Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 8 โฮป เอสไฮม์


แอเด้จำได้ว่าโฮปได้พูดกับเธอไว้ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ว่า “กลับมาหาผมอีกครั้ง เมื่อคุณพบความจริงเบื้องหลังโลกใบนั้น แล้วผมจะบอกทุกอย่างที่ผมรู้ให้คุณฟัง” นั่นคือจุดเริ่มต้นการเดินทางของแอเด้ การค้นหาความทรงจำของโลกที่ไม่มีอยู่แล้ว เธอได้พบพานกับเพื่อนของเขา และระหว่างนั้นความทรงจำที่ลืมเลือนไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ฟื้นฟูกลับมา

แอเด้ : ย้อนกลับไปในโลกใบนั้น ชื่อของฉันก็คือแอเด้ คุณและฉัน เรามาจากยุคเดียวกัน และฉันก็ถูกจับเข้าสู่การ Purge

แอเด้เริ่มต้นแนะนำตัวตามมารยาทในการมาเยี่ยมเขาเป็นครั้งที่สอง และโฮป เอสไฮม์ ก็ยิ้มแบบเรียบ ๆ กลับมา

REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 8

โฮป เอสไฮม์

ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการสัมภาษณ์ครั้งที่สอง แอเด้ก็ทำการสรุปทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้มาจากการสัมภาษณ์ – การ Purge การต่อสู้เพื่อโคคูน การเดินทางซ่อมแซมกาลเวลาของเซร่าห์และโนเอล และเรื่องอื่นๆ แอเด้ทำแบบนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเธอได้ค้นพบความจริงเบื้องหลังโลกใบนั้นอย่างที่โฮปบอกไว้แล้ว เธอกล่าวสรุปเรื่องราวที่แสนยาว พร้อมกับโฮปที่พยักหน้า ด้วยความคิดอันลุ่มลึก

โฮป : ผมประทับใจกับการค้นคว้าของคุณ มีบางเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนอยู่ด้วยซ้ำ แสดงว่าคุณได้ไปพบทุกคนมาจริง

แอเด้สงสัยว่านั่นหมายความว่าเธอผ่านทดสอบใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันตัวเธอเองยังไม่อยากยอมรับคำชมนั้นด้วยซ้ำ

แอเด้ : ไม่ทุกคนหรอกค่ะ ท้ายที่สุด ฉันก็ยังไม่ได้พบคนที่สำคัญที่สุด

โฮป : เข้าใจละ คุณยังไม่ได้พบไลท์สินะ...

น้ำเสียงของเขานั้นบ่งบอกความผิดหวังออกมาเป็นนัย แอเด้สงสัยว่าโฮปผิดหวังในตัวเธอที่ท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถไปพบไลท์นิ่งได้ หรือตัวโฮปเองไม่รู้ว่าไลท์นิ่งอยู่ที่ไหน และหวังว่าแอเด้จะสามารถตามหาให้ได้ อย่างไรซะ เธอก็ไม่มีเวลาที่จะขบคิดหาคำตอบนี้

โฮป : ขอให้ผมได้ทำตามสัญญา คุณรู้ความจริงเบื้องหลังโลกใบนั้นแล้ว ฉะนั้นผมจะเล่าทุกอย่างที่ผมรู้ให้คุณฟัง

โฮปนำแฟ้มเอกสารอย่างหนามาวางกองไว้บนโต๊ะ บนปกนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากชื่อเรื่อง ที่สั้นและตรงประเด็นว่า “บันทึกเหตุการณ์จากยุคสมัยแห่งความโกลาหล”

โฮป : นี่คือความทรงจำของผม

สภาเรอเนสซอง

แอเด้และโฮปเริ่มพูดคุยกันถึงอรุณของยุคสมัยแห่งความโกลาหล

โฮป : ผมคาดว่าคุณคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเซร่าห์และโนเอลเอาชนะไคอัส บัลลาดได้แล้ว

แอเด้ : โลกนั้นท่วมท้นไปด้วยเคออสที่หลั่งไหลออกมาตามแผนของไคอัส เซร่าห์เสียชีวิต นั่นเป็นจุดเริ่มต้นยุคแห่งการล่มสลาย ท้ายที่สุดโลกใบนั้นก็เริ่มจมสู่มหาสมุทรเคออส สำหรับมนุษย์แล้ว วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดก็พังทลาย นี่เป็นสิ่งที่ฉันรวบรวมมาจากทุกคนค่ะ

