทิซก็ต้องอยู่มองโอเรียนซ์จากภายนอกด้วยตัวคนเดียว จิตใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสลด จวบจนวันที่ดวงวิญญาณอันเป็นตัวตนของความเจ็บปวด ปรากฏตัวขึ้นมา [2]
ส่วนโจ๊กเกอร์ ถูกอเรเซียกันออกมาจากแผนเป็นคนที่ 3 โจ๊กเกอร์ครองอัตลักษณ์ของความเจ็บปวดอันเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำความเข้าใจกับความเจ็บปวดอย่างแท้จริง การหาทางขจัดความเจ็บปวด มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์เหมือนกัน แต่อเรเซียก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แทนที่จะให้อากิโตะเติบโตจนก้าวข้ามความเจ็บปวดได้ สู้ตัดองค์ประกอบของความเจ็บปวดทิ้งไปเลยจะง่ายกว่า โจ๊กเกอร์จึงถูกกันออกจากแผนสร้างอากิโตะและออกนอกวัฏจักรไป พออยู่ตัวคนเดียวเขาก็ได้เรียนรู้กับความเจ็บปวดทุกรูปแบบ แต่แล้วในห้วงแห่งความสิ้นหวังนั้น เขาก็ได้พบกับทิซ หญิงสาวที่ช่วยยุติความเจ็บปวดให้เขา [3]
นอกจากนี้ในช่วงที่ยังคิดพล็อตเรื่องอยู่นั้น ทีมงานเคยคิดจะให้ทิซและโจ๊กเกอร์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อโลกหลังจบเกมไปแล้ว แต่ในช่วงสุดท้ายของการกำหนดสเกลเกม ทีมงานเห็นว่าน่าจะไปมุ่งเน้นที่ตัวเอกอีก 14 ตัวแทนมากกว่า แต่ทีมงานก็ไม่อยากให้เรื่องราวของสองคนนี้หายไปซะทีเดียว เลยยังเขียนทิ้งไว้ในคัมภีร์นิรนาม และให้พวกเขารับบทบาทเป็นผู้คอยช่วยเหลืออีก 14 คนอยู่เบื้องหลัง และก็ให้เป็นคนที่ใกล้ชิดกับอเรเซีย และเนื่องจากสองคนนี้อยู่นอกวัฏจักรออกไป ทุกครั้งที่วัฏจักรเริ่มต้นใหม่ สองคนนี้ก็ยังคงความทรงจำ เรื่องราวของวัฏจักรก่อนหน้านั้นเอาไว้ได้ [4]
ส่วนที่โจ๊กเกอร์เคยเรียกมาคิน่าว่าเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองเป็นคน ๆ เดียวกัน แต่หมายถึงพวกเขามีบทบาทที่คล้ายกัน คือเป็นผู้ชายที่โดนอเรเซียกันออกจากแผนสร้างอากิโตะเหมือนกัน รับบทบาทสนับสนุนการเติบโตของพวกเอซเหมือนกัน และยังมีหญิงสาวคอยช่วยเหลือพวกเขาอีกทีเหมือนกัน [5]
สมัยเป็นมนุษย์ในโอเรียนซ์ ทิซมีชื่อว่าโทโนะ มาโฮโรฮะ ส่วนโจ๊กเกอร์มีชื่อว่าลีน ฮัมเพิลมัน
ในบรรดาดาว 16 ดวงที่มาเกิดเป็นคน 16 คน ซึ่งภายหลังถูกอเรเซียกันออกจากแผนสร้างอากิโตะไป 4 คน จนเหลือแค่ 12 คน คนที่ถูกกันออกเรียงตามลำดับคือ ทิซ มาคิน่า โจ๊กเกอร์ เรม [6]
[1] สกรีนช็อต http://goo.gl/dk7EfJ
[2] คัมภีร์นิรนามบทที่ 4 http://goo.gl/nax7Ay
[3] คัมภีร์นิรนามบทที่ 4 http://goo.gl/aRNrwa
[4] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 251 http://goo.gl/05k7EL
[5] เพิ่งอ้าง
[6] FF Type-0 Ultimania หน้า 791 Q18 http://goo.gl/6DnLbu
7. ดิวะเป็นใคร?
ดิวะคือตัวละครที่ปรากฏอยู่ในโลโก้ของเกม เธอเป็นฟัลซิที่มีร่างกาย 2 ร่าง แต่ทั้งสองนั้นมีจิตวิญญาณเดียวกัน
พัลส์และลินด์เซย์ได้ร่วมกันสร้างดิวะขึ้นมา พร้อมกับตอนสร้างอเรเซียและกาล่า[1] (ผมตีความเพิ่มว่า พัลส์และลินด์เซย์สร้างกันขึ้นมาคนละร่าง แต่ใช้จิตวิญญาณเดียวกัน ดิวะเลยมีสองร่าง) โดยมอบหมายหน้าที่ให้ดิวะเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตและบันทึกประวัติศาสตร์ของโอเรียนซ์ ในคัมภีร์นิรนามบอกว่าเธอถูกสร้างมาให้จับตาดูอย่างเดียว โดยห้ามลงมือแทรกแซงเรื่องใด ๆ ในโอเรียนซ์ [2]
จากการที่ดิวะมีหน้าที่เฝ้าสังเกตและบันทึกเรื่องราวของทุกวัฏจักร เธอจึงรู้ถึงเรื่องของอากิโตะ ฟินิส แผนของอเรเซียและกาล่า เหตุผลนี้ทำให้เป็นที่เชื่อกันว่าดิวะก็คือคนที่แต่งคัมภีร์นิรนาม
[1] FF Type-0 Ultimania หน้า 790 Q1 http://goo.gl/JVhHHH
[2] สกรีนช็อตโปรไฟล์ของอเรเซีย http://goo.gl/48abba
8. บทสรุปของคาเลีย สภาสุซาขุ นิมบัส มังกรโซวริว กิลก้าแมช อโทร่า คาสึซะ เอมินะ เป็นอย่างไรบ้าง?
คาเลีย – ตอนที่พวกเรอร์ซัสปรากฏตัวขึ้นมา แกหนีลงไปอยู่ในสุสานใต้ดิน รอคอยวาระสุดท้ายของโลก [1] คุณทาบาตะบอกว่าตอนแรกจะให้แกปรากฏตัวในฉากจบที่คิดไว้ตอนแรกด้วย แต่ลองมาคิด ๆ ดู คาเลียคงไม่สุ่มสี่สุ่มห้าออกมาจากใต้ดิน เขาเลยคิดว่าคาเลียน่าจะตายอยู่ในสุสานใต้ดินแล้ว [2]
สภาสุซาขุ – นอกจากอเรเซียแล้ว คนที่เหลือตายเรียบในระหว่างการุกรานของเรอร์ซัส โดยคุณทาบาตะบอกว่าไม่รู้จะให้พวกนั้นมีชีวิตใหม่กันยังไง เลยจัดให้ตายเรียบ [3]
นิมบัส – หลังอเรเซียออกจากโลกไปแล้ว คริสตัลก็หมดพลังลง นิมบัสที่เป็นลูซิก็หมดพลังตามไปด้วย ในบทสัมภาษณ์คุณทาบาตะ แกไม่แน่ใจว่านิมบัสหมดพลังแล้วตาย หรือว่าฆ่าตัวตาย [4] แต่ในเกมบอกว่าแกฆ่าตัวตาย เนื่องจากนิมบัสรู้สึกว่าตัวแกเหมือนเป็นเศษซากที่หลงเหลืออยู่ของโลกยุคเก่า ไม่เหมาะที่จะอยู่ในยุคที่ไร้คริสตัลอีกต่อไป [5] ในตอนจบยังปรากฏภาพหน้ากากของนิมบัสท่ามกลางทุ่งหิมะด้วย [6]
มังกรโซวริว กิลก้าแมช อโทร่า – คุณทาบาตะบอกว่าคอนเซปต์ของพวกนี้คือ หมดพลังไปพร้อมกับคริสตัล แต่คริสตัลมันไม่ได้หยุดทำงานไปทีเดียว มันค่อย ๆ สูญเสียพลังไปเรื่อย ๆ จนสิ้นลง พวกลูซิเหล่านี้ก็เช่นกัน [7] ทว่าในเกมมีจุดที่ระบุรายละเอียดไว้แล้วว่ามังกรโซวริวต่อสู้กับพวกเรอร์ซัสเพื่อปกป้องสุซาขุและโซวริว จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเมื่อพวกเรอร์ซัสหายไปแล้ว โลกได้เข้าสู่ยุคใหม่ มังกรโซวริวก็เสียชีวิตลง [8] ส่วนกิลก้าแมชนั้น เชื่อว่าน่าจะหมดพลังและเสียชีวิตลงแน่ ๆ แต่ในตอนจบก็มีภาพเกราะของกิลก้าแมชปรากฏในห้องบัลลังค์ของเก็นบุ ผมไม่คิดว่าน่าในเกราะนั้นจะยังมีร่างของกิลก้าแมชที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่น่าจะเป็นการนำเกราะของกิลก้าแมชมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ชาวเก็นบุกราบไหว้กันต่อไป [9]
คาสึซะ – ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนจบมีภาพแกไปช่วยบูรณะบ้านเมืองฝั่งโซวริว [10]
เอมินะ – ช่วงท้ายเกมเอมินะโดนจับได้ว่าเป็นสปายจากเบียกโค เจ้าหน้าที่ในสุซาขุเห็นว่าเอมินะเป็นคนที่มีคนปลื้มอยู่มาก หากแพร่งพรายเรื่องที่เธอเป็นสปายออกไปก็จะทำให้เกิดความโกลาหลได้ จึงห้ามพวกคลาส 0 เผยแพร่เรื่องนี้ และบอกว่าเจ้าหน้าที่จะจัดการกันเป็นการภายในเอง [11] หลังจากนั้นเอมินะก็หายตัวไป เจ้าหน้าที่บอกว่าเอมินะได้เผ่นกลับเบียกโคไปแล้ว [12] แต่คุณทาบาตะบอกว่าเธอคงโดนประหารชีวิต [13] ซึ่งผมก็คิดว่าเธอโดนประหารนั่นแหละ แต่เจ้าหน้าที่โกหกว่าหนีกลับเบียกโคไปแล้ว
[1] สกรีนช็อตโปรไฟล์คาเลีย http://goo.gl/IXpo7f
[2] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 252 http://goo.gl/PtBD4H
[3] เพิ่งอ้าง
[4] เพิ่งอ้าง
[5] สกรีนช็อตโปรไฟล์นิมบัส http://goo.gl/wKBJ9b
[6] สกรีนช็อตหน้ากากนิมบัส http://goo.gl/PP5Hwr
[7] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 253 http://goo.gl/ZE3qiG
[8] สกรีนช็อตโปรไฟล์ของมังกรโซวริว http://goo.gl/TdzTbv
[9] สกรีนช็อตตอนจบร่างของกิลก้าแมช http://goo.gl/oEy2fR
[10] สกรีนช็อตคาสึซะในตอนจบ http://goo.gl/a2NAlD
[11] สกรีนช็อตเจ้าหน้าที่ http://goo.gl/wHUWTj
[12] สกรีนช็อตเจ้าหน้าที่ 2 http://goo.gl/l7RAF5
[13] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 2
9. คัมภีร์อาคาช่า (アカシャの書, Akashic Record) เขียนอะไรไว้? ใครแต่งขึ้น?
