Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 9 ไร้ลมหายใจ
เมื่อสายลมสงบลง กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็แล่นเข้ามาเตะจมูกของฉัน กลิ่นของอะไรบางอย่างที่เผาไหม้ ถ้าเป็นกลิ่นการปรุงอาหารหรือกลิ่นของกองไฟก็คงดู ทว่ากลิ่นในอากาศนี้มีแต่ทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้ เป็นกลิ่นของสิ่งที่ควรเผาและไม่ควรเผา ถูกเอามาเผารวมกัน และมันเตะเข้าไปในซอกหลืบจมูกของฉันเข้าอย่างจัง กลายเป็นกลิ่นของฝุ่นและเหงื่อไคลที่คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
ฉันพยายามหาดูว่าอะไรที่ไหม้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีเปลวเพลิงอยู่รอบตัว ฉันคิดว่ากลิ่นนั่นคงถูกลมหอบมา จากที่ไกลออกไป โดยไม่คิดว่ามันเป็นกลิ่นที่มาจากตัวฉันเอง โง่เง่าจริงเรา กลิ่นนั้นออกมาจากตัวฉันเอง กลิ่นควันนั้นได้ซึมอยู่ในผมและเสื้อผ้าของฉัน มันคงแผ่ไปทั่วตัวตอนที่ฉันเดินผ่านด่านกั้นที่มุมถนนเมื่อตะกี้ กองกำลังอาสาสมัครที่อยู่ตรงด่านกั้นได้เผายางล้อเก่า ๆ และคัดแยกขยะในถังเหล็ก ทำให้เกิดเป็นม่านควันชั่วคราวขึ้นมา
ไม่กี่เดือนก่อน ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เงียบเหงาไม่มีใครผ่าน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสนามรบไปแล้ว เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงโหยหวนอันบ้าคลั่ง และเสียงกรีดร้อง ดังกึกก้องไปทั่วถนนอิฐอันเก่าแก่ นี่ไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับเมืองนี้โดยเฉพาะ พื้นที่ข้างเคียงล้วนโดนด้วยกันหมด กลายเป็นสนามรบอันป่าเถื่อนเหมือนกัน
ประเทศนี้กำลังแบ่งแยกกันด้วยสงครามกลางเมือง ตอนแรกมันเริ่มต้นจากการประท้วงอย่างสันติ แต่แล้วการปราบปรามอย่างรุนแรงจนเลือดตกยางออก ได้สร้างสร้างความโกรธแค้นให้ผู้คน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นม็อบจลาจล รัฐบาลพยายามจะปราบประชาชนด้วยกำลัง แต่ว่าทหารบางส่วนก็อยู่ข้างประชาชน และหันหน้าเข้าต่อสู้กับรัฐบาลแทน แล้วท้ายที่สุดธงแห่งการปฏิวัติก็โบกสะบัด การรัฐประหารได้เกิดขึ้น อำนาจได้เปลี่ยนมือไป ขั้วอำนาจใหม่เริ่มที่จะไล่บี้ขั้วอำนาจเก่า ปัญหาเรื่องชาติพันธุ์ศักดินาที่มีมาแต่โบราณ ความบาดหมางเก่าแก่ที่ควรถูกฝังไปนานแล้ว กลับถูกขุดขึ้นมาใหม่ ชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้นทุกหนแห่ง เมื่อมีคนตายในอุบัติเหตุจากการปะทะกัน มันเลยกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แล้วกองกำลังติดอาวุธจากต่างชาติถูกส่งตัวเข้ามาในประเทศอย่างลับ ๆ เกิดเป็นการราดน้ำมันบนกองเพลิง นี่เป็นผลกระทบแบบลูกโซ่จากผีห่าซาตานโดยแท้ สถานการณ์ค่อย ๆ เลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดทุกคนก็เหมือนติดอยู่ในวังวนทรายดูด สงครามกลางเมืองไม่ได้หายไปไหน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยการใช้กำลัง จนยากที่จะแบ่งแยกมิตรและศัตรู ไม่มีใครรู้หรอกว่ากระสุนนัดต่อไป จะพุ่งมาจากทิศทางไหน
ฉันกำลังรายงานมาจากสนามรบแห่งนี้ และฉันก็เลือกมาที่นี่ด้วยความต้องการของตนเอง
ฉันกำลังจับจ้องไปยังโฉมหน้าของความเป็นจริง ของความจริงเบื้องหลัง “โลกใบนี้”
การเดินทางของฉันสิ้นสุดลงได้ครึ่งปีแล้ว
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พบกับไลท์นิ่ง แต่ก็ได้พบเรื่องราวทั้งหมดของ “โลกใบนั้น” จากโฮป เอสไฮม์ ซึ่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังในการสัมภาษณ์ครั้งที่สอง
เรื่องราวการกลับมาของไลท์นิ่ง 13 วันสุดท้ายของเธอก่อนวาระสุดท้ายของโลก การปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งปวง การต่อสู้พระผู้เป็นเจ้า และการเกิดใหม่ของพวกเราบนโลกใบใหม่ ในห้วงสุดท้ายของ “โลกใบนั้น” ไลท์นิ่งและผองเพื่อนได้ต่อสู้เพื่อพวกเรา เพราะพวกเขาเราจึงได้เกิดใหม่บน “โลกใบนี้”
นี่ควรจะเป็นโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง
ทว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจริงกับที่นี่ “โลกใบนี้” ?
