ขยายความ End Credit ของ FF Type-0


พึ่งจบ Final Fantasy Type-0 HD ไปเมื่อคืน (หลังจากเล่นแบบหอยทากโดนตะคริวกินอยู่นาน)

สมัยที่ผมดูฉาก End Credit ของเกมนี้บน PSP ด้วยภาพที่เป็นขาวดำ ประกอบกับขนาดจอที่เล็ก ทำให้ผมเห็นรายละเอียดด้านหลังไม่ค่อยชัดนัก ต่างจากคราวนี้ที่เห็นรายละเอียดชัดหน่อยว่าอะไรเป็นอะไร

ภาพนั้นเปิดมาด้วยบ้านเมืองที่มีสภาพเละเทะจากผลของสงครามที่มนุษย์ฆ่าแกงกันเอง และจากการรุกรานของรูรซัส (พึ่งรู้ว่ามันสะกด Rursus หลังจากที่ก่อนหน้านี้แฟน ๆ ฝรั่งสะกดกันเองว่า Lulusath) ผู้คนทั้งโลกตกอยู่ในความสิ้นหวัง โกลาหล ซึมเศร้า

พลันนั้น ผมนึกถึงสภาพของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สภาพที่ทุกอย่างพังพินาศ เละเทะ วินาศสันตะโร คงกลายเป็นภาพที่ฝังใจผู้คน และเป็นอุทธาหรณ์ที่จะถูกพร่ำสอนไปยังคนรุ่นหลังอีกตราบนานเท่านาน

ความล่มสลายนั้นได้กลายเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ ที่ทำให้ผู้คนที่ต่างประสบชะตาเดียวกัน หันมาสามัคคีร่วมแรงร่วมใจลุกขึ้นสู้ ฟื้นฟูสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่

กรณีของเกมนี้ การที่ทุกชาติที่เคยทำสงครามกัน ต่างจนตรอกกับความสิ้นหวังที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันทำให้ต่างฝ่ายต่างยอมถอยคนละก้าว ลดทิฐิของตนเอง แล้วหันมาพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอด จนในที่สุดแนวคิดในการรวมชาติทั้ง 4 เป็นหนึ่งเดียวกันก็เกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่ถูกเล่าผ่านภาพขาวดำนั้น เล่ามาจนถึงภาพหนึ่งที่มองโคตรลำบาก... นั่นคือภาพผู้คนมากมายจากทั้ง 4 ชาติกำลังยืนล้อมเชียร์ชายหญิงคู่หนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าเป็นมาคิน่าและเรมตัวเป็น ๆ หรือเป็นรูปปั้น?) พวกเขาต่างโบกธงประจำชาติของตนเอง และโห่ร้องไปยังชายหญิงคู่นั้นอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อชาติทั้ง 4 สามัคคีกัน การแลกเปลี่ยนทรัพยากรและเทคโนโลยีก็เกิดขึ้น ในที่นี้มีภาพคาสึซะที่ไปช่วยขนของที่อาณาจักรคอนคอร์เดียด้วย

ถัดมาก็เป็นภาพหน้ากากของนิมบัสที่แตกร้าว คุณทาบาตะเคยบอกไว้ว่าตามบทแล้ว พอคริสตัลหมดพลัง ลูซินิมบัสก็หมดพลังแล้วก็ปลิดชีพตัวเอง

ต่อมาก็ภาพเพอริสเตอเลียมของสุซาขุที่กลายเป็นสวนดอกไม้แถมมีกังหันลมตั้งอยู่ มนุษย์เริ่มเรียนรู้ที่จะเอาพลังงานลมมาใช้

ถัดมาก็เป็นภาพของอาณาจักรโลลิก้าที่พื้นฟูขึ้นใหม่ และภาพเรือเหาะของสุซาขุที่ให้มังกร 3 ตัวช่วยกันลากบินไปบนอากาศ..... (เย่เคร็ด... หยั่งกะรถม้า)

ภายหลังก่อความผิดพลาด ทำอะไรโง่ ๆ ลงไปเยอะแยะ หนุ่มน้อยมาคิน่าก็เติบโตขึ้นโดยมีภาพเพื่อนพ้องที่ล่วงลับไปก่อนเป็นแรงผลักดัน พวกเขาเหล่านั้นคือเพื่อนที่มาคิน่าเคยคิดร้ายเพราะความเยาว์วัยและขลาดเขลาของเขาเอง

เมื่อเมฆหมอกคลี่คลาย หลังเรื่องเลวร้ายผ่านพ้น มาคิน่าได้สำนึกผิดถึงความผิดพลาดของตน เขาได้เห็นความเสียสละของพวกพ้อง ได้รับรู้ว่าโลกนี้ยังคงอยู่เพราะความเสียสละนั้น

ความเสียสละของผู้ที่จากไปแล้ว...

แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะจดจำพวกเขาไว้ แล้วเอาเรื่องราวของพวกเขามาเป็นบทเรียนเพื่อก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น

มาคิน่าอุทิศชีวิตอีก 50 ปีที่เหลือ ให้กับการไถ่บาปของตนเอง เขากลายเป็นผู้นำคนใหม่ของโอเรียนซ์ ที่ผลักดันให้ผู้คนช่วยกันคิดค้นการเอาพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ และร่วมมือกันสร้างโลกขึ้นมาใหม่

ในวัย 67 ปี มาคิน่าจากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยรอยยิ้ม โดยมีภรรยาที่รักยิ่งดูแลเขาอยู่ข้างกาย คุณทาบาตะบอกไว้ว่าตอนแรกกะจะใส่รอยยิ้มของเอโทรลงไปในฉากนี้ด้วย เพราะในคัมภีร์นิรนามท่อนสุดท้ายก็บอกไว้ว่าท้ายที่สุดเอโทรก็ได้มอบรอยยิ้มให้แก่มนุษย์ ที่เขาเลี่ยงไม่เขียนชื่อเรมลงไปในตอนจบ ก็เพื่อให้เหตุการณ์นี้สื่อถึงรอยยิ้มของเอโทรด้วย

พูดถึงคัมภีรณ์นิรนาม 2 ท่อนสุดท้าย มีบอกใบ้เอาไว้แล้วว่าในเกลียวสุดท้าย (วัฏจักรสุดท้าย) เมื่อประกายทั้ง 12 ดับสูญ (คลาส 0 ตาย) เจตจำนงค์ของมนุษย์ก็จะกำเนิดขึ้นมาใหม่ (มนุษย์เปลี่ยนทัศนคติ)

บัดนั้นเอโทรก็มอบรอยยิ้มให้แก่มนุษย์ โลกได้ดำเนินต่อไป ต่างคนต่างได้รับพร ประกายแสง (คลาส 0) ได้ถูกปลดปล่อยสู่การเดินทางครั้งใหม่ สู่วัฏจักรอื่นที่กำเนิดขึ้น... ไม่รู้ว่ามันจะเป็นวัฏจักรแห่งความสิ้นหวัง ความสุขสันต์ หรืออื่นใด....

อันที่จริงผมเห็นเนื้อหาท่อนสุดท้ายของคัมภีรณ์นิรนามนี้มาก็หลายรอบละ แต่ไม่เคยอ่านเข้าใจเลย... พึ่งจะมาเข้าใจก็วันนี้แหละ ว่ามันหมายถึงการที่อเรเซียหอบวิญญาณพวกคลาส 0 ไปเริ่มต้นสู้รบกันในวัฏจักรใหม่ ที่จักรวาลอื่นแทน...

ไม่มีความคิดเห็น