จากไดอารี่ที่ควีนเขียนขึ้นในวัยเด็ก ควีนบันทึกว่าตอนเด็ก ๆ นั้นเคยมีวันที่อเรเซียเอาคัมภีร์อาคาช่ามาให้เธออ่าน โดยอเรเซียอธิบายว่าข้างในนั้นประกอบด้วยข้อมูลเวทมนต์ทุกชนิด, ข้อมูลอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของโอเรียนซ์ (ชะตากรรมที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) [1,2]
ตามปกติแล้ว มนุษย์ทั่วไปจะไม่สามารถอ่านคัมภีร์อาคาช่าซึ่งบันทึกเรื่องของอนาคตไว้ด้วยได้ แต่การที่ควีนสามารถอ่านได้นั้น อเรเซียบอกว่าเป็นเพราะควีนเป็นคนที่ช่วยอเรเซียเรียบเรียงคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาด้วย [3]
นอกจากนี้ในช่วงท้ายเกม อเรเซียยังเปิดเผยว่าคัมภีร์อาคาช่ายังลิขิตเจตจำนงค์ของคริสตัลในทุกรอบวัฏจักร และการใช้ชีวิตตลอดช่วงที่ผ่านมาของพวกเอซ ทว่าอเรเซียได้เว้นว่างหน้าสุดท้ายของคัมภีร์อาคาช่า ซึ่งเป็นบทสรุปหรือวาระสุดท้ายของพวกเอซเอาไว้ ให้พวกเขาได้เลือกที่จะกำหนดบทสรุปชีวิตของตนเอง ด้วยตัวเอง [4]
โดยสรุปแล้ว ข้อมูลเท่าที่ตัวเกมเปิดเผยมาก็ระบุว่าคัมภีร์อาคาช่า บรรจุข้อมูลเวทมนต์ทุกชนิด, ชะตากรรมของโอเรียนซ์, เจตจำนงของคริสตัล และการใช้ชีวิตของพวกเอซ ซึ่งเป็นฟันเฟืองของชะตากรรมเอาไว้ และน่าจะมีบันทึกเรื่องอื่น ๆ ไว้อีก
คุณทาบาตะได้เคยขยายความไว้ว่า คัมภีร์อาคาช่าซึ่งในสายตาชาวโอเรียนซ์มันเหมือนคำทำนายนั้น แท้จริงแล้วมันก็คือการย่อประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นซ้ำในวัฏจักรทุกรอบ โดยผู้ปกครองสุซาขุจะสืบทอดหน้าที่ในการเก็บรักษาบันทึกประวัติศาสตร์อันดำมืดนี้ไว้และส่งต่อให้กับรุ่นถัดไป นี่เป็นเรื่องที่ในเกมไม่ได้เขียนเอาไว้ [5]
[1] สกรีนช็อตโปรไฟล์ของควีน http://goo.gl/bJEcKo
[2] สกรีนช็อตชาวบ้านพูดถึงอาคาชิค http://goo.gl/J4gTxe
[3] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1
[4] สกรีนช็อตคัตซีนอเรเซีย http://goo.gl/57gqlW
[5] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 251 http://goo.gl/05k7EL
10. คัมภีร์นิรนาม (無名の書, Nameless Tome) เขียนอะไรไว้? ใครแต่งขึ้น?
ชาวบ้านในโอเรียนซ์ได้บอกเราว่าคัมภีร์นิรนามเป็นคัมภีร์ที่เขียนถึงเรื่องของ “ฟินิส” และ “อากิโตะ” และถูกส่งมายังเพอริสเตอเลียมของอาณาจักรทั้งสี่ในอดีตกาล [1] โดยมีใจความว่าในช่วงวาระสุดท้ายของโลกที่เรียกว่าฟินิส จะมีตำหนักเวทมนต์แพนเดโมเนียมปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า จากที่แห่งนั้นพวกนักรบเรอร์ซัสจะลงมากวาดล้างโลก เรือเหาะที่มุ่งหน้าไปยังแพนเดโมเนียมจะโดนสอยร่วงหมด แต่ลูซิและผู้ที่ติดตามไปกับลูซิจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ เมื่อไปแพนเดโมเนียมแล้วก็จะเจอกับผู้พิพากษาที่จะตัดสินว่าบุคคลที่เผชิญหน้ากับผู้พิพากษา มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอากิโตะหรือไม่ หากไม่มีใครที่สมควรได้รับการยอมรับให้เป็นอากิโตะ ผู้พิพากษาก็จะให้พวกเรอร์ซัส ทำลายโลกให้พินาศ [2]
แต่นอกจากเรื่องฟินิสและอากิโตะแล้ว ผมยังเห็นว่าบทกวีในคัมภีร์นิรนามมันยังกล่าวถึงเรื่องกลุ่มดาว 16 ดวงที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นที่มาของพวกเอซ และยังเอ่ยถึงแผนของอเรเซียและกาล่า การกีดกันทิซและโจ๊กเกอร์ออกไปจากวัฏจักร รวมถึงบทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด ฯลฯ
ในคัมภีร์นิรนามนั้นไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง มนุษย์เองก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียนมันขึ้นมา คุณทาบาตะมีบอกไว้ว่าจากการที่คัมภีร์นี้เขียนถึงการเคลื่อนไหวของอเรเซียตั้งแต่อดีตยันจบเรื่อง โดยที่อเรเซียไม่ได้สั่งให้ใครเขียนขึ้นมา [3]
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ทำให้เป็นที่เชื่อกันว่าผู้ที่แต่งคัมภีร์นิรนามนั้นก็คือดิวะ ซึ่งรับหน้าที่จากพัลส์และลินด์เซย์ให้เป็นผู้เฝ้าสังเกตและบันทึกประวัติศาสตร์ของโอเรียนซ์ การที่ดิวะคอยเฝ้าสังเกตและบันทึกเรื่องราวความเป็นไปของวัฏจักรจากนอกวัฏจักรมาโดยตลอด เธอจึงเป็นตัวละครเดียวที่รู้ถึงเรื่องของอากิโตะ ฟินิส แผนของอเรเซียและกาล่า และเรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฏในคัมภีร์นิรนาม ไม่มีตัวละครไหนนอกจากดิวะแล้วที่เขียนคัมภีร์นิรนามขึ้นมาได้
[1] สกรีนช็อตชาวบ้านที่พูดถึงคัมภีร์นิรนาม http://goo.gl/JrMNwM
[2] สกรีนช็อตควีนที่อธิบายเรื่องอากิโตะ http://goo.gl/AGgHnD
[3] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 251 http://goo.gl/05k7EL
11. ชื่อของมาคิน่าและเรม เกี่ยวข้องกับตัวเลขอย่างไร
หลายคนอาจเดาไปว่าชื่อของมาคิน่านั้นมาจาก Machine และไม่เกี่ยวข้องกับตัวเลข
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ชื่อของทั้งมาคิน่าและเรม ก็ยังเกี่ยวข้องกับจำนวนตัวเลขอยู่ดี โดยในหนังสืออัลติมาเนีย ได้อธิบายไว้ว่าชื่อของมาคิน่า (マキナ) เอามาจากคำว่า Maxim (マキシム) โดยทีมงานต้องการให้ชื่อของมาคิน่าสื่อถึง “จำนวนที่มีค่ามากที่สุด” นอกจากนี้ในตอนท้ายของเรื่อง ยังมอบบทบาทของมาคิน่าให้เป็นดั่ง Deus Ex Machina ในภาษาลาตินด้วย [1]
ส่วนชื่อของเรมนั้น เป็นการรวมคำว่า Rei (零) และ Mu (無) เข้าด้วยกัน ชื่อของเรมจึงมีความหมายโดยตรงว่า ไม่ได้เป็นศูนย์ซะทีเดียว โดยทีมงานต้องการให้ชื่อของเรมสื่อถึงจำนวนที่มีค่าน้อยที่สุด แต่ไม่ได้เป็นศูนย์นั่งเอง [2]
[1] FF Type-0 Ultimania หน้า 792 Q19 http://goo.gl/gdJnyH
[2] เพิ่งอ้าง
12. เหตุการณ์แต่ละวัฏจักรในโลกโอเรียนซ์ มีซิดเป็นผู้พิพากษาในทุกวัฏจักรใช่หรือไม่?