ฉันไม่รู้อะไรมากกว่านั้น แต่ฉันก็ได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายมากมายจนเกินพอจากสนามรบ
ไลท์นิ่งและผองเพื่อนกำจัดบูนิเบลเซ่ พระเจ้าแห่งแสง พวกเขายุติยุคสมัยแห่งการปกครองของพระเจ้า และมอบโลกใบใหม่ที่พวกเราจะได้เป็นอิสระ พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อพวกเรา แต่ดูพวกเราตอนนี้สิ ในโลกที่ปราศจากพระเจ้า มนุษย์ก็ฆ่าฟันกันและกัน พวกเขาสู้ไปเพื่ออะไร? จุดหมายใด? หรือโลกอันหดหู่นี้คือสิ่งที่พวกเราสมควรได้รับ? มนุษย์นั้นโง่เขลาและเต้นไปตามความโลภ และโลกใบนี้ สภาพความเกลียดชังและความขัดแย้งอันปั่นป่วน คือโลกที่ถูกสร้างมาให้เหมาะสมกับมวลมนุษย์แล้ว?
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบเร่งพุ่งเข้ามาหา เสียงวิ่งฝุ่นตลบจากรองเท้าหลวม ๆ บังเกิดขึ้น รองเท้าบู๊ตของทหารมักจะมีขนาดไม่พอดีกับคนใส่ ฉันได้ยินเสียงบ่นพร้อมเสียงหายใจหนักของคนที่วิ่งเข้ามาใกล้ ทั้งบ่นถึงเสบียงที่ขาดแคลน และบ่นถึงการหารองเท้าขนาดพอดีที่แทบเป็นไปไม่ได้
ชายหนุ่มที่วิ่งเขามาหาฉันพร้อมกับปืนที่สะพายอยู่บนบ่า เป็นสมาชิกของกองทหารอาสาสมัคร มาเพื่อดูแลความปลอดภัยของฉันในระหว่างที่ฉันรายงานข่าว เขาเล่าให้ฟังว่าเขาไม่เคยได้รับการฝึกทหารมาก่อนจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น กระทั่งนักเรียนก็ไม่ถูกยกเว้น พวกเขาต้องลุกขึ้นจับปืนต่อสู้ นี่แหละคือความจริงของสงครามกลางเมือง
“แย่แล้ว! พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย!”
ชายหนุ่มคนนี้ดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนฉันพึ่งจะเข้าใจความหมายของเขาในเพียงอึดใจถัดมา เมื่อมิซไซล์ลูกหนึ่งตกใส่อาคารที่อยู่ตรงข้ามเรานี่เอง
เสียงระเบิดดังอื้ออึงกึกก้อง ตามมาด้วยควันที่ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซากส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวไสวใส่เรา ชายหนุ่มนั้นคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ดีอยู่แล้ว เขารีบกระโดดเข้าหาที่กำบัง ทว่าฉันได้แต่เพียงยืนโง่อยู่กับที่ เราโชคดีแล้ว ถ้ามิซไซล์ตกลงใกล้กว่านี้ เราคงปลิวหายกันไปตามแรงปะทะ หรือโดนหินก้อนใหญ่หดเละไปแล้ว
แต่วินาทีต่อมา โชคของฉันก็หมดลง
แรงปะทะจากระเบิดลูกแรกอัดใส่ฉันน่วมทั้งตัวแล้ว แต่มิซไซล์ลูกสองกลับระเบิดขึ้นใกล้ ๆ ว่าแล้วสติของฉันก็หลุดลอยไป
REMINISCENCE -tracer of memories-
ตอนที่ 9
ไร้ลมหายใจ
เมื่อฉันรู้สึกตัว ฉันก็หยุด
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันกำลังเดินขบวนอยู่ และไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ฉันอยู่ในกลุ่มคนสิบกว่าคนที่กำลังย่ำเท้าไปยังทิศทางเดียวกัน มุ่งหน้าไปยังที่ไหนสักแห่ง
