ทาบาตะเผยสาเหตุที่ชอบทำฉากนองเลือด และเตรียมใส่เหตุการณ์เหี้ยมโหดสุดช็อคลง FFXV
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2015 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ JPGames ของเยอรมัน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณฮาจิเมะ ทาบาตะ ผู้กำกับ Final Fantasy XV และ Final Fantasy Type-0 HD ซึ่งเดินทางไปทัวร์โปรโมตเกมที่ฝั่งยุโรป โดยบทสัมภาษณ์ดังกล่าวก็มีเนื้อหาสำคัญดังนี้
- ในเรื่องการเปลี่ยนโทนสีของเกม FF Type-0 HD จากเดิมที่ใช้สีแดงเข้มใน PSP แล้วถูกปรับลดค่าสีแดงลงในเวอร์ชั่น HD คุณทาบาตะบอกว่าการเปลี่ยนโทนสีนี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดกันไว้ในตอนแรก แต่มันเริ่มเกิดขึ้นตอนสร้างโลโก้ใหม่ให้ภาค HD ซึ่งเขาได้บอกคุณนาโอระที่เป็นผู้ออกแบบ (น่าจะหมายถึงคุณนาโอระ ที่เป็นผู้กำกับศิลป์ เอาภาพโลโก้ที่คุณอามาโนะวาดไว้ในตอนแรกไปตกแต่งอีกที) ว่าจะให้ตกแต่งโลโก้ใหม่ในลักษณะอย่างไร ตอนนั้นเองที่ทีมงานตัดสินใจว่าจะให้ตัวเกมมีโทนสีทองเหมือนกับโลโก้ใหม่ เลยคิดจะเปลี่ยนโทนสีแดงเป็นสีทอง จากนั้นพอมานำกราฟฟิคของภาค PSP มาแสดงผลบนจอใหญ่ ก็พบว่ามันค่อนข้างมืดไป ทำให้รายละเอียดต่าง ๆ หาย เลยตัดสินใจที่จะปรับความสว่างของภาพให้มากขึ้น ต่อมาพอพยายามปรับค่าต่าง ๆ เพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน โทนสีน้ำเงินก็ค่อย ๆ เด่นขึ้นมาโดยธรรชาติเอง
- มนต์อสูรตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาในภาค Type-0 คืออิฟรีท และอสูรที่คุณทาบาตะชอบก็คืออิฟรีทนี่แหละ แต่เดิมแล้วเขาสร้างให้มนต์อสูรมันเคลื่อนไหวของมันเองโดยที่ผู้เล่นควบคุมไม่ได้ ซึ่งมันไม่ค่อยดูดุร้ายโดนใจสักเท่าไหร่ ต่อมาพอลองเปลี่ยนมาให้ผู้เล่นลองควบคุมอสูรได้เอง คุณทาบาตะรู้สึกว่าแบบนั้นมันเวิร์คกว่า ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่จะให้ผู้เล่นสามารถควบคุมมนต์อสูรในเกมได้
- เมื่อถามถึงโอกาสในการพอร์ท FF Type-0 HD มายัง PS Vita คุณทาบาตะบอกว่าขอโทษด้วย แต่ในขณะนี้เขายังไม่มีแผนเรื่องนี้เลยจริง ๆ ตัวเขาเองชื่นชมว่าการแสดงภาพของ PS Vita นั้นเจ๋งจริง ตอนที่เขาลองทำ Remote Play FF Type-0 HD ให้มาแสดงผลบนจอ PS Vita ก็เห็นว่าภาพมันเยี่ยมไปเลย เขาชอบ PS Vita และถ้ามีโอกาสก็อยากจะพอร์ทดู
- พูดถึงผลงานเก่า ๆ ที่ทำให้คุณทาบาตะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และเอามาใช้กับงานปัจจุบัน คุณทาบาตะนึกถึงฉากจบของ Crisis Core ซึ่งในตอนนั้นเขาอยากจะปรุงแต่งมันลงไปให้มีรายละเอียดมากขึ้นจากเนื้อหาดั้งเดิม เขาได้เรียนรู้การพรรณนาถึง "อารมณ์ของมนุษย์" และ "ความคิดคำนึงภายในจิตใจ" ซึ่งเขาได้นำเรื่องนี้ไปใช้ต่อในเกมใหม่ ๆ เรื่อยมา ตอนที่เขาทำฉากจบดังกล่าว เขาก็ได้เรียนรู้และฝึกฝนการเล่าเรื่องอันลึกซึ้ง ฉากที่แซ็คส่งมอบสัญลักษณ์แห่งความมีชีวิตอยู่ไปให้แก่คลาวด์ การส่งมอบอารมณ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ในฉากนั้น มันได้ทำให้เราเข้าสู่ยุคใหม่ของวงการเกม มันเป็นอารมณ์ มันเป็นศิลปะที่เขาพยายามจะเอาไปใช้ใน FFXV
- คุณทาบาตะอธิบายต่อไปว่า ในตอนที่ทำฉากจบ Crisis Core ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่เทเลือดลงไปให้คลาวด์กับแซ็คมากขนาดนั้น ทีมงานต้องคำนึงถึงเรื่องการใส่เลือดลงไปเพราะมันเกี่ยวพันกับข้อจำกัดด้านเรทเของเกม แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าถ้าไม่ใส่เลือดลงไป อารมณ์มันก็จะแตกต่างออกไป เขาเลยให้ทีมงานค่อย ๆ เติมเลือดลงไปบนตัวแซ็ค จนเขาคิดว่ามันออกมาดี ได้ภาพที่สามารถสื่ออารมณ์อย่างที่เขาต้องการได้โดยที่เรทของเกมยังอยู่ในระดับที่ทางค่ายต้องการ