เหตุการณ์แต่ละวัฏจักรในโอเรียนซ์ ไม่ได้มีซิดเป็นผู้พิพากษาไปซะทุกรอบ โดยในเรื่องราวของภาคนิยายซึ่งมีชื่อว่า Final Fantasy Type-0 –Change the World- (2 เล่มจบ) ซึ่งเป็นเรื่องราววัฏจักรก่อนหน้าหน้าวัฏจักรที่เราเห็นกันในเกม คนที่ถูกกาล่าเชิดให้กลายเป็นผู้พิพากษาของวัฏจักรนี้คือ “เรม” [1] และท้ายที่สุดคนที่ต้องเป็นคนปราบเธอก็คือมาคิน่า การที่มาคิน่าต้องฆ่าเรมด้วยมือตัวเองนี้ ทำให้มาคิน่าเสียใจมาก และเกิดเป็นความรู้สึกฝังใจว่าเขาจะไม่ยอมสูญเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มาคิน่าในวัฏจักรรอบถัดไป (รอบในเกม) หวงแหนเรมเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ในเกมภาค Final Fantasy Agito ซึ่งเป็นวัฏจักรแรกสุดของเรื่องราวทั้งหมด ผู้พิพากษาก็คือประธานนักเรียนทหาร “มิยู” ซึ่งเธอได้เปิดเผยว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือมิวเรีย ข้ารับใช้ของกาล่า และแม้พวกคลาส 0 จะเอาชนะมิวเรียลงได้ แต่พวกเขาก็พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับกาล่า
[1] นิยาย FF Type-0 –Change the World- ตอนที่ 10 และ 11 อ่านสรุปเนื้อหาของภาคนิยายแบบเรียงตอน ที่ผมเขียนไว้ได้ตามลิงค์ http://ffplanet.exteen.com/20120910/final-fantasy-type-0
13. อาการป่วยของเรมมีที่มาอย่างไร?
ในเนื้อหาของวัฏจักรรอบก่อนหน้าวัฏจักรในเกม มีเหตุการณ์ที่มาคิน่าไปต่อว่าอเรเซียที่ทิ้งพวกคลาส 0 ให้อยู่ในถิ่นศัตรู แล้วตัวเองก็หนีออกมาก่อน มาคิน่าที่แม้จะพึ่งรู้จักพวกเอซได้ไม่นาน บอกว่าแม้พวกเอซจะไม่เคยบ่นออกมา ไม่เคยยอมรับว่าเสียใจ หวาดกลัว เปล่าเปลี่ยว หรือขมขื่น แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นเช่นนั้น
จากเหตุการณ์นั้น ทำให้อเรเซียตัดสินว่านับวันมาคิน่ายิ่งเป็นภัยต่อแผนสร้างอากิโตะของเธอ อเรเซียเชื่อว่าการละทิ้งอารมณ์เป็นหนทางไปสู่การเข้มแข็งขึ้น ทว่ามาคิน่ากลับพยายามกระตุ้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา หมายความว่ามาคิน่าจะทำให้พวกเอซอ่อนแอลง
ในตอนท้ายของวัฏจักรดังกล่าว เรมได้กลายเป็นผู้พิพากษา มาคิน่าซึ่งเป็นคลาส 0 คนสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ต้องจำใจกำจัดเรมด้วยมือของตัวเอง แม้มาคิน่าจะเอาชนะมาได้แต่ก็บอบช้ำมาก ตอนนั้นเองอเรเซียได้ปรากฏตัวขึ้น เธอเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง และถามว่ามาคิน่าอยากให้โลกนี้ย้อนกลับไปดังเดิมหรือไม่? มาคิน่าตอบว่าเขาต้องการเช่นนั้น และคราวนี้เขาจะไม่ยอมสูญเสียคนสำคัญอีกต่อไปแล้ว
อเรเซียคิดว่าสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมาคิน่า เรม และพวกเอซ จะทำให้พวกเอซอ่อนแอลง เธอทบทวนอีกว่าการที่มาคิน่าต้องสังหารเรมด้วยมือตัวเอง ได้ทำให้มาคิน่ากลายเป็นคนที่กลัวการสูญเสีย และกระหายพลังที่จะนำมาเพื่อปกป้องคนสำคัญของตน ความรู้สึกเหล่านี้จะฝักลึกลงไปในดวงวิญญาณของมาคิน่า และแสดงออกมาในวัฏจักรรอบถัดไป ดังนั้น อเรเซียจึงตัดสินใจสาปให้เรมมีอาการป่วยที่รักษาไม่หาย ทำให้เรมอ่อนแอลง เพื่อให้มาคิน่าที่กลัวจะสูญเสียเรมไปอีกจดจ่ออยู่กับเรมคนเดียว และเป็นเหตุให้มาคิน่าตีตัวออกห่างจากพวกเอซ [1]
[1] นิยาย FF Type-0 –Change the World- ตอนที่ 7, 11 และบทส่งท้าย อ่านสรุปได้จากลิงค์ต่อไปนี้ http://ffplanet.exteen.com/20120910/final-fantasy-type-0
14. เหตุการณ์ “สมมติว่า” (もし... หรือ In Another Spiral...) มีความหมายอย่างไร?
เหตุการณ์ในฉากลับ “สมมติว่า” ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ชาวโอเรียนซ์ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับโลกโอเรียนซ์ที่เราได้เล่นกัน โดยคุณทาบาตะก็ได้บอกไว้ว่าชื่อของเหตุการณ์นี้มันก็คือ もし ซึ่งก็มีความหมายตรงตัว ว่าเป็นการ “สมมติ” อยู่แล้ว [1]
ทว่าในตัวเกมภาคอังกฤษ เหตุการณ์นี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น In Another Spiral... ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ในเกลียวอื่น” โดยเกลียวในเกมนี้หมายถึงจักรวาลที่มีเหตุการณ์วนเวียนซ้ำไปมาดั่งเกลียว เกลียวที่พวกเอซอยู่นั้นก็วนเวียนอยู่ร่วม 600 ล้านรอบก่อนจะยุติ ดังนั้น การเขียนว่าเหตุการณ์นี้ดำรงอยู่ในเกลียวอื่น ก็หมายถึงอยู่ในจักรวาลคู่ขนานไปเลย... ซึ่งความหมายมันค่อนข้างแตกต่างจากต้นฉบับซึ่งเขียนชื่อเหตุการณ์ว่า “สมมติว่า”
เมื่อภาคญี่ปุ่นกับภาคอังกฤษ เขียนอธิบายชื่อเหตุการณ์ไว้แตกต่างกัน ส่วนตัวผมว่าจึงควรยึดถือความหมายตามตัวเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่น และสอดคล้องกับที่ผู้กำกับเกมให้สัมภาษณ์ว่ามันคือ “การสมมติ” แบบนี้น่าจะตรงตามเจตนารมณ์ผู้แต่งเรื่องมากกว่า
[1] บทสัมภาษณ์จากอาร์ทบุ๊คหน้า 253 http://goo.gl/ZE3qiG
15. ทำไมอาเรียถึงรอดตายและได้รับการช่วยเหลือจากคาโทร?
หลังจากที่อาเรียถูกลอบยิงในถิ่นเบียกโค พวกทหารเบียกโคเห็นว่าเธอไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเขาจะยิง แต่เป็นแค่ชาวสุซาขุที่โดนลูกหลงเท่านั้น จึงนำตัวไปรักษาและคิดว่าจะคุมตัวไปกักขังไว้ในแคมป์เชลยสงคราม
ทว่าเวลาต่อมา แคมป์เชลยสงครามได้เต็มลงและไม่สามารถรับคนเพิ่มได้ พวกทหารคิดว่าคงต้องส่งเอาเรียไปขังรวมในเรือนจำของทหาร [1] ซึ่งการเอาอาเรียซึ่งเป็นเด็กสาวจากสุซาขุไปขังรวมกับชายโฉดต่างถิ่นแบบนั้น ย่อมไม่ปลอดภัยกับเธอแน่ ตอนนั้นเองที่คาโทรแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และอาสาเป็นคนควบคุมตัวเธอไว้เอง ซึ่งต่อมาอาเรียก็ซาบซึ้งในความกรุณาและน้ำใจของคาโทร จึงตั้งตัวเป็นลูกสมุนของเขา และเมื่อคาโทรเสนอให้เธอกลับสุซาขุไป เธอก็ไม่ยอมกลับ
สาเหตุที่คาโทรปฏิบัติต่ออาเรียดีเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะความรักแบบหนุ่มสาว แต่เป็นเพราะคาโทรเคยมีน้องสาวที่อายุน้อยกว่าเขา 4 ปี น้องสาวคนนั้นเกิดมาก็มีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ คาโทรจึงต้องคอยดูแลเธออยู่เสมอ แต่แล้วคาโทรก็มีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การตายของน้องสาวคนนั้น [2]
หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม้อิทธิพลจากคริสตัลจะทำให้คาโทรลืมน้องสาวไปแล้ว แต่ตระกูลของเขาก็ยังคงแขวนภาพของน้องสาวผู้ล่วงลับไว้กับกำแพงบ้าน คาโทรมาพบทีหลังว่าอาเรียนั้นมีใบหน้าที่คล้ายกับน้องสาวของเขา [3] ความรู้สึกผูกพันนั้น คงเป็นเหตุให้เขาไม่อาจปล่อยให้อาเรียตายได้ จึงเลือกที่จะให้เธอมาเป็นบริวารอยู่ข้างกายเขา
[1] สกรีนช็อตขังรวม http://goo.gl/BMGyaS
[2] สกรีนช็อตโปรไฟล์คาโทร http://goo.gl/7uQtNH
[3] สกรีนช็อตทหารพูดถึงภาพ http://goo.gl/sW8esD
16. ดวงตาสีน้ำเงินที่จับจ้องมาคิน่าที่กระท่อมร้าง และผู้แทรกแซงสัญญาณไม่ให้คลาส 0 ติดต่อสุซาขุได้คือใคร?