ฉันรู้ว่าตัวเองถูกมิซไซล์เป่ากระเด็น จากนั้นก็หมดสติไป แต่ไม่เห็นจำได้เลยว่าทำไมฉันถึงมาเดินขบวนอยู่กับผู้คนเหล่านี้ นี่ฉันฟื้นขึ้นมา แล้วละเมอลุกมาร่วมขบวนนี้เหรอเนี่ย? บางที ท่ามกลางความสิ้นหวัง ฉันอาจสูญเสียความทรงจำ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ มันต้องเป็นเพราะแรงระเบิดแน่ ๆ ทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียน เสียงที่กังวานอยู่ในหูมันดังมาก ฉันคงโชคดีถ้ายังสามารถฟังเสียงได้อีก
ฉันยืนหยุดนิ่งไม่ขยับ ขณะที่กลุ่มก้าวเดินต่อไป ทิ้งฉันไว้ข้างหลัง พวกเขาบางคนท่าทางจะเป็นทหาร แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพลเมือง พวกเขาต้องเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยแน่ ๆ ฉันพยายามมองหาชายหนุ่มที่เป็นคนนำทางฉัน แต่ก็ไม่พบ
ทุกคนดูมีอาการอ่อนล้ามาก ๆ พวกเขาเดินอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ แถมไหล่ยังตก
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ? พวกคุณกำลังจะไปไหนกันเนี่ย?”
ฉันพยายามคุยกับพวกเขา แต่ไม่มีใครสักคนตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่น้อย หรืออาจจะมีใครสักคนพูดแล้ว เพียงแต่ฉันไม่ได้ยิน เพราะเสียงที่กังวานอยู่ในหู
ฉันล้มเลิก แล้วก็ตัดสินใจตามพวกเขาไป เราถูกล้อมรอบด้วยความมืดสลัว ราวกับว่ากำลังจะตกดึก ฉันจำได้ว่าตัวเองหมดสติไปช่วงบ่าย ๆ แสดงว่าฉันคงสลบไปหลายชั่วโมง ฉันไม่เพียงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ยังไม่รู้ว่าฉันมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง ฉันอยู่ระหว่างการรายงานการสืบสวนรอบเมือง แต่แถวนี้กลับไม่มีอาคารสักหลังให้เห็น มีแต่เพียงความรกร้างว่างเปล่า ฉันเงยหน้าแล้วก็เห็นแต่ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆอันมืดมิด ฉันไม่คิดว่าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่มันหายไปเลย ทว่าก็ยังคงมีเงามืดอยู่ใต้เท้าของฉัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นที่นี่
ในที่สุดถนนก็ทอดยาวมาสู่ทางขึ้นเนินอันแสนไกล การปีนเขานี้ทำให้ฉันแทบหมดลม แต่กลับไม่มีใครเลยที่หยุดพักหายใจ เสียงหอบของฉันจึงปะปนไปกับเสียงฝีเท้าของเหล่านักเดินที่เงียบงันนี้
ฉันเดินผ่านเส้นทางลาดชันมาได้ จนมาอยู่บนยอดเนินเล็ก ๆ
ฉันจึงได้เลิกหอบสักที
มหาสมุทรอันดำมืดตั้งตระหง่านต่อหน้าฉัน หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่ทะเลสาบ หรือแม่น้ำขนาดใหญ่ โพ้นไปจากมวลน้ำอันมืดมิดที่ไหลบ่าราวกับความมืดนั้น มีแต่เพียงความมืดที่ปกคลุม ฉันไม่เห็นทั้งเส้นขอบฟ้าและชายฝั่งตรงข้าม แต่ที่แน่ใจอย่างนึงคือไม่ว่ามันจะเป็นทะเลสาบหรือแม่น้ำ มันก็ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ ฉันมาทำงานเป็นนักข่าวในประเทศที่ล้อมรอบด้วยแผ่นดิน ไม่มีทะเลสาบยักษ์ ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีอะไรเหล่านี้
แล้วมหาสมุทรนี่มันคืออะไร?
ฉันงงไปหมด แต่กลับไม่มีใครสนใจฉันเลย ขบวนนั้นเดินผ่านฉันไป ลงจากเนิน มุ่งสู่ชายฝั่ง พวกที่นำทางไปนั้นลงไปถึงคลื่นชายฝั่งเรียบร้อยแล้ว และกำลังลุยลงไปในน้ำอันมืดมิด พวกเขากำลังจะทำอะไรกันเนี่ย?