- จากฉากนั้น ทำให้คุณทาบาตะเรียนรู้ว่าถ้าจะสื่ออารมณ์อันลึกซึ้ง และการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด เขาก็ต้องแสดงออกด้วยการนองเลือดแบบนี้ และนั่นก็เป็นที่มาของฉากเปิดเกม FF Type-0 ที่มาถึงก็นองเลือด แล้วก็ให้อารมณ์แบบเดียวกัน
- ทาง JPGames ระลึกถึงว่า ในเทรลเลอร์ตัวแรก ๆ ของ FF Versus XIII มันก็มีฉากที่น็อคติสหักคอทหาร แล้วเลือดก็สาดกระจาย (จนทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าภาคนี้น่าจะเป็นภาคแรกที่โดนเรท M) ตอนนี้ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปรึยัง? คุณทาบาตะตอบว่าอันนั้นมันเป็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่กับ FFXV ในวันนี้ กับสิ่งที่พวกเขาเคยพยายามทำกับ FF Versus XIII ในวันนั้น (หมายถึงปัจจุบันไม่ได้อยากให้เลือดสาดเกลื่อนกลาดแล้ว) ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเรทเกม แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำกับ FFXV ในวันนี้ แต่ทั้งนี้พวกเขาก็พยายามจะสร้างเกมให้อยู่ในเรทที่ตั้งใจไว้ และนั่นก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงการสร้างเกมในหลาย ๆ อย่าง เขาเคยคิดว่าจะสร้างเมนูให้เลือกได้ว่าจะให้เลือดสาดแค่ไหน หรือจะทำ DLC เพิ่มเรทเกมดีมั้ย... แน่ล่ะว่าเขาก็ยังอยากให้เกมอยู่เรทมาตรฐานของเกม (ปกติซีรีส์นี้ใช้เรท Teen หรือ 13+) แต่คุณทาบาตะก็ย้ำว่าเขาได้วางแผนที่จะให้มีเหตุการณ์สุดช็อคในเนื้อเรื่อง และในเหตุการณ์นั้น ความเหี้ยมโหดก็เป็นสิ่งที่จำเป็น... นี่แหละคือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้
- เดโมของ FFXV จะมีขนาดรวม 5GB และใช้เมโมรีของ PS4 และ Xbox One อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- คุณทาบาตะบอกว่ามีแฟนมากมายที่รอเกมนี้มานาน นั่นเป็นเหตุผลหลักที่เขาอยากจะออกเดโมมาให้แฟน ๆ เหล่านี้ได้พอใจ ตอนที่เปลี่ยนจาก FF Versus XIII มาเป็น FFXV มันมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเกมเกิดขึ้นมากมาย เมื่อกลายเป็นเกมภาคหลักแล้ว พวกเขาก็ต้องมาประเมินค่าสิ่งต่าง ๆ เสียใหม่ (หมายถึงมีทุนมากขึ้น สเกลเกมต้องใหญ่ขึ้น ขนาดทีมงานเพิ่มขึ้น คาดหวังยอดขายมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นมากขึ้น แต่ก็ต้องทำให้เรทของเกมอยู่ในระดับที่เข้าถึงผู้เล่นได้กว้างกว่า ซึ่งเรท T มันก็เข้าถึงผู้เล่นได้ในจำนวนที่มากกว่า M) ความสำคัญของเกม ขนาดของโปรเจคท์ก็เปลี่ยนไป
- เมื่อถามถึงโปรเจคท์ในอนาคต? คุณทาบาตะบอกว่าจากนี้เขาอยากมุ่งมั่นกับสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือ FFXV เวลาของเขาทั้งหมดจะทุ่มให้กับ FFXV แต่ทางค่ายก็มีเกมฟอร์มยักษ์เกมอื่นที่ทำอยู่และยังไม่ได้เปิดเผยออกมา (เป็นการตอบโดยอ้อมว่าหลังจากนี้คุณทาบาตะจะทำ FFXV อย่างเดียวจนกว่าจะเสร็จ ขณะที่ทีมงานชุดอื่นก็ดูแลเกมฟอร์มยักษ์เกมอื่น)
- สุดท้ายเมื่อถามถึงสเตลล่า คุณทาบาตะก็หัวเราะ แล้วบอกว่าหลังวางจำหน่าย FF Type-0 HD ก็จะมีการเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเอง
ป.ล. ในที่สุด ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณทาบาตะกำกับเกมไหน (หลังจาก Crisis Core เป็นต้นมา) ต้องมีเลือดสาด พวกตัวเอกตายตอนจบ เรียบหมดทุกเกม 5555
Post a Comment