โฮป : ใช่แล้ว มนุษย์สูญเสียความสามารถในการเติบโต และไม่สามารถแก่ตายได้ ในทางกลับกัน ชีวิตใหม่ หรือพวกเด็ก ๆ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เช่นกัน ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเกิดขึ้นฉับพลันหลังจากที่เคออสบุกเข้ามา

แอเด้ : คุณคงไม่ได้ค้นพบเรื่องนี้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีแน่

โฮป : ไม่หรอก ทันทีที่การต่อสู้จบสิ้นลง ผมระดมนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดในอเคเดเมียให้ช่วยกันตรวจสอบ ในช่วงนั้น ผู้คนทั้งหมดได้อพยพไปอาศัยอยู่ข้างในโคคูนที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่แม้ว่าในตอนนั้นทุกคนจะปลอดภัย เราก็จำเป็นต้องวางแผนระยะยาวออกมาให้ได้ ดังนั้นเราจึงรีบวิเคราะห์ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลก เคออสที่หลั่งไหลออกมาไม่สิ้นสุดนั้นจะส่งผลยังไงต่อโลกและร่างกายมนุษย์ เราจะให้เปิดเผยเรื่องการค้นพบของพวกเราไม่ได้ จนกว่าเราจะรู้แจ้งว่าความเป็นจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นอย่างไร

แอเด้ : ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบรับยังไงบ้างคะ? ผมคาดว่าบางคนอาจดีใจที่ไม่ต้องแก่ขึ้น แต่ผมได้ยินว่าแม้ร่างกายจะไม่แก่ขึ้น แต่ก็ยังเสียชีวิตจากการป่วยไข้ หรืออุบัติเหตุได้ และจากที่ไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่ จำนวนประชากรจึงมีแต่ลดลง แน่เลยว่าในระยะยาวมนุษยชาติจะ....

โฮป : เผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ เป็นบทสรุปที่ชัดเจน เข้าใจได้ไม่ยากเลย

แอเด้ : คนส่วนใหญ่คงสิ้นหวังเมื่อได้รู้ความจริงแน่ใช่มั้ยคะ?

โฮป : ใช่ เรารู้ว่าทันทีที่เราประกาศไป ผู้คนก็จะสนใจอะไรทั้งนั้น สถิติอาชญากรรมและจำนวนการฆ่าตัวตายคงพุ่งกระฉูด การจลาจลจะเกิดขึ้นในทุก ๆ ที่... เราคาดหากเปิดเผยเรื่องที่เราค้นพบไปคงเกิดหายนะขึ้นแน่ ดังนั้นเราจึงหามาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

แอเด้ : …อย่าบอกนะคะว่าคุณปิดบังความจริงที่ว่าจะไม่มีใครแก่ขึ้นเอาไว้?

โฮป : ไม่หรอก ไม่มีทาง ต่อให้เราปิดบังความจริงไว้ ผ่านไปไม่กี่ปีทุกคนก็คงรู้แจ้งกันเองว่าไม่มีใครแก่ขึ้น เราเลยเปิดเผยความจริงออกไป ความจริงทั้งหมด ไม่มีหมกเม็ดแม้แต่น้อย แต่เราก็เติม “ความหวัง” ลงไป และความหวังนั้นก็คือสภาเรอเนสซอง

แอเด้ : เป็นองค์กรที่เกิดมาจากอเคเดเมียสินะคะ? คุณเป็นผู้นำ สโนวกับโนเอลก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน จากที่ฉันรู้มา มันตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้คนจากการคุกคามของเคออส และเป็นองค์กรที่ทำงานเหมือนเป็นรัฐบาล แล้วความหวังที่คุณว่ามันหมายความว่ายังไงคะ?