ตอนนั้นเองฉันถึงได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่ชายฝั่ง มองดูขบวนของพวกเรา เขาดูมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวกับป้อมปราการ แถมยังมีรังสีของความอาฆาตแผ่ออกมาจากตัว ผมสีม่วงของเขานั้นปลิวไสวเบา ๆ ไปกับสายลม ลมที่ปราศจากกลิ่นเค็มของทะเล
ฉันยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นและจับจ้องไปยังเขา ซึ่งเขาก็รู้ตัว แล้วสายตาของเราก็มาประสานกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบกับเขา ทว่า...
“เจ้าคงรู้ว่าข้าเป็นใคร”
เสียงของเขาพุ่งมาทางฉันราวกับมันดังกึกก้องมาจากพื้นใต้ดิน จากที่ใดสักแห่งที่อยู่ใต้ลึกลงไป
“เจ้าได้พบกับ ‘พวกเขา’ และค้นพบความจริงเบื้องหลัง ‘โลกใบนั้น’ ”
คำพูดของเขาได้ปลุกเร้าความทรงจำของฉัน ฉันรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร “พวกเขาที่ว่า” ต้องหมายถึงโฮป เอสไฮม์ และผองเพื่อนแน่นอน
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันเคยพบพวกเขามาก่อน...”
“หัวใจของเจ้านั้นโปร่งใสให้ข้ามองทะลุได้ พวกเขาคงบอกเจ้าแล้ว ข้าคือศัตรูผู้ชั่วช้าที่ควบคุมเคออสและนำพาหายนะมาให้คนนั้น ชื่อของข้าได้อยู่ในความทรงจำของเจ้าอยู่แล้ว”
เขาหันมาหาฉันพร้อมมือขวาที่ยื่นออกมา และค่อย ๆ กำมือที่ว่างเปล่าเข้าไป มันอาจจะเป็นคาถาอะไรสักอย่าง ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก ราวกับว่าหัวใจของฉันถูกมือที่มองไม่เห็นกุมเอาไว้ หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงตึกตัก จนฉันหายใจติดขัด และแล้วก็มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ชื่อที่ถูกชุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจอย่างไม่เต็มใจ
“ไคอัส บัลลาด...!”
ชายผู้ปรารถนาจุดจบของโลก ชายผู้เป็นต้นเหตุแห่งการบิดผันกาลเวลา ชายผู้ปลดปล่อยพลังแห่งการทำลายล้างที่เรียกว่าเคออส ในบทสรุปของการต่อสู้ที่ยาวนาน 13 วัน “โลกใบนั้น” ได้ถูกทำลาย เหล่าวิญญาณของผู้คนได้มาเกิดใหม่ที่ “โลกใบนี้” โดยมีไลท์นิ่งและคนอื่น ๆ เป็นผู้นำทางให้
แต่ไคอัสปฏิเสธที่จะเกิดใหม่ เขายังคงอยู่ภพภูมิระหว่างความเป็นและความตาย และกลายเป็นผู้นำทางให้แก่เหล่าวิญญาณของผู้ตาย
...เหล่าวิญญาณของผู้ตาย
พอคิดได้อย่างนั้น ฉันก็เหมือนโดนอิฐฟาดเข้าเต็มรัก ฉันหันไปดูขบวนผู้คนที่ฉันติดสอยห้อยตามมาด้วย พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทะเล โดยไม่มีทีท่าที่จะชะลอ แม้แต่คนที่เดินจนข้อเท้าจุ่มลงไปในน้ำแล้ว ขณะที่โถมเข้าฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาเดินขบวนลงลึกไปอย่างแน่วแน่โดยไม่มีความลังเล แล้วพวกเขาก็หายเข้าไปในคลื่น ทีละคน ทีละคน จมลงสู่ความมืดมิด ด้วยกระบวนการอันราบรื่นและเงียบงัน พวกเขาถูกน้ำนั่นกลืนเข้าไป โดยไม่พูดไม่จา ไม่เหลือหลักฐานว่าพวกเขาตื่นอยู่ ฟองอากาศสักลูกก็ไม่มี ฉันไม่เห็นได้ยังไง? ไม่มีใครสักคนเลยที่ต้องหายใจ ไม่มีใครหายใจ เลยสักครั้ง ตลอดการเดินทางไกลมายังที่แห่งนี้
ผู้คนเหล่านั้นได้ผ่านการหายใจเฮือกสุดท้ายไปแล้ว แล้วฉันล่ะ? ฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้ด้วยหรือ?