ดวงตาสีน้ำเงินที่จับจ้องมาคิน่าตอนอยู่แถวกระท่อมร้าง คือดวงตาของมังกรแห่งโซวริว ซึ่งต้องการจับจ้องผู้ต้องหาที่สังหารราชินีอันโดเรีย
มังกรโซวริวได้รับรู้ถึงอนาคตที่อันโดเรียนิมิตเห็นก่อนตาย และต้องการให้ความร่วมมือกับอนาคตที่อันโดเรียปรารถนาให้เกิดขึ้น ซึ่งการจะไปสู่อนาคตนั้น องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งคือมาคิน่าต้องกลายเป็นลูซิเสียก่อน มังกรโซวริวจึงทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ไปสู่จุดหมายนั้น [1]
นับแต่ที่อันโดเรียสวรรคต มังกรโซวริวได้เฝ้าจับตามาคิน่าจากฟ้าไกล และแทรกแซงสัญญาณมิให้คลาส 0 ติดต่อกับฝั่งเจ้าหน้าที่ของสุซาขุได้ เมื่อมาคิน่าทะเลาะกับพรรคพวก และเดินแยกตัวออกมาจนได้เจอกับคุนมิ เรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนของมังกรโซวริวพอดี
[1] สกรีนช็อตโปรไฟล์มังกรโซวริว http://goo.gl/wrOImf
17. อเรเซียและกาล่า มีแผนอะไร? ทำไปทำไม?
อเรเซียซึ่งเป็นผู้รวบรวมและชุบเลี้ยงพวกเอซขึ้นมา แท้จริงแล้ว เธอเป็นฟัลซิที่ฟัลซิพัลส์สร้างขึ้น เพื่อให้ช่วยตามหาและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นภารกิจที่พัลส์ได้รับจากบูนิเบลเซ่มาอีกที ซึ่งอเรเซียก็ทดลอง-หาทางเปิดประตูด้วยการรวบรวมดวงวิญญาณที่มีองค์ประกอบพิเศษเข้าไว้ด้วยกัน และเลี้ยงดูดวงวิญญาณเหล่านั้นให้เปล่งประกายยิ่งขึ้นจนกว่าพวกเขาจะสามารถเปิดประตูได้ [1,2] หลักการของเธอนั้นมาจากความเชื่อว่าวิญญาณของมนุษย์ที่เปล่งประกายอย่างแกร่งกล้าจะได้รับการเปิดประตูต้อนรับจากเอโทรที่อยู่ในโลกที่มองไม่เห็น [3] (ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด เอโทรไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะยอมเปิดประตูอ้าซ่าเพียงเพื่อต้อนรับมนุษย์คนเดียว) โดยเธอได้นิยามศัพท์สำหรับเรียกผู้ที่จะสามารถเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นนั้นว่าอากิโตะ
ส่วนกาล่า เป็นฟัลซิที่ฟัลซิลินด์เซย์สร้างขึ้นมา เพื่อช่วยตามหาและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นด้วยอีกแรง (แม้ว่าตามนิยาย FNC ลินด์เซย์จะไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเปิดประตูก็ตาม) ทว่าวิธีการทดลองของกาล่านั้นแตกต่างจากอเรเซีย กาล่าเลือกใช้วิธีสังหารหมู่ให้คนทั้งแผ่นดินตายไปพร้อมกัน [4] ดวงวิญญาณมหาศาลจากคนทั้งโลกจะได้พุ่งทะลักประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น ซึ่งหากดวงวิญญาณที่พุ่งผ่านประตูนั้นมีปริมาณมหาศาลพอ บานประตูที่คอยกั้นสองภพไว้ก็อาจจะพังจนเปิดออก [5] นี่เป็นวิธีการเดียวกับที่ฟัลซิบาร์ธานเดลุสใน FFXIII ใช้ในแผนเปิดประตูดังกล่าว ซึ่งบาร์ธานเดลุสก็เป็นฟัลซิที่ลินด์เซย์สร้างขึ้นมาเหมือนกับกาล่า ทำให้บาร์ธานเดลุสและกาล่าใช้วิธีการคล้ายกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันเนื่องจากบาร์ธานเดลุสเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้สำเร็จ แต่กาล่าทำไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ผมเคยเห็นคุณ HHTurtle ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เปรียบเปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า วิธีการของฝั่งพัลส์นั้นเน้นคุณภาพ (ใช้คนจำนวนน้อยคุณภาพสูง) ส่วนของลินด์เซย์นั้นเน้นไปที่ปริมาณ (ใช้คนจำนวนมหาศาลเข้าว่า) [6]
อเรเซียและกาล่าซึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน ได้ร่วมมือกันหาทางเปิดประตู โดยแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ฝ่ายอเรเซียได้สร้างคริสตัลประจำชาติทั้ง 4 [7] ขึ้นมา โดยเธอสร้างให้คริสตัลมีเจตจำนงค์ของมันเอง ไม่ได้ตกอยู่ใต้ความคิดของอเรเซียซะทีเดียว ซึ่งอเรเซียได้มอบภารกิจให้คริสตัลช่วยยกระดับดวงวิญญาณที่รับมาจากอเรเซียให้สูงส่งขึ้น ผ่านการทำสงคราม แต่ในตอนท้ายของเรื่องที่อเรเซียได้ไปจากโอเรียนซ์ คริสตัลได้สูญเสียเป้าหมาย มันค่อย ๆ สูญเสียพลังและดับสิ้นลง [8]
นอกจากนี้อเรเซียยังสร้างกลไกให้คริสตัลลบความทรงจำเรื่องของผู้ตายไปจากใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซะ เพราะเธอเห็นว่าหากมนุษย์จำเรื่องของผู้ที่ตายไปแล้วไม่ได้ ก็จะไม่เห็นความสำคัญของชีวิต ไม่เข็ดหลาบกับการสูญเสีย การลาจาก มนุษย์จะไม่หวาดกลัวต่อการฆ่าฟัน ไม่กลัวตาย มนุษย์จะได้กล้าทำสงครามฆ่าฟันกันต่อไป และสงครามนั้นก็จะทำให้วิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งและสูงส่งขึ้น [9,10] ทั้งนี้อเรเซียเคยบอกกับไนน์ไว้ว่าเมื่อมนุษย์ยอมรับความตาย และลืมผู้ตายไป วัฏจักรก็จะหมุนเวียนต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ [11]
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบบทบาทของคริสตัลกับนิยาย FNC แล้ว จะเห็นได้ว่าคริสตัลซึ่งสาปคนให้กลายเป็นลูซิได้นั้น ก็มีสถานะเทียบเท่ากับฟัลซิ เดิมทีแล้วทีมงานก็ตั้งใจจะเปิดเผยเนื้อเรื่องว่าคริสตัลก็เป็นฟัลซิอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดเผยลงไปในเกม อย่างไรก็ตาม การที่อเรเซียสามารถสร้างคริสตัลขึ้นมาได้ แปลว่าเธอเป็นองคภาวะที่อยู่เหนือขึ้นไปกว่านั้น [12] ซึ่งคุณทาบาตะถึงกับเคยพูดด้วยว่าอเรเซียเป็นคนที่เก่งที่สุดในเรื่องนี้ [13]
สภาพที่ชาติทั้ง 4 รบราฆ่าฟันกันไปเรื่อย ๆ ขัดเกลาให้วิญญาณของผู้ที่อยู่รอดสูงส่งขึ้นไปเรื่อย ๆ คือสภาพที่อเรเซียปรารถนา ทว่าเมื่อใดก็ตามที่มีชาติใดชาติหนึ่ง แก่กล้าขึ้นมาจนสามารถยึดครองและรวบรวมโลกทั้งใบให้เป็นหนึ่งได้ ยุคสมัยแห่งสงครามของมนุษย์ก็จะยุติลง (เรียกว่าช่วงเวลาฟินิส) เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น การปล่อยให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันต่อไปก็ย่อมไม่ทำให้ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นเปิดออกมา ดังนั้น กาล่าที่อยู่นิ่งมาตลอดก็จะส่งกองทัพนักรบเรอร์ซัสออกมากวาดล้างมนุษย์ทั่วโลก ชโลมแผ่นดินให้ท่วมไปด้วยเลือด และสาปใครสักคนบนโลกให้กลายเป็นลูซิผู้พิพากษา และมอบภารกิจให้ลูซิผู้พิพากษาตัดสินว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นขัดขวางเหล่าเรอร์ซัสมีคุณสมบัติพอที่จะเป็น “อากิโตะ” ได้หรือไม่ หากผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นนั้นพ่ายแพ้ต่อผู้พิพากษา ผู้พิพากษาก็จะดูดกลืนแฟนโทม่าไปเผื่อจะได้มีพลังมากขึ้นจนอาจกลายเป็นอากิโตะได้ [14] (ซึ่งก็ไม่เคยสำเร็จ) ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครที่เก่งกาจขึ้นจนกลายเป็นอากิโตะได้ กาล่าก็จะทำลายโลก แล้วอเรเซียก็จะย้อนเวลาเพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้นของจักรวาลเสียใหม่ [15]
นอกจากการสร้างคริสตัลแล้ว อเรเซียได้พยายามสร้างอากิโตะขึ้นมา ด้วยการรวบรวมกลุ่มเด็กที่มีองค์ประกอบของอากิโตะอยู่ในตัวจนเป็นที่มาของคลาส 0 เธอได้ชุบเลี้ยง ขัดเกลาให้พวกเขามีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและสูงส่งขึ้นด้วยความหวังว่าเด็กพวกนี้จะเป็นผู้ที่เปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้ ซึ่งเธอตั้งใจว่าเมื่อเลี้ยงดูเด็กพวกนี้จนถึงจุดหนึ่งประกอบกับช่วงเวลาแห่งฟินิสได้มาถึง ก็จะให้คลาส 0 ไปต่อสู้กับผู้พิพากษาเพื่อทดสอบว่าพวกเขาเป็นอากิโตะได้หรือไม่ หากไม่สำเร็จก็จะย้อนเวลากลับไปเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ [16]