โฮป : ภารกิจของสภาเรอเนสซอง เหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือการช่วยมนุษยชาติจากความสิ้นหวัง ตอนที่เราเปิดเผยไปว่ามนุษยชาติจะไม่แก่ขึ้นอีกแล้ว เราก็ประกาศการก่อตั้งสภาเรอเนสซองไปพร้อมกัน ผมได้กล่าวปราศรัย พยายามให้มนุษย์ได้รับการพิพากษาที่ดีกว่านี้ “เมื่อไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ท้ายที่สุดมนุษย์ชาติก็ล่มสลาย ดังนั้นผมจึงอยากขอความร่วมมือจากพวกคุณ เพื่อที่เราจะก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน เมื่อเรายืนหยัดต่อสู้กับการรุกรานของเคออส วิทยาศาสตร์ก็จะเปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงของเคออสให้แก่พวกเรา เราจะค้นพบหนทางในการนำเด็กลับคืนสู่โลกนี้อีกครั้ง วันที่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นจะต้องมาถึง ท้ายที่สุดนี้สภาเรอเนสซองจะทำทุกวิถีทาง” ก็เป็นแบบนี้แหละ โชคดีที่ผู้คนก็ไม่ได้กระอักกระอ่วนกับมันนัก พอข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนไม่แก่ขึ้นอีกแล้วเปิดเผยออกไป แต่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเกิดผลกระทบทางลบต่อสังคม

แอเด้ : อืม คุณใช้ชีวิตสมดั่งชื่อของคุณ คุณมอบความหวังให้กับผู้คน

แอเด้ตั้งใจพูดเล่น ๆ แต่โฮปกลับตอบรับด้วยท่าทางที่เธอต้องแปลกใจ เขาเบ้ปากยิ้มแหยง ๆ

โฮป : จะเรียกว่าผมเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาก็ได้ ทำให้พวกเขาละสายตาจากความสิ้นหวัง ตามความเป็นจริงแล้ว การวิจัยเคออสและร่างกายที่ไม่แก่ขึ้นยังอยู่แค่ขั้นพื้นฐาน เราไม่รู้สักนิดเราจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงและเมื่อใด ผมไม่เห็นความหวังแม้แต่น้อย แต่ผมแสร้งว่ามันมีความหวังอยู่ชัด ผมก็แค่มอบผ้าพันแผลให้พวกเขาไป

แอเด้ : ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวต่อเคออส คุณก็ต้องปกป้องพวกเขาจากความสิ้นหวัง ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีหนทางอื่นอีกแล้วนี่คะ...

โฮป : พูดถูกนะ ผมก็บอกตัวเองอย่างนั้น หลังตั้งสภาขึ้นมาแล้ว ผมก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ผู้ประสงค์ที่จะค้นหาความจริงอีกต่อไป  ผมพบว่าตัวเองทำตัวเหมือนเป็นนักการเมืองมากกว่าแทน ทำการรอมชอม ยอมรับสิ่งเหล่านั้น แล้วช่วงนั้นเอง จู่ ๆ ฟัลซิก็ปรากฏตัวขึ้นมา

ความหวังจอมปลอม

แอเด้และโฮปแลกเปลี่ยนเรื่องของฟัลซิตามที่พวกเขารู้กันอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นทุกคนอาศัยอยู่ในโคคูนที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ในที่สุดกระทั่งก็โคคูนก็เริ่มมีอาการสึกหรอจากผลกระทบของเคออส หากปล่อยไว้เช่นนี้ ท้ายที่สุดโคคูนที่มนุษย์สร้างขึ้นก็จะหยุดทำงาน มนุษย์จะสูญเสียสถานที่เพียงแห่งเดียวที่พวกเขาจะอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย ในตอนที่ผู้คนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ฟัลซิแพนเดโมเนียมก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า มันได้ทำให้ผืนดินกลายเป็นที่ที่สามารถอาศัยอยู่ได้ มันสร้างเมือง ผลิตอาหารและทรัพยากรต่าง ๆ

โฮป : พูดอีกนัยคือ มันกำลังทำตัวเป็นแม่เลี้ยงลูกไก่ซึ่งก็คือพวกเรา มันให้รังที่พวกเราจะอยู่อย่างสุขสบาย และป้อนอาหารให้ ดั่งเสียงหวูดเรียกผู้คนที่กบดานอยู่ในโคคูนของมนุษย์ “ฟัลซิจะช่วยให้ที่พักพิงและอาหารแก่พวกเจ้า ดังนั้น เจ้าจงออกมาจากโคคูนของมนุษย์” นี่เป็นเหยื่อล่อ แบบชัดเจนเลย