ฉันไม่อยากยอมรับ แต่สติของฉันก็ยังตระหนักรับรู้ได้ดี ความตระหนกนั้นรุนแรงมากเกินกว่าที่ฉันจะรับไว้ได้ เข่าของฉันเริ่มสั่นเทิ้ม จนยืนไม่ไหวอีกแล้ว แล้วฉันก็ทรุดลง
ฉันตายไปแล้ว มิซไซล์ได้คร่าชีวิตฉัน
ความเคลือบแคลง ความสับสน เป็นราวกับคลื่นที่ทะลักเข้ามาในใจของฉัน ทำให้ใจของฉันเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า ฉันตายไปแล้ว ตายไปแล้ว ตายไปแล้ว...
โดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัว ทุกคนก็หายไป ผู้ตายทั้งหมดได้ถูกกลืนกินเข้าไปในทะเลแห่งความมืดมิด มีเพียงฉันคนเดียวที่เหลืออยู่ ฉันที่ทรุดอยู่ต่อหน้าเทพแห่งความตาย
“ผู้ตายทั้งหมดได้เลือนหายสู่ความมืดมิด จวนถึงเวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว”
ฉันถูกบดขยี้ด้วยคำพูดที่หนักแน่นจริงจังของไคอัส เขากำลังบอกให้ฉันจมหายลงไปในทะเลสีดำงั้นเหรอ? ฉันต้องลงไปในก้นบึ้งของน้ำดำ ในฐานะคนที่ตายไปแล้ว? นี่คือจุดจบของฉันงั้นเหรอ?
ฉันไม่ยอมรับ ชีวิตฉันต้องไม่จบลงแบบนี้
“...เดี๋ยวก่อน”
ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากความตาย หากนี่คือวาระสุดท้าย ก็มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะรู้ ก่อนที่ชีวิตของฉันจะต้องหายไป
“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่คะ? ทำไมฉันถึงมาเกิดใน ‘โลกใบนี้’? เพื่ออะไรคะ?”
ไคอัสไม่ตอบ และไม่มีปฏิกิริยา แต่ฉันไม่ใส่ใจ ฉันยังพูดต่อไป
“ผู้ปลดปล่อยได้กำจัดพระเจ้าใน 13 วันสุดท้าย และพวกเราก็ได้รับโลกใบใหม่ เราทั้งหมดที่เคยอาศัยอยู่ใน ‘โลกใบนั้น’ วิญญาณของพวกเราได้ถูกนำพามายังที่นี่ ‘โลกใบนี้’ นี่ควรจะเป็นโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง”
“เจ้าจะบอกว่ามันไม่ใช่งั้นรึ?”
“ฉันได้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของโลกใบนี้ บนสนามรบ เราเกลียดชังกันและกัน ฆ่าฟันกันและกัน”
“เจ้าเพียงอธิบายความเป็นมนุษย์ ความขัดแย้งนั้นอยู่ในแก่นของมนุษย์ เมื่อทวยเทพที่เคยควบคุมมนุษย์เลือนหายไป ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะต่อสู้เพื่อควบคุมกันและกัน”
“ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นจริง โลกที่มีพระเจ้าอยู่นั้นย่อมจะสงบสุขกว่า งั้นการที่มนุษย์ได้กำจัดพระเจ้าไป มันเป็นความผิดพลาดโดยสิ้นเชิงรึเปล่าคะ?”
ไม่ ไม่ ไม่นะ ฉันกำลังพูดอะไรน่ะ? ฉันได้พบโฮปและคนอื่น ๆ ฉันรู้ว่าพวกเขาได้ช่วยมนุษยชาติไว้ ฉันรู้ดี ฉันควรรู้สึกขอบคุณพวกเขาสิ ที่ช่วยนำพาวิญญาณของพวกเรามายังโลกใบนี้ แล้วทำไม...