เรื่องราวของวัฏจักรแห่งการสร้างและทำลายนี้ ได้วนเวียนอยู่ร่วม 600,104,972 รอบ โดยแทบทุกรอบ เหล่าคลาส 0 ได้เลือกที่จะกลายเป็นลูซิ และต่อสู้กับกองทัพเรอร์ซัสจนตายยกกลุ่ม ทว่าจะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในบางรอบ เช่น วัฏจักรที่ 1 ซึ่งปรากฏในภาค FF Agito แม้ว่าคลาส 0 จะเอาชนะลูซิผู้พิพากษาได้ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นอากิโตะ พวกเขาถูกกาล่ากำจัดทิ้ง นอกจากนี้ในวัฏจักรที่ 600,104,971 ซึ่งปรากฏในภาคนิยาย เหล่าคลาส 0 ได้ปฏิเสธที่จะเป็นลูซิและได้ช่วยกันสู้กับลูซิผู้พิพากษา แม้จะโค่นลูซิผู้พิพากษาลงได้ แต่ก็มีมาคิน่าคนเดียวที่รอดชีวิต ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก็ยังคงปิดอยู่ อเรเซียจึงต้องย้อนเวลาเพื่อเริ่มวัฏจักรรอบใหม่อีกครั้ง
มีเกร็ดข้อมูลเพิ่มเติมว่า เคยมีการเขียนพล็อตให้มีทวีปเพิ่มขึ้นมาอีกทวีปในฝั่งตะวันตก และให้กาล่าเป็นตัวละครจากทวีปตะวันตกที่คลาส 0 ต้องต่อสู้ด้วย แต่ภายหลังเมื่อมีการลดสเกลเกมลง จึงต้องปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่อง เรื่องของทวีปตะวันตกหายไป บทบาทของกาล่าก็เปลี่ยนไป [17]
ส่วนที่น่าสนใจที่สุดในพล็อตเรื่องที่ถูกโละทิ้งไป คือความคิดที่จะให้เหล่าคลาส 0 ต้องต่อสู้กับอเรเซียซึ่งเป็นผู้สร้างและควบคุมโอเรียนซ์อยู่เบื้องหลังในฐานะบอสใหญ่ แต่แล้วทีมเขียนบทก็ถกเถียงกันหลายครั้ง และไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ ที่จะทำให้คลาส 0 ยอมต่อสู้กับอเรเซียที่ชุบเลี้ยงพวกเขามาได้ ท้ายที่สุดก็เลยต้องให้บอสใหญ่เป็นตัวละครอื่นแทน [18]
[1] สกรีนช็อตโปรไฟล์กาล่า http://goo.gl/aV5X4W
[2] สกรีนช็อตโปรไฟล์อเรเซีย http://goo.gl/eDTy8h
[3] เนื้อหาในอาร์ทบุ๊คหน้า 239 http://goo.gl/JSDXji
[4] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1
[5] Analect ที่ 12 และ 13 ใน Final Fantasy XIII อ่านฉบับภาษาไทยได้จากhttp://ffplanet.exteen.com/20100404/analects-ffxiii
[6] https://www.reddit.com/r/FinalFantasy/comments/30jj0e/ff_type0_ending_explained_heavy_spoilers/
[7] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 252 คำถามแรก http://goo.gl/PtBD4H
[8] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 252 คำถามที่สอง http://goo.gl/PtBD4H
[9] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 251 คำถามสุดท้าย http://goo.gl/05k7EL
[10] เนื้อหาในอาร์ทบุ๊คหน้า 241 http://goo.gl/CkkQdK
[11] สกรีนช็อตโปรไฟล์ของไนน์ http://goo.gl/roQ4p3
[12] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 5
[13] http://ffplanet.exteen.com/20111211/ffxiii-2
[14] ภาพโปรไฟล์ซิด Q5_3 http://goo.gl/Wg84kv
[15] นิยาย FF Type-0 –Change the World- ตอนที่ 12 อ่านสรุปเนื้อหาของภาคนิยายแบบเรียงตอน ที่ผมเขียนไว้ได้ตามลิงค์ http://ffplanet.exteen.com/20120910/final-fantasy-type-0
[16] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 3
[17] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 253 http://goo.gl/ZE3qiG
[18] เพิ่งอ้าง
18. ช่วงเวลาแห่งฟินิสคืออะไร?
ช่วงเวลาแห่งฟินิส เป็นคำที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์นิรนาม โดยคัมภีร์นิรนามระบุว่าเมื่อ 9 และ 9 พบ 9 ช่วงเวลาแห่งฟินิสก็จะมาถึง ซึ่งคำว่า 9 และ 9 พบ 9 นั้นก็สื่อถึงช่วงเวลาที่มีชาติล่มสลายลงครบ 3 ชาติ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ 9 และ 9 พบ 9) ทำให้เหลือเพียงชาติเดียวที่ยึดครองโอเรียนซ์ได้สำเร็จ ในสภาพเช่นนั้น สงครามก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป ทว่าการปล่อยให้มนุษย์ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ก็ย่อมไม่ทำให้ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นเปิดออกมา นั่นคือสิ่งขัดกับเป้าหมายของอเรเซียและกาล่า ดังนั้น พวกเขาจึงต้องขัดขวาง
เมื่อถึงเวลาฟินิส ท้องฟ้าและผืนทะเลจะกลายเป็นสีแดง ตำหนักแพนเดโมเนียมที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลใกล้ชายฝั่งของสุซาขุจะลอยขึ้นฟ้า จากสถานที่แห่งนั้น กาล่าจะทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน นั่นคือ
1. กวาดล้างโลก – กาล่าจะส่งเหล่านักรบเรอร์ซัสออกมาสังหารผู้คนทั่วโลก เป็นการทำให้คนทั่วโลกตายพร้อมกัน เพื่อให้มวลวิญญาณมหาศาลพุ่งผ่านประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น เผื่อว่าประตูจะเปิดอ้าออก นอกจากนี้ยังเพื่อบีบให้มีคนปรากฏตัวขึ้นมาขัดขวางเขา อันจะนำไปสู่แผนที่ 2 และในกรณีที่แผนทั้งหมดล้มเหลว ก็ยังเป็นการปิดฉากชีวิตทั้งหมดในโอเรียนซ์ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเริ่มวัฏจักรรอบใหม่
2. พิพากษาว่ามีอากิโตะเกิดขึ้นมาบนโลกหรือไม่ – กาล่าจะสาปใครสักคนบนโลกให้กลายเป็นลูซิผู้พิพากษา และใช้ผู้พิพากษาคนนั้นตัดสินว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นขัดขวางการกวาดล้างโลกมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอากิโตะ (ผู้ที่สามารถเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น) ได้หรือไม่ โดยอเรเซียที่ชุบเลี้ยงเหล่าคลาส 0 มาตลอดก็ตั้งใจว่าจะส่งเด็ก ๆ ของเธอไปทดสอบกับกาล่าในช่วงเวลาฟินิสอยู่แล้ว [1] ซึ่งหากผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นนั้นพ่ายแพ้ต่อผู้พิพากษา ผู้พิพากษาก็จะดูดกลืนแฟนโทม่าไปเผื่อจะได้มีพลังมากขึ้นจนอาจกลายเป็นอากิโตะได้ [2] (ซึ่งก็ไม่เคยสำเร็จ) ท้ายที่สุดเมื่ออากิโตะไม่ได้กำเนิดขึ้น กาล่าก็จะทำลายโลก แล้วอเรเซียก็จะย้อนเวลาเพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้นของจักรวาลเสียใหม่ [3]
วัฏจักรเช่นนี้ดำเนินมากว่า 600 ล้านรอบ แม้บางครั้งผู้พิพากษาจะพ่ายแพ้ต่อผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาขัดขวาง แต่ไม่เคยมีใครได้รับการยอมรับจากกาล่าให้เป็นอากิโตะ ไม่เคยมีใครที่สามารถเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้ สำหรับวัฏจักรรอบที่เราเล่นกันในเกม นิมบัสได้พาซิดไปยังตำหนักแพนเดโมเนียม ณ ที่แห่งนั้น กาล่าได้เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง และหวังจะสาปซิดให้กลายเป็นลูซิผู้พิพากษา แม้ซิดจะขัดขืนด้วยการชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน แต่กาล่าก็ยังสามารถสาปร่างของซิดที่ตายไปแล้ว ให้ลุกขึ้นมาในฐานะลูซิผู้พิพากษาซึ่งเป็นหุ่นเชิดของกาล่าได้ และเมื่อเหล่าคลาส 0 ไปยังแพนเดโมเนียมแล้วได้เห็นซิดพูดจาแปลก ๆ เหมือนไม่ใช่ซิดคนเดิม [4] นั่นเป็นเพราะคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ออกมาจากความคิดของซิด แต่เป็นกาล่าที่พูดผ่านปากของซิด
[1] เนื้อหาในอาร์ทบุ๊คหน้า 239 http://goo.gl/JSDXji
[2] ภาพโปรไฟล์ซิด Q5_3 http://goo.gl/Wg84kv
[3] นิยาย FF Type-0 –Change the World- ตอนที่ 12 อ่านสรุปเนื้อหาของภาคนิยายแบบเรียงตอน ที่ผมเขียนไว้ได้ตามลิงค์ http://ffplanet.exteen.com/20120910/final-fantasy-type-0
[4] สกรีนช็อตเหตุการณ์ตอนที่ซิดพูดกับคลาส 0 http://goo.gl/Gn1Yhe
19. เหล่ามอนสเตอร์กินคนที่มีบทบาทสำคัญในดินแดนโซวริว มีความเป็นมาอย่างไร?