แอเด้ : คุณรู้ว่ามันพยายามล่อพวกเราออกไป แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ยังย้ายกลับไปยังผืนแผ่นดิน สโนวบอกฉันไว้แบบนั้นค่ะ

โฮป : ถูกแล้ว ผมเป็นคนตัดสินใจเอง โคคูนของมนุษย์เริ่มเสื่อมสภาพเพราะผลจากเคออส และคงไม่สามารถเป็นที่อาศัยให้ผู้คนเท่าที่เรามีอยู่ได้อีกแล้ว จึงจำเป็นต้องย้ายผู้คนออกไป ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันเสี่ยงที่ฟัลซิจะทำร้ายทุกคน

แอเด้ : ตอนที่คุณผู้คนให้ย้ายจากโคคูนของมนุษย์ที่ปลอดภัย และลงไปยังผืนดินที่มีเคออสแพร่อยู่ คงมีเสียงคัดค้านน่าดู

โฮป : ครับ มีการถกเถียงและเกลี้ยกล่อมกันอยู่หลายปี ท้ายที่สุด ผมก็ประกาศออกไปว่า “หากมนุษย์ยังคงกบดานอยู่ในโคคูนของมนุษย์กันต่อไป เราจะไม่มีอนาคต เราต้องลงไปปรับปรุงผืนดินและยืนหยัดต่อสู้กับเคออส เราจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคว้าไว้ได้ แม้จะเป็นของจากฟัลซิก็ตาม เราจะไม่มีการแบ่งแยก ไม่เลือกว่าใครต้องไป ผู้คนทั้งหมดจะไปด้วยกัน ชายหญิงเท่าเทียมกัน และเพื่อพิสูจน์ ผมจะเป็นคนที่ลงไปเหยียบผืนแผ่นดิน” ผมพูดไว้ประมาณนั้น

แอเด้ : แล้วผู้คนก็ถูกชักจูง เพราะคุณแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมจะไปเป็นคนแรก

โฮป : …ตัวผมเองยังคิดนะว่ามันเป็นเรื่องตลก คำพูดที่ออกจากปากผมมันฟังดูยิ่งใหญ่ เที่ยงธรรม แต่ท้ายที่สุด ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำตัวเป็นนักการเมืองเพื่อให้ชนะใจผู้คน ผมขายความหวังจอมปลอมให้กับพวกเขา... อีกครั้ง

เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มแหยงเผยออกมาจากริมฝีปากของเขา

โฮป : ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกคนจึงลงมาสู่พื้นผิน แล้วโคคูนที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ถูกทิ้งร้างไว้... ตามหน้ากระดาษน่ะนะ

แอเด้ : ตามหน้ากระดาษ?

โฮป : กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เล็ก ๆ ยังคงอยู่บนโคคูนของมนุษย์ ผมอยากให้พวกเขาใช้พลังงานและเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ในโคคูนของมนุษย์กันอย่างเต็มที่ และหาทางสู้กับเคออส การมีอยู่ของพวกเขาเป็นความลับสุดยอด เรากลัวว่าถ้าความลับรั่วไหลออกไป ฟัลซิต้องพยายามทำอะไรกับเราแน่ เพราะฉะนั้นจึงให้นักวิทยาศาสตร์ติดต่อกับสังคมให้น้อยที่สุด ขังตัวเองอยู่ในโคคูนของมนุษย์ และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างกับการวิจัย

แอเด้ : คุณไม่ได้ร่วมทีมด้วยเหรอคะ?

โฮป : ผมยุ่งอยู่กับการรวบรวมสภาเรอเนสซอง ตอนนั้นผมเป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งภายนอกและภายใน

จากนั้นโฮปก็พูดถึงการกำกับดูแลอย่างลับ ๆ ให้กับงานวิจัยที่ทำกันในโคคูนของมนุษย์ ขณะเดียวกันเขาก็ต้องทำหน้าที่ผู้นำสภา เพื่อให้สังคมมนุษย์ยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ผู้คนได้นำข้าวของที่ฟัลซิแพนเดโมเนียมผลิตขึ้นมาใช้ ซึ่งพวกเขาก็ระมัดระวังมันให้พึ่งพิงมันมากจนเกินไป และพึงระลึกว่าตัวมนุษย์เองจะยังคงเป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุนสังคม แล้วความพยายามของพวกเขาก็เกิดผล แล้วสองเมืองก็ได้เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก นั่นคือลุคเซริโอและยูสนัน