“เจ้ากำลังจะบอกเจ้าคัดค้านสิ่งที่พวกเขาทำลงไปงั้นรึ? พวกเขาไม่ควรโค่นล้มบูนิเบลเซ่ พระเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างงั้นรึ?”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่ ฉันแค่ไม่เข้าใจ พวกเขามีเจตนาที่ดีและยิ่งใหญ่ ทว่าโลกนี้กลับมีแต่ความน่ารังเกียจ ความเศร้าโศก ฉันก็ไม่อาจสรุปได้ค่ะ”
“เจ้าก็เป็นแค่มนุษย์เหมือนกับคนอื่น ๆ”
น้ำเสียงของเขานั้นบ่งบอกถึงการเหยียดหยาม การเย้ยเยาะ
“เจ้าสิ้นหวังกับโลกที่ได้รับ และหันหลังให้กับมัน ถ้าอยู่โลกนี้แล้วมันทำให้เจ้าขุ่นเคือง ข้าแนะนำให้เจ้าสละตัวเองเข้าไปอยู่ในทะเลแห่งความตาย”
ฉันนั่งลงกับพื้น ไม่เคลื่อนไหว ขณะที่เขาผู้นั้นชี้ทางไปยังทะเลสีดำ ที่ซึ่งผู้ตายจะถูกกลืนหายเข้าไป
“วิญญาณของมนุษย์ที่สลายไปในเคออส สักวันหนึ่งก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ ได้เช่าชีวิตใหม่ไป หากเจ้าปรารถนา เจ้าก็จะได้รับอนุญาตให้พักผ่อนไปชั่วนิรันดร์ เจ้าเลือกที่จะหลับใหลในครรภ์แห่งความมืด ไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่? ดวงตาของเจ้าจะปิดลงตลอดกาล ไม่ต้องมองเห็นโลกอันน่ากลัวนี้อีกครั้ง”
“คุณกำลังบอกว่าถ้าฉันเลือกที่จะหลับลง คุณผู้เป็นเทพแห่งความตาย จะทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงเหรอคะ…?”
“ไม่ใช่ เจ้าจะได้ทำตามความปรารถนาของเจ้าเอง หากเจ้าต้องการที่จะหลับใหล เจ้าจะได้หลับจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลา เพียงเท่านั้นแหละ เจ้าได้รู้ความจริงแล้ว แต่เจ้าไม่ได้เห็นแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ที่นี่ไม่ใช่โลกซึ่งมนุษย์เป็นหุ่นเชิดของพระเจ้า มนุษย์ และเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่จะตัดสินชะตาของโลก โลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเจตจำนงค์ของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“เจตจำนงของมนุษย์...”
“ใช่ โลกที่เจ้าปฏิเสธนี้ไม่ใช่ผลลัพธ์จากแผนของพระเจ้าผู้ชั่วร้าย แต่เป็นเจตนำนงค์ของมนุษย์ และเจ้า คือหนึ่งในคนที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา”
คำพูดของเทพแห่งความตายก้องกังวานในหูของฉันราวกับฟ้าผ่า ฉันรู้สึกเหมือนถูกปลุกเร้าความกล้าขึ้นมา ความทรงจำทยอยฟื้นขึ้นมาจากขี้เถ้าในเบื้องหลังของจิตใจ ความทรงจำแห่งรอยยิ้มของผู้คนที่เคยต่อสู้ใน “โลกใบนั้น” จนถึงวาระสุดท้าย
ฉันลืมไปได้ยังไง? ทำไมฉันถึงมองไม่เห็น?... ฉันได้พบกับพวกเขามาแล้ว ฉันควรจะเข้าใจ
ฉันตัดสินใจแล้ว
ฉันจะลุกขึ้น ก้าวต่อไป
ต้องไปแล้ว ถึงเวลาไปสู่ทะเลอันมืดมิด
“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าตัดสินใจที่จะทิ้งโลกอันน่าเกลียดนี้ไปตลอดกาล”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว”
ฉันจ้องมองทะเลนั้นอยู่อีกครู่หนึ่ง
“ฉันกำลังจะไปที่นั่น เพื่อที่ฉันจะได้กลับไปได้ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งไปที่แห่งไหนอย่างที่คุณว่า ฉันอาจจะตายไปแล้ว แต่ถ้าฉันปรารถนาที่จะมีชีวิตอีกครั้ง ฉันก็จะได้เกิดใหม่เป็นคนอีกคนหนึ่ง”
“แต่แล้ว สภาพของโลกก็จะทำให้เจ้าตกสู่ความสิ้นหวังอีกครั้ง”
“ถ้าโลกนี้มันน่าเกลียดนัก ฉันก็จะเปลี่ยนแปลงมัน”
นี่คือสิ่งพวกเขาสอนฉันมา
ลำพังแต่ละคน เราอาจจะเล็กน้อยจนทำอะไรไม่ได้ แต่เราร่วมกัน ย่อมจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
ฉันอาจเป็นแค่คนตัวเล็กและบอบบาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลย ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยวิถีทางของฉันเอง ฉันเชื่อแบบนั้น ดังนั้นฉันจึงมาที่สนามรบ ฉันอยากแสดงให้ทั้งโลกเห็นความจริง ดึงความสนใจมาสู่ความจริงอันโหดร้ายที่พวกเราอาศัยอยู่ ฉันอยากจะเพิ่มจำนวนเสียงเรียกร้องให้ยุติสงคราม ฉันอยากจะช่วยนำพาโลกนี้ไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
แต่ฉันถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยสิ่งเลวร้ายที่ฉันเห็นในสนามรบ ฉันถูกบดขยี้จากความหนักหน่วงของความเป็นจริง ทำให้ฉันทรุด ยอมแพ้ให้อนาคต เสียศรัทธาต่อโลก
“ขอบคุณค่ะ ฉันดีใจที่ได้คุยกับคุณในท้ายที่สุด ขอบคุณคุณมาก ฉันรู้แล้วว่าตัวเองหลงผิดอย่างไร”
แล้วฉันก็ลุกขึ้นมา
ไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัวอีกต่อไป ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย เมื่อฉันเกิดใหม่อีกครั้ง คราวหน้า ฉันจะไม่ยอมละทิ้งศรัทธา ฉันจะจับจ้องไปยังอนาคต มุ่งหน้าไปตามทางทีละก้าว ไม่ละทิ้งความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ฉันสัญญากับตัวเองแบบนั้นในขณะที่ฉันไปถึงคลื่นและกำลังจะลุยลงไปในน้ำสีดำ
“เธออยากจะตายจริง ๆ รึ?”