ก่อนที่อาณาจักรคอนคอร์เดีย จะเป็นอาณาจักรสำหรับชาวโซวริวอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ในอดีตกาลนั้นดินแดนแห่งนี้เคยเป็นแผ่นดินอาศัยของชาวเซย์ริว (Dracobaltian) มาก่อน
ประมาณปี 197 ชาวเซย์ริวซึ่งอาศัยอยู่ในแถบดินแดนไร้โลกีย์ในปัจจุบัน ได้ค้นพบคริสตัลชิ้นที่ 4 ในโอเรียนซ์ และได้รับพลังในการควบคุมมอนสเตอร์มาจากคริสตัล พวกเขาจึงสร้างวิหารสำหรับบูชาคริสตัล และก่อตั้งประเทศกันขึ้นมา เกิดระบบกษัตริย์ และยึดครองหมู่บ้านเพื่อขยายอาณาเขตออกไป [1]
ช่วงประมาณปี 251 ชาวเซย์ริวได้ขยายอาณาเขตจากไร้โลกีย์ไปยังรจนา เมื่อข้ามดินแดนเอบอนออกไป ก็ไปเจอกับกองทัพของสุซาขุ ตอนนั้นชาวเซย์ริวยังไม่รู้จักการเจรจาต่อรอง พวกเขาคิดแต่จะยึดดินแดนท่าเดียว แม้ว่ามอนสเตอร์ของเซย์ริวจะแข็งแกร่งกว่ากองทัพสุซาขุ แต่ด้วยความที่ชาวเซย์ริวไม่มีเทคนิคการรบแบบเป็นกลุ่มเป็นก๊ก ขาดการประสานงานระหว่างทีม ทำให้พวกเขาพ่ายแพ่ต่อกองทัพของสุซาขุในที่สุด [2]
ในปี 252 หลังจากแพ้สงครามต่อสุซาขุมา ชาวเซย์ริวได้วิงวอนขอพลังใหม่จากคริสตัล เพื่อให้พวกเขาสามารถต่อสู้ได้เก่งกาจกว่าเดิม ซึ่งพวกเขาก็ได้พลังในการควบคุมมังกรมา ทว่าชาวเซย์ริวกลับยังไม่พอใจ พยายามจะเค้นพลังจากคริสตัลมาอีก พวกเขาเริ่มไม่เชื่อฟังคริสตัลและพยายามควบคุมคริสตัลซะเอง แถมในช่วงที่ประสบภาวะทุพภิกขภัย ชาวเซย์ริวก็หันมาทานเนื้อมังกรประทังชีวิต แต่เมื่อผ่านช่วงทุพภิกขภัยไปแล้ว พวกเขาก็ยังคงทานเนื้อมังกรกันต่อไปด้วยความติดใจในรสชาติ (ในเกมเลยยังเห็นชาวเซย์ริวรุมทึ้งมังกรกันอยู่) การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นการเย้ยหยันพรจากคริสตัล ทำให้คริสตัลแห่งเซย์ริวโกรธและค่อย ๆ สูญเสียพลังไป เหตุการณ์นี้ทำให้สมดุลระหว่างคริสตัลทั้ง 4 ในโอเรียนซ์เริ่มปั่นป่วน ตอนนั้นเองคริสตัลแห่งโซวริวก็ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อค้ำจุนสมดุล คริสตัลแห่งโซวริวได้สร้างลูซิขึ้นมาผนึกชาวเซย์ริวบางส่วนไว้ในนารากุ (เชื่อว่ามาจากคำว่า นะระกะ ในภาษาสันสกฤต ซึ่งก็คือนรก) เป็นการขังทั้งเป็น ทำให้ชาวเซย์ริวและคริสตัลแห่งเซย์ริวได้หายไปจากฉากหน้าของประวัติศาสตร์ [3] ทว่าเหล่ามังกรที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้สาปให้ชาวเซย์ริวที่ถูกผนึกไว้ในนารากุ กลายร่างเป็นมอนสเตอร์ที่น่าเวทนาและมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเรื่อยมาอย่างที่เห็นในเกม [4]
ส่วนยุคปัจจุบันในเกม กษัตริย์แห่งโซวริวที่กระหายอำนาจมานาน ได้ร่วมมือกับซิดในการลอบปลงพระชนม์ราชินีอันโดเรีย [5] เพื่อยึดครองราชย์บัลลังค์แทน แต่เมื่อทำสงครามกับสุซาขุและโซวริวเริ่มเสียเปรียบหนัก กษัตริย์แห่งโซวริวก็สั่งให้ปลดผนึกนารากุที่จองจำชาวเซย์ริวที่ต้องสาปเอาไว้ ด้วยความหวังว่าพวกเซย์ริวจะร่วมต่อสู้ไปด้วย แต่เขาคิดผิด ชาวเซย์ริวเหล่านี้ทุกข์ทนมานและถูกกักกันแยกจากโลกภายนอกมาตลอด ตอนนี้จึงมีแต่ความเกรี้ยวกราดในจิตใจ และเข้าโจมตีโดยไม่เลือกฝ่าย [6]
ตอนที่พวกคลาส 0 บุกมาถึงเมืองหลวงมหามยุรี กษัตริย์แห่งโซวริวได้หนีไปยังนารากุ และขอพลังจากคริสตัลของเซย์ริวเพื่อจะได้จัดการทุกอย่างได้เอง แต่เหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นว่าเขาได้รับคำสาปของชาวเซย์ริวไปด้วย และก็โดนชาวเซย์ริวที่หลบซ่อนอยู่ในนารากุออกมากัดกินจนถึงแก่ชีวิต [7] หลังจากนั้นยูซึกิก็ได้ทำการปิดผนึกนารากุลง [8]
[1] สกรีนช็อต http://goo.gl/R3M6BK
[2] สกรีนช็อต http://goo.gl/sC34fB
[3] สกรีนช็อต http://goo.gl/3keV94
[4] สกรีนช็อตโปรไฟล์ราชาโซวริว http://goo.gl/4TOdYf
[5] สกรีนช็อต http://goo.gl/X4NHjR
[6] สกรีนช็อต http://goo.gl/Wjrm03
[7] สกรีนช็อต http://goo.gl/jJozqU
[8] สกรีนช็อต http://goo.gl/1v5PY0
20. เหตุใดจอมพลซิด ถึงต้องก่อสงครามระหว่างประเทศขึ้น?
เมื่อครั้งยังเด็ก ซิดเป็นเด็กที่ฉลาดเกินไวและมีพรสวรรค์ในหลากหลายด้าน เขาได้เติบโตมาในดินแดนที่ประสบปัญหาทุพภิกขภัย (สภาวะขาดแคลนอาหาร) ซิดมักเห็นผู้คนตามท้องถนนอดอยากปากแห้งอยู่ประจำ ทั้งที่เกิดปัญหาแบบนั้น แต่ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลับเฝ้าแต่รอคอยความช่วยเหลือจากคริสตัล คริสตัลที่เพียงหมุนไปอย่างเงียบงันโดยไม่ได้มอบช่วยเหลือแก่มนุษย์แต่อย่างใด ประเทศของเขาถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ สวนทางกับความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อคริสตัล ซึ่งไม่เคยลดน้อยถอยลง [1]
สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น ทำให้ซิดกังขาต่อความเชื่อในคริสตัล เขาคิดว่าการบูชาคริสตัลที่เมินเฉยต่อมนุษย์ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง และการใช้ชีวิตโดยหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คอยช่วยเหลืออยู่ร่ำไป ก็เป็นความคิดที่ผิดอีกเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ซิดเกิดความรังเกียจต่อคริสตัลทั้ง 4 หรือเทพเจ้าใด ๆ ก็ตามแต่ที่มนุษย์เลือกที่จะบูชา เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีแต่ทำให้มนุษยชาติหลงทาง นำพามนุษยชาติไปสู่อนาคตแห่งความทุกข์ทรมาน ซิดจึงวาดฝันถึงโลกที่เต็มไปด้วยมนุษย์ที่คิดพึ่งพาตนเอง ไม่ใช่ยอมทำตามเจตจำนงค์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของก้อนเพชร ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลให้ซิดคิดที่จะรวมประเทศทั้งหมดในโอเรียนซ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ผู้คนทั้งหมดเลิกพึ่งพาหรือบูชาคริสตัล และหันมายืนหยัดอยู่ด้วยพลังของมนุษย์ด้วยกันเอง [2]
ในปี 832 ซิดที่เติบโตและไต่เต้าขึ้นมาเป็นจอมพล ก็ได้ก่อการรัฐประหารในเบียกโค และขึ้นยึดอำนาจเป็นผู้นำของประเทศแทน โดยก่อนหน้านี้เหล่าข้าราชการได้ส่งมอบโดวอาเมอร์ทั้งหมดให้แก่กองทัพ ทำให้กองทัพสามารถใช้กำลังยึดอำนาจได้โดยง่าย โดยในเบียกโคก็มีคนที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อจักรพรรดิของพวกเขาไม่มากนัก หลังจากนั้นซิดก็ขึ้นเป็นประมุขและควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จในประเทศ ทำให้เบียกโคกลายเป็นประเทศเผด็จการทหาร ส่วนจักรพรรดิก็ถูกจำคุก คริสตัลก็ตกอยู่ใต้การครอบครองของซิด การรัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นสำเร็จในหนึ่งวัน โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว [3]
หลังจากซิดขึ้นเป็นประมุขของประเทศ เขาก็ใช้อำนาจพยายามกลืนเพอริสเตอเรียมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทางการโดยสมบูรณ์ เพื่อจะได้นำพลังของคริสตัลไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสำหรับประเทศอื่นแล้ว มีเพียงผู้ที่ถูกเลือกโดยคริสตัลเท่านั้นที่จะเอาพลังจากคริสตัลไปใช้ได้ ทว่านักวิทยาศาสตร์ของเบียกโคสามารถคิดค้นเทคโนโลยีในการดึงพลังออกมาจากคริสตัล ทำให้สามารถเอาคริสตัลมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน และนำพลังงานนั้นไปใช้กับปืน มาโดวอาเมอร์ และยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ และเนื่องจากทุกคนในชาติสามารถใช้อาวุธเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องถูกคริสตัลเลือก เบียกโคจึงเป็นชาติเดียวที่สามารถระดมกองกำลังทหารได้เกินหลักล้านคน [4]