แอเด้ : ฉันเข้าใจว่าพวกคุณได้รับความช่วยเหลือจากฟัลซิ แต่ฉันนึกภาพการออกไปบู๊ในสภาพอันโหดร้ายแล้วสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ไม่ออก แล้วเคออสรอบตัวพวกคุณล่ะ สงสัยมนุษย์ชาติคงจะแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ว่าแต่ว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนโคคูนของมนุษย์เขาเป็นยังไงกันบ้างล่ะคะ?

โฮป : พวกเขาก็พยายามกันอย่างเต็มที่ แต่มันก็ค่อนข้างลำบาก เรามีเวลาเหลือเฟือเพราะเราไม่มีทางแก่ขึ้นอีกแล้ว แต่หลังจากวิจัยไปร่วม 100 ปี เราก็ไม่ได้มีความคืบหน้าจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมาเลย

แอเด้ : 100 ปีโดยที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย... หลายคนคงรู้สึกว่ามันไร้จุดหมาย และยอมแพ้ไปนะคะ...

โฮป : แต่คนที่ยังอยู่ก็ย่อมรู้ถึงความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญ และยิ่งรู้สึกยึดมั่นในงานของพวกเขา เพราะพวกเขา งานวิจัยถึงยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่แล้วในที่สุด เราก็ค้นพบครั้งใหญ่ คุณเคยได้ยินเรื่อง เทคโนโลยี AMP มาก่อนมั้ย?

แอเด้ : ขอคิดก่อนนะคะ... มันเป็นของทั่ว ๆ ไปในสมัยโคคูน หลักการควบคุมปฏิสสาร (Antimatter Manipulation Principle) ด้วยหลักการนี้คุณจะสามารถจำลองเวทมนต์ เบี่ยงเบนกฎแรงโน้มถ่วง ทำหลายสิ่งหลายอย่างได้

โฮป : ใช่แล้ว เราค้นพบว่าเราสามารถควบคุมเคออสด้วยเทคโนโลยีนี้ ถ้าได้ผล โลกก็จะไม่ถูกเคออสคุกคามอีก เราพบความเป็นไปได้ที่จะหยุดยั้งความพินาศของโลก หลังจากที่ยุคแห่งความโกลาหลเริ่มต้นมากว่า 300 ปี ในที่สุด... ในที่สุดเราก็สามารถค้นพบความหวังที่จริง

แอเด้คิดว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของโฮปในตอนนั้น เขาเป็นผู้นำของประชาชน ทว่าจนถึงตอนนั้นเขาโกหกประชาชนมาตลอด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ขัดกับความตั้งใจของเขา เขาไม่เห็นความหวังในอนาคตที่รอคอยมนุษยชาติอยู่ แต่เขาแสร้งทำว่ายังมีหวัง แอเด้สงสัยว่าชายผู้นี้ซึ่งพยายามป้องกันมนุษย์ไม่ให้ตกสู่ความสิ้นหวัง ผู้ที่ต้องโกหกมาตลอด เธอสงสัยว่าเขาจะมีชีวิตโดยแบกรับความรู้สึกผิดมาตลอด 300 ปี ต่อให้เขามีเหตุผลนานัปการทั้งหมดบนโลกนี้ก็ตาม หากเรื่องราวเป็นแบบนั้น ตอนที่โฮปเห็นความเป็นไปได้ที่จะป้องกันจุดจบของโลกด้วยการใช้เทคโนโลยีในการควบคุมเคออส เมื่อเขาได้เห็นความหวังอันสุจริตแท้จริง เขาคงรู้สึกว่าตนได้รับการปลดปล่อยแล้ว

แต่แอเด้นั้นรู้ตอนจบของเรื่องอยู่แล้ว เธอได้รู้จากการสัมภาษณ์มาจนถึงตอนนี้ ว่าการวิจัยนั้นไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์ ความหวังที่โฮปปรารถนานั้น เป็นเพียงภาพมายาที่ไม่มีวันเป็นจริง

มายาภาพสีกุหลาบ

แอเด้ : เทคโนโลยีในการควบคุมเคออสถูกวิจัยไปได้ด้วยดี แล้วทำไมการวิจัยถึงไม่สำเร็จล่ะคะ? มันเกิดอะไรขึ้น? งานวิจัยล้มเลิกไปเพราะการที่คุณหายตัวไปรึเปล่า? อย่างที่เขาว่ากันว่าคุณหายตัวไปอย่างลึกลับ?