ฉันได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจำนวนมาก ไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียง
“ชีวิตของเธอยังไม่ร่วงโรยไป”
มันคือเสียงน่าขนลุกของหญิงสาว ฉันถูกล้อมไปด้วยเสียงนี้ เสียงที่ล่องลอยมาจากทั้งที่ใกล้และที่ไกล
“เธอจะไปที่ไหนก็ได้”
“เจตจำนงของเธอจะแสดงหนทางเอง”
ฉันรู้จักเสียงนี้ ผู้หญิงเหล่านี้
แล้วไคอัส บัลลาด ผู้พิทักษ์หญิงสาวเหล่านี้ ก็ได้กล่าวกับฉัน
“จะเป็น จะตาย... เจ้าต้องตัดสินใจเลือก”
“เดี๋ยวสิ ฉันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ...”
“ผู้ตายจะหายไปอย่างเงียบงัน ไม่มีคนตายที่ไหนพูดมากอย่างเจ้าหรอก”
“ถ้างั้น ฉันก็ยัง...”
“จะเลือกทางไหน? เจ้าตัดสินใจเอง”
ฉันเลือกที่จะมีชีวิต
เทพแห่งความตายยิ้ม และมันก็เป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน
แล้วเสียงอันมากมายของยูลได้กระซิบเข้ามาในหูของฉัน
“บอกตัวฉันด้วย... ขอให้มีความสุขกับโนเอล”
ฉันรู้สึกใจเต้นอีกครั้ง ร่างกายของฉันเบาสบาย แล้วพื้นก็ตกลงไปจากเท้าของฉัน ท้องฟ้าสีดำนั้นได้ดึงฉันเข้าไป ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังพุ่งขึ้นไปยังความมืด
ใครบางคนนำทางฉันอยู่ ฉันมองไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขานุ่มและมีขนปุกปุยสีขาว ไม่ว่าเขาเป็นใคร เห็นว่าเขามีแสงสีชมพูด้วย ราวกับเป็นโคมไฟนำทาง ป้ายทางภายในความมืดมิด
ฉันบินขึ้นไป และรู้สึกเหมือนถูกนำพาไปด้วยมืออันอบอุ่น ท้ายที่สุด แสงสว่างเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าฉัน ราวกับเป็นรุ่งอรุณของฤดูร้อน เมื่อจ้องมองไป แสงสว่างและความร้อนนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ... อ่า นั่นคือแสงของดวงตะวันแน่
ตอนนี้มันสว่างจ้าซะจนแทบลืมตาไม่ได้ แล้วเจ้าตัวขาวที่พาฉันมาที่นี่ก็เริ่มจากไป ไกลห่างไปเรื่อย ๆ ฉันรู้สึกกลัวและเปล่าเปลี่ยว แต่แล้วเสียงที่เหมือนเด็ก ๆ นั้นก็พูดปลอบฉันมา
“ไม่เป็นไรหรอก เธอกลับบ้านได้แล้ว คุโปะ”
แล้วฉันก็ลืมตาขึ้น
--------------------------------------------------------
ย่อสั้น + คอมเมนต์ตามใจตัวเอง
นิยายตอนนี้เป็นตอนที่ผมชอบที่สุดตั้งแต่อ่านมา เนื้อหาทั้งตอนเป็นเรื่องราวใหม่หมด ไม่มีการย้อนอดีตถึงภาคก่อน ๆ และเนื้อหาก็สื่อถึงแนวคิดในการใช้ชีวิต แบบที่คุณวาตานาเบะอยากจะสื่อกับเราได้ดี
ในตอนนี้เป็นเรื่องราวของแอเด้ นักข่าวสาวที่ไปทำข่าวในประเทศที่กำลังมีสงครามการเมือง แต่เธอโดนลูกหลงจากมิซไซล์เข้าไป รู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่มืดสลัว ๆ ...อยู่ท่ามกลางขบวนผู้คนแปลก ๆ ที่ชวนคุยก็ไม่ตอบ แถมกำลังมุ่งหน้าไปไหนไม่รู้ พอเธอเดินตามพวกเขาไปขึ้นเขาลงเขา ก็เห็นว่าขบวนดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าเดินลงไปในแม่น้ำแห่งความตาย ซึ่งเธอที่ทำใจไม่ได้ ก็นั่งจุ้มปุ้กริมหาดไม่ยอมลงไปด้วย เธอตัดพ้อกับไคอัสที่ยืนเฝ้าขบวนคนตายว่าโลกนี้มันบัดซบโหดร้าย มนุษย์มีแต่ความน่ารังเกียจ คิดที่จะฆ่าฟันกันและกัน