จากคัมภีร์นิรนามที่ถูกส่งไปยังเพอริสเตอเลียมของชาติทั้ง 4 เมื่อนานมาแล้ว [5] ซิดที่ได้อ่านคัมภีร์นิรนามก็ได้รับรู้เรื่องของฟินิสและผู้พิพากษาที่จะปรากฏตัวขึ้นมาทดสอบผู้ที่จะมาเป็นอากิโตะ แน่นอนว่าซิดอ่านแล้วก็เข้าใจว่าโลกนี้ถูกปกครองโดยเทพเจ้าหรือสิ่งที่ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่ามนุษย์ มันทำให้เขาตัดสินใจที่จะทำตามความฝันในวัยเด็ก นั่นคือการรวมโอเรียนซ์เป็นหนึ่งเดียว ปลดปล่อยมนุษย์จากการเป็นข้ารับใช้ของคริสตัลและเทพเจ้า และเอาคริสตัลมาเป็นแหล่งพลังงานแทน นั่นคือเหตุผลที่ซิดต้องก่อสงครามขึ้นเพื่อยึดครองคริสตัลจากประเทศต่าง ๆ และเพื่อรวมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว ซิดจึงปลุกระดมทหารและประกาศว่าเมื่อถึงช่วงเวลาฟินิส จักรวรรดิเบียกโคจะกลายเป็นอากิโตะ [6] ที่พามนุษย์ชาติก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งฟินิส และนำพาโอเรียนซ์ไปสู่ยุคสมัยใหม่ที่มนุษย์ไม่อยู่ใต้อำนาจของคริสตัลและเทพเจ้าอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม... ดูเหมือนว่าซิดจะเป็นอีกคนที่ตีความไม่ออกว่าเงื่อนไงการเกิดฟินิสที่เรียกว่า “เมื่อ 9 และ 9 พบ 9” แปลว่าอะไร ด้วยความที่ซิดไม่รู้ว่ามันหมายถึงการล่มสลายของชาติ 3 ชาติ ทำให้เขาก่อสงครามอันนำไปสู่การเกิดฟินิสในท้ายที่สุด
เมื่อช่วงเวลาแห่งฟินิสได้มาถึง นิมบัสได้พาซิดไปยังตำหนักแพนเดโมเนียม ณ ที่แห่งนั้นกาล่าได้เล่าความจริงของจักรวาลทั้งหมดให้ซิดฟัง พร้อมเตรียมแต่งตั้งให้ซิดกลายเป็นลูซิผู้พิพากษาที่จะเป็นคนตัดสินว่าโลกนี้มีอากิโตะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่ ตอนนั้นเอง ซิดได้เลือกที่จะปลิดชีวิตตนเองแทนที่จะจะยอมตกเป็นเครื่องมือให้กับกาล่า แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันแม้ว่าซิดจะตายไปแล้ว แต่กาล่าก็ยังสามารถสาปศพของซิดให้ลุกขึ้นมาในฐานะลูซิผู้พิพากษาได้อยู่ดี ซึ่งแม้ว่าบุคลิกภาพเดิมบางส่วนของซิดจะยังคงอยู่ [7] แต่คำพูดแปลก ๆ ที่ออกมาจากปากของลูซิผู้พิพากษา ไม่ใช่ความคิดของซิด แต่เป็นกาล่าที่พูดผ่านปากของซิดแทน
[1] สกรีนช็อต http://goo.gl/Ny5ouG
[2] เพิ่งอ้าง
[3] สกรีนช็อต http://goo.gl/nWTq5S
[4] สกรีนช็อต http://goo.gl/8hriqk
[5] สกรีนช็อต http://goo.gl/JrMNwM
[6] สกรีนช็อต http://goo.gl/8GDoQi
[7] อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1
21. เหตุใดอเรเซียถึงยอมถอยไปจากโอเรียนซ์ในท้ายที่สุด?
ขอบอกก่อนเลยว่า ผมคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่เปิดให้ผู้เล่นตีความกันเอาเอง โดยไม่มีส่วนใดในเกม หรือบทสัมภาษณ์ใดที่อธิบายเหตุผลไว้อย่างชัดเจน ผมคิดว่าทีมงานคงอยากให้ผู้เล่นได้ทบทวนถึงสิ่งที่อเรเซียเห็น และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามมุมมองของตัวเอง ซึ่งผมก็มีแนวคิดของผมซึ่งไม่รู้ว่ามันจะถูกรึเปล่า ฉะนั้น บรรทัดถัดจากนี้จึงเป็นการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การเอาข้อเท็จจริงในเกมมาแสดงแบบข้ออื่น ๆ ครับ
ตอนจบของวัฏจักรรอบที่เราเล่นกันในเกม คลาส 0 สามารถเอาชนะผู้พิพากษาได้ (ซึ่งวัฏจักรก่อน ๆ บางรอบก็เคยชนะได้มาแล้ว ดังนั้น การชนะผู้พิพากษาย่อมไม่ใช่เหตุผลของคำถามข้อนี้) ทว่าประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก็ไม่ได้เปิดออกมา หมายความว่าอากิโตะก็ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมอยู่ดี อเรเซียเองก็คิดที่จะรีเซทประวัติศาสตร์ กลับไปยังจุดเริ่มต้นของจักรวาลเสียใหม่เหมือนกับที่เคยทำมาจนชิน แต่แล้วทิซกับโจ๊กเกอร์ ก็ได้พยายามเปลี่ยนใจอเรเซีย โดยการส่งมอบความรู้สึกนึกคิดของคริสตัลและผู้คนที่ตายจากไป (รวมถึงคลาส 0) ให้กับอเรเซีย ซึ่งวิญญาณของพวกคลาส 0 ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ล้วนพร่ำบอกอเรเซียที่เลี้ยงดูพวกเขามาตลอดว่า พวกเขารักอเรเซียมากจริง ๆ จากนั้นอเรเซียที่ได้ยินเรื่องวาระสุดท้ายของคลาส 0 จากเรมและมาคิน่า จึงได้ตัดสินใจปล่อยโลกนี้ให้อยู่ในมือของมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งในหนังสืออาร์ทบุ๊คของเกมได้เขียนว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจตจำนงค์ของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อเรเซียจินตนาการไว้รึเปล่า ทว่าท้ายที่สุด โลกก็ได้เป็นอิสระจากเกลียวที่ไม่มีที่สิ้นสุด [1]
จุดที่น่าจะนำมาพิจารณาในประเด็นนี้ คือสิ่งที่เหล่าคลาส 0 ร่วมกันขอร้องอเรเซีย หลังจากที่พวกเขาตายไปแล้ว [2] ซึ่งในสคริปต์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นอังกฤษ ก็ไม่ได้เขียนให้ชัดเจนว่าพวกเขาขออะไรจากอเรเซียกันแน่ แต่สิ่งที่แฟนฮาร์ดคอร์บางส่วน ตัวผมเอง รวมถึงกลุ่มแฟนที่จัดทำแพทซ์เวอร์ชั่นอังกฤษของภาค PSP เชื่อกันก็คือ คลาส 0 ได้ขอร้องให้เรื่องราวของพวกเขาไม่ถูกลบเลือนไป ขอให้มีผู้คนที่ยังคงจดจำเรื่องราวของพวกเขาต่อไปได้ [3]
การจะทำให้คำขอร้องของเหล่าคลาส 0 เป็นจริง นั่นหมายความว่าอเรเซียต้องยุติการรีเซทจักรวาล และปล่อยให้โลกนี้ดำเนินต่อไปโดยมีผู้คนที่จดจำพวกเขาได้คงอยู่ ซึ่งผมว่าตอนที่อเรเซียได้ยินคำขอร้อง เธอก็ยังไม่ได้ตัดสินใจตกลงซะทีเดียว แต่เธอเลือกที่จะไปฟังเรื่องราววาระสุดท้ายของคลาส 0 จากปากของเรมและมาคิน่าก่อน ซึ่งอเรเซียก็ได้ฟังวีรกรรมความยิ่งใหญ่ของเด็ก ๆ ที่เธอชุบเลี้ยงมา ซึ่งต่างทำตามคำสั่งของเธออย่างจงรักภักดี พัฒนาตัวเองและต่อสู้เรื่อยมา โดยที่ไม่รู้ถึงจุดประสงค์แท้จริงของอเรเซีย ที่เห็นเด็ก ๆ เหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องมือทดลองหาวิธีเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น แต่เด็ก ๆ เหล่านั้นกลับเคารพรักเธอจริง ๆ อย่างหมดหัวใจ นี่คือสิ่งที่อเรเซียได้รับรู้ผ่านเรมและมาคิน่า
เรื่องราวทั้งหมดของคลาส 0 ที่เธอได้เห็นและได้ฟังมาตลอด ทำให้อเรเซียตัดสินใจที่จะยอมทำความปรารถนาของพวกเขาให้เป็นจริง ดังนั้น เธอจึงเปลี่ยนโอเรียนซ์ให้เป็นโลกที่ไม่มีการลบเลือนความทรงจำเรื่องราวของผู้ตายอีกต่อไป (แต่คนที่ถูกลบความทรงจำเรื่องผู้ตายไปแล้ว ก็จะไม่มีทางได้ความทรงจำเรื่องของผู้ตายคืนกลับมา) และปลดปล่อยมาคิน่าและเรมจากสภาพคริสตัล ให้มาคิน่าและเรมที่ไม่ได้ถูกคริสตัลลบความทรงจำเรื่องของคลาส 0 (เข้าใจว่าเพราะพวกนั้นกลายเป็นคริสตัล เลยไม่ถูกคริสตัลอื่นลบความทรงจำ) ช่วยจดจำเรื่องราวของเด็ก ๆ ของเธอไว้ให้ได้ ตลอดไป
ผมคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ทำให้อเรเซียที่เป็นจักรกล ไม่ใช่มนุษย์ ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ ได้เกิดความรู้สึกเห็นใจเด็ก ๆ ของเธอขึ้นมา และอยากทำความปรารถนาของเด็กเหล่านั้นให้เป็นจริง เป็นเหตุให้เธอยุติวัฏจักรการดับสูญและเกิดใหม่ของโอเรียนซ์ และหันหลัง ก้าวออกไปจากโลกพร้อมกับกาล่า ซึ่งผมไม่คิดว่าทั้งสองจะล้มเลิกหน้าที่ในการเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นซะทีเดียว แต่พวกเขาน่าจะไปเริ่มต้นการทดลองครั้งใหม่ในดาวดวงอื่น เริ่มต้นวัฏจักรใหม่ เรื่องราวใหม่ ในเกมใหม่อย่างเช่น Type-1 หากเป็นเช่นนั้น คำขอร้องของเหล่าคลาส 0 ก็จะเป็นจริง โดยที่เธอก็ยังสามารถทำหน้าที่ค้นหาและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นต่อไปได้
เมื่ออเรเซียจากไป คริสตัลก็ค่อย ๆ หมดพลังและสิ้นลง คนที่มีชีวิตอยู่โดยพึ่งพิงคริสตัลมาตลอดก็ใจสลาย ตอนนั้นเองก็มีคนหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นทำให้ผู้คนเห็นถึงพลังของธรรมชาติ ท้ายที่สุดชายหนุ่มคนนั้น-มาคิน่า ก็กลายเป็นผู้นำของมวลมนุษย์ โลกได้ถูกชักพาไปสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่ผู้คนที่ก้าวไปสู่ประวัติศาสตร์ใหม่นั้น ไม่มีความทรงจำเรื่องของพวกเอซทั้ง 12 คนเหลืออยู่ [4] ทว่ามาคิน่าและเรมที่รับมอบความทรงจำของ 12 คนนั้นมาจากอเรเซีย จะไม่มีวันลืมคลาส 0 ตลอดไป
มีเกร็ดข้อมูลที่น่าสนใจคือ ตอนแรกเคยมีช่วงที่ทีมงานคิดจะให้อเรเซียที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดในภาคนี้เป็นบอสใหญ่ของเกม แต่พวกเขาไม่สามารถนึกหาเหตุผลดี ๆ ที่ทำให้คลาส 0 ยอมสู้กับอเรเซียได้ สุดท้ายก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป [5] บอสใหญ่กลายเป็นตัวละครอื่น พวกเอซไม่ต้องสู้กับอเรเซีย ทว่าในตอนจบ โลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ได้เป็นอิสระจากการครอบงงำของอเรเซียตามที่วางพล็อตไว้แต่แรกอยู่ดี ผมเรียกว่าเป็นการจบเกมแบบที่พวกคลาส 0 ไม่ได้ปราบอเรเซียด้วยกำลัง หากแต่ปราบเธอผู้นั้นด้วยหัวใจ
[1] ข้อมูลจากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 241 http://goo.gl/CkkQdK
[2] https://www.youtube.com/watch?v=18Gy0LdTKbA#t=4m55s
[3] สกรีนช็อต to be remembered http://goo.gl/qc9pj8
[4] ข้อมูลจากอาร์ทบุ๊คของเกมหน้า 241 http://goo.gl/CkkQdK
[5] บทสัมภาษณ์อาร์ทบุ๊ค หน้า 253 http://goo.gl/ZE3qiG
22. เล่นเกมนี้แล้ว ได้ข้อคิดอะไร?
สำหรับคำถามสุดท้ายนี้ หลายคนอาจจะไปคิดจากมุมมองของพวกคลาส 0 แต่ส่วนตัวผมว่าอย่าไปมองในมุมมองของคลาส 0 ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ได้แต่รับฟังคำสั่งโดยไม่คิดสงสัย และโดนครอบงำมาตลอดเลย เราน่าจะลองมองจากมุมมองของตัวละครอื่นที่พอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง อย่างเช่นมุมมองของซิด
ซิดเติบโตมาในประเทศที่ประสบปัญหาทุพภิกขภัย (ขาดแคลนอาหาร) และเขาก็เห็นผู้คนเอาแต่กราบไหว้คริสตัล บูชาเทพ หวังพึ่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของชาติ ผู้คนทำตัวเป็นง่อยรอรับความช่วยเหลืออย่างเดียวราวกับสัตว์เลี้ยงที่ต้องรอความกรุณาจากเจ้าของ เรื่องราวเหล่านี้มันสะท้อนถึงปัญหาอะไรบ้างในสังคมของเรา? การที่ผู้คนเฝ้าวิงวอนรอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวนั้นสมควรหรือไม่? หากว่ามันผิด... มันผิดเพราะอะไร? และการที่ซิดคิดที่จะปฏิวัติความคิดนี้ มันควรหรือไม่?
ในเรื่องนี้ซิดอยากจะเปลี่ยนแปลงโลก อยากจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคนทั่วโลก แต่เขาไม่ได้นั่งเพ้อเจ้อแล้วโทษคนอื่นไปเรื่อย ๆ
ซิดเลือกที่จะลงมือทำ ทำด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ไต่เต้าจนขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของกองทัพจนกลายเป็นจอมพลได้
ผมคงไม่วิจารณ์ว่าการก่อรัฐประหารของซิดเพื่อเป้าหมายที่สูงส่งยิ่งกว่าอำนาจนั้น ถูกต้องหรือไม่ เพราะสิ่งที่น่าพิจารณายิ่งกว่าคือ เขาได้เพียรพยายาม “ลงมือ” ทำอะไรบางอย่าง ตามที่เขาไตร่ตรองมาทั้งชีวิตว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง มันคือหนทางไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น แม้ว่าวิธีการของเขาอาจจะเป็นที่น่ากังขา แต่ความกระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเองให้ไปอยู่ในจุดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ นั่นคือสิ่งที่น่ายกย่อง และเราควรเรียนรู้ไว้ครับ
“เอาแต่กล่าวโทษว่าคนอื่นไม่ดี แล้วเจ้าได้เคยวาดฝันและพยายามอย่างจริงจังเพื่อจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นบ้างรึเปล่า?” ซิดไม่ได้กล่าวไว้... แต่ผมว่าซิดคงอยากถามคนที่นั่งนิ่ง ๆ แล้วเที่ยววิจารณ์คนอื่นไปเรื่อย แบบนั้นครับ
แถม – เทียบไปแล้ว FF Type-0 ก็เหมือนสาวสวย ที่พูดจาไม่รู้เรื่อง แต่นิสัยก็ดีครับ ที่บอกว่าเหมือนสาวสวยก็เพราะผมเห็นคนส่วนใหญ่ที่เล่นเกมนี้กันมาตั้งแต่แรก โดนฉากจบเกมกับการกำกับคัตซีนล้างสมองกันหมด จนแทบไม่พูดถึงเรื่องอื่นนอกจากการยกย่องฉากจบเกมที่พวกเขาซาบซึ้งกันอย่างเดียว ไอ้ฉากจบที่ดูแล้วทำให้คนซาบซึ้งได้ไม่ว่าจะเล่นเกมรู้เรื่องมาก่อนหรือไม่ มันก็เหมือนความงามที่ใคร ๆ ก็สามารถรื่นรมย์ไปกับมันได้... ส่วนที่ว่าพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็เพราะเกมมันนำเสนอเรื่องราวได้ค่อนข้างแย่ การเล่าเรื่องกระโดดเป็นช่วง ๆ และหลาย ๆ เรื่องต้องไปหาคำตอบใน Pax Codex (Rubicus) หรือบทสัมภาษณ์กันเอาเอง แต่ท้ายที่สุดเมื่อได้อ่านและทำความเข้าใจกับประเด็นที่เกมมันเล่าไม่รู้เรื่องทั้งหมด จนหายสงสัยได้แล้ว ผมว่านี่ก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่มีเนื้อเรื่องที่น่าจดจำมากทีเดียว
.......................................................................
ใครที่ติดตามอ่าน FAQS อย่างละเอียดมาจนครบทั้ง 22 ข้อ ผมขอแสดงความยินดีด้วย เพราะนั่นหมายความว่าคุณโดนผมลากให้อ่านเนื้อหาที่สามารถแปะลงกระดาษ A4 ได้ยาวถึง 38 หน้า (ถ้าพิมพ์ลง A5 คงทะลุ 80 หน้า)
ด้วย FAQS ทั้ง 22 ข้อนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจในเนื้อหาของ FF Type-0 มากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปอธิบายและเล่าสู่เพื่อนฝูงลูกหลานต่อไปได้อย่างถูกต้อง
ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้รู้เนื้อหาที่ถูกต้อง และผมอยากนำเสนอผ่านบทความชุดนี้ก็คือ "การอ้างอิง" และ "การเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ"
ในการเขียนบทความนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้บทความมีน้ำหนัก คือการอ้างอิง ใส่เชิงอรรถในจุดต่าง ๆ ที่เราได้อ้างอิงเนื้อหามาจากแหล่งอื่น ซึ่งบทความมันจะมีน้ำหนักได้ก็ต่อเมื่อเราอ้างอิงในสิ่งแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ในที่นี้ก็เช่น บทสัมภาษณ์ผู้กำกับ บทสัมภาษณ์คนเขียนบท สคริปต์เกม คัตซีนในเกม สกรีนช็อต คู่มือเฉลยเกมที่ทางค่ายจัดทำเนื้อหาเอง ฯลฯ
Post a Comment