โฮป : มันเกิดหลังจากนั้นอีกนานเลย ตอนแรกเหล่านักวิทยาศาสตร์ในโคคูนของมนุษย์ได้หายตัวไปก่อน พวกเขาถูกทำให้หายไปทีละคน

แอเด้ : ถูกทำให้หายไป? …หมายความว่ามีใครฆ่าพวกเขาเหรอคะ?

โฮป : ไม่ครับ พวกเขาหายตัวไปตามตัวอักษรเลย ไม่เหลือใคร ข้าวของส่วนตัวของพวกเขาไม่เกี่ยว พวกเขาหายตัวไปแบบนั้น เหลือเพียงแค่คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ

“ผู้หญิงผู้มีผมสีกุหลาบมารับพวกเราไป”

“นี่คือข้อความที่นักวิทยาศาสตร์ทิ้งไว้ตอนที่พวกเขาเริ่มหายตัวไป ทีละคน”

“ผู้หญิงผู้มีผมสีกุหลาบ” ตอนแรกแอเด้คิดว่าหมายถึงเซร่าห์ ฟาร์รอน แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เพราะตอนนั้นเซร่าห์ตายไปแล้ว

ทว่ายังมีอีกคนที่มีสีผมเหมือนกับเซร่าห์ พี่สาวของเธอ

แอเด้ : ไลท์นิ่งไม่มีทางเป็นคนลักพาตัวเหล่านักวิทยาศาสตร์ไป... ใช่มั้ยคะ?

โฮป : ตอนแรกผมก็ข้องใขแบบนั้น ผมสงสัยว่าหลังจากที่หายไปนาน ไลท์นิ่งก็กลับมาพาตัวพวกเขาไป แต่ขณะเดียวกัน ผมไม่คิดว่าไลท์ตัวจริงจะลักพาตัวใครไป ไม่ว่ายังไงก็ตามผมจึงเริ่มต้นการสืบสวน พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น... แต่ก็สายไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดหายตัวไปโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว โคคูนของมนุษย์ถูกทิ้งร้าง ปราศจากชีวิตทั้งปวง

ทีมนักวิทยาศาสตร์หายตัวไป การวิจัยเพื่อควบคุมเคออสต้องหยุดลง นั่นคือช่วงที่เรื่องแปลกประหลาดได้เริ่มเกิดขึ้นกับโฮป ทั้งร่างกายและจิตใจ

โฮป : งานวิจัยซึ่งเป็นความหวังของผมหายไปกับสายหมอก ผมตกอยู่ในอาการซึมเศร้า หัวใจเจ็บปวดรวดร้าว แล้วผมเองก็เริ่มที่จะเห็นภาพหลอนเหมือนกัน

แอเด้ : ผู้หญิงผู้มีผมสีกุหลาบ ซึ่งก็คือไลท์นิ่งใช่มั้ยคะ?

โฮป : ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นแค่ภาพวูบเดียวที่ปลายสายตา พอผมพยายามค้นหาตัวตนของมัน มันก็จะหายไปในพริบตา พอผมพยายามคุยด้วย มันจะหายไปก่อนที่ผมจะได้พูด จากนั้นพอผมลืมมันไป มันก็จะโผล่มาอีกครั้ง เป็นแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีวันจบ ผมจึงตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อมัน ถึงจะเห็นผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็พยายามลืมมันไป

แอเด้ : แต่เมื่อคุณตอกย้ำตัวเองให้ไม่ต้องสนใจสิ่งใด ที่สุดแล้วคุณก็จะยิ่งติดอยู่ในวังวนของมันมากขึ้น ใช่มั้ยคะ?

โฮป : ใช่แล้วล่ะ มันย้อนเข้าตัวผมเอง ยิ่งผมพยายามไม่สนใจ ผมก็ยิ่งยึดติดมัน ความรู้สึกของผมค่อย ๆ สั่นคลอนอย่างช้า ๆ กระทั่งผมพบว่าตัวเองไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้นอกจากภาพมายา และไลท์ เพราะฉะนั้นผมจึงเริ่มหวนนึกถึงอดีตในยามฝัน แล้วมันก็บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พอเป็นแบบนั้น ภาพมายาที่ผมเห็นก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นในความฝันเช่นกัน บางครั้งมันก็คุยกับผมเหมือนกับไลท์ที่ผมเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว...

“มันเป็นแบบนี้อยู่หลายปี จนถึงจุดหนึ่งผมก็ไม่อาจแยกยะความทรงจำกับภาพมายาออกจากกันได้ เวลาที่ผมพยายามนึกถึงเรื่องของไลท์ มันยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะบอกว่านั่นเป็นความทรงจำที่ผมเคยประสบมาจริง หรือว่านั่นเป็นเพียงความฝัน เป็นประสาทหลอน”

แอเด้ : หมายความว่าความทรงจำเรื่องไลท์นิ่ง ผสมเข้ากับภาพหลอนของผมสีกุหลาบ

โฮป : ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับผมแล้วการแยกแยะความฝันกับความจริง ค่อย ๆ ยากขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้ยินเสียงของไลท์ในความฝัน พอตื่นขึ้นมาเสียงของเธอก็ยังวนเวียนอยู่ในหู สิ่งเหล่านี้ ทำให้จิตใจของผมพังทลายลง ทีละเล็ก ทีละน้อย

แอเด้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ผ่านมาทุกคนพูดถึงโฮปในแง่ของผู้ที่มากด้วยปัญญาและพรั่งพร้อมด้วยเหตุผล แต่แล้วกลับมีใครบางคนที่สามารถทำให้เขาจนตรอก ทำให้เขามองไม่เห็นเส้นแบ่งกั้นระหว่างความเป็นจริงกับจินตนาการ ฝีมือของใครกัน ใครที่ทำให้จิตใจของโฮปแตกกระเจิง จิตใจของคนที่นำทางมนุษยชาติมาจนถึงตอนนั้น ไม่เคยยอมจำนนต่อชะตากรรม? แอเด้รู้ว่าคำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว

แอเด้ : บูนิเบลเซ่ พระเจ้าแห่งแสงสว่าง คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด…

โฮป : นั่นคือวิธีการของพระเจ้า เขาอาจเป็นพระเจ้า แต่ก็ไม่มีวิธีการควบคุมจิตใจของผู้คนได้โดยตรง แต่ก็สามารถสร้างภาพลวงตาได้ เขามั่นใจว่าทุกคนที่เห็นภาพลวงตานั้นจะต้องหมกมุ่นกับการค้นหาว่าภาพลวงตานั้นหมายความว่าอะไร เหยื่อของเขาจะได้แค่คิดถึงภาพลวงตานั้น แล้วท้ายที่สุดก็จะสูญเสียวิจารณญาณไป จิตใจจะอ่อนล้าไม่รู้จะทำอย่างไร ได้เพียงยึดติดกับภาพลวงตาของพระเจ้า

แอเด้ : เข้าไล่คุณให้จนกับความสิ้นหวัง ช่วงชิงเหตุผล ควบคุมจิตใจ เป็นศัตรูที่น่าพรั่นพรึงมาก ๆ

โฮป : ผมติดกับดักของบูนิเบลเซ่ กว่าผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะตอบโต้ได้แล้ว มายาภาพสีกุหลาบที่ปรากฏต่อหน้าผม ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ไลท์ แต่เป็นบุคคลอันตรายที่โผล่มาเพื่อควบคุมจิตใจของผม ทว่าจิตใจของผมได้เสียท่าไปแล้ว ไม่มีทางขัดขืนมันได้ ผมออกจากเมืองไปโดยการชักนำของภาพมายา ถูกล่อให้เข้าไปในโคคูนของมนุษย์ซึ่งตอนนั้นถูกทิ้งร้างไว้ แล้วผมก็อยู่ที่นั่น ถูกจองจำ