ไคอัสบอกว่าธรรมชาติของมนุษย์มันมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว พอไม่มีพระเจ้าปกครอง มนุษย์ก็ย่อมฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงการปกครองกันเป็นธรรมดา ซึ่งถ้าแอเด้เห็นว่าโลกนี้มันน่ารังเกียจ ไม่อยากอยู่นัก จะดับสูญ (ไม่ต้องเกิดใหม่) ไปจนถึงจุดสิ้นสุดกาลเวลาเลยก็ได้ เขาจัดให้ได้
แต่แล้วไคอัสก็แขวะนิดหนึ่งว่า ในโลกที่ไม่มีพระเจ้านี้ สิ่งต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นตามเจตจำนงของมนุษย์ ที่ฆ่าฟันกัน ที่คอร์รัปชั่นกัน ที่ขัดแย้งกัน ก็คือเจตจำนงของมนุษย์ทั้งนั้น แล้วเธอและมนุษย์ทุกคน ก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิด หรือยอมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา โดยไม่ขัดขวาง ไม่พยายามที่จะคัดค้านมัน ผิดด้วยกันทั้งหมดทุกคนนั่นแหละ
แอเด้ได้ยินแบบนี้เข้าไป รู้สึกไม่ต่างจากโดนไคอัสกระโดดถีบขาคู่เข้าเต็มหน้า แอเด้เลยระลึกได้ว่า ในเมื่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกมันเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเจตจำนงของมนุษย์ได้เช่นกัน ดังนั้น เธอจะยอมแพ้ จะปล่อยโลกไว้ แล้วก็ชิงดับสูญหนีไปสบายคนเดียวไม่ได้ เมื่อตัวเองมีส่วนสร้างโลกที่มันเกิดปัญหาไว้ ก็ต้องมาช่วยแก้ไขและเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น ถึงจะตัวเล็กและอ่อนแอ แต่ถ้ารู้จักใช้สมองคิด ก็ย่อมสามารถค้นหาหนทางเปลี่ยนแปลงโลกได้ทีละเล็กละน้อย ยิ่งถ้ารู้จักรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์แบบเดียวกันให้ได้มาก ก็จะยิ่งทำอะไรได้มากขึ้น และที่สำคัญ การที่เธอเป็นนักข่าว มันมีวิธีร้อยแปดพันเก้า ที่จะทำให้เธอเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้อยู่แล้ว
ขณะที่แอเด้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะยอมไปเกิดใหม่ และคราวนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นให้ได้ ยูลก็มาเตือนว่าแอเด้ยังไม่ตาย ไคอัสก็แขวะซ้ำอีกรอบว่าคนที่ตายไปแล้วเขาไม่พูดมากเหมือนแอเด้หรอก จากนั้นไคอัสก็ส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้ แล้วให้ม็อคพาแอเด้ที่เพียงวูบไป กลับไปยังภพภูมิของคนเป็นอีกครั้ง
ผมชอบวิธีการชี้นำของไคอัสนะ บุคลิกเฮียแกเป็นคนพูดดี ๆ ไม่เป็นอยู่แล้ว เลยต้องแขวะนิดแขวะหน่อยพอให้กระตุ้นอีกฝ่ายได้ พออีกฝ่ายคิดตามได้ แถมเข้าใจเจตนาเฮียแกดี เลยมียิ้มหล่อ ๆ ส่งท้ายให้ด้วย โอวว...
Post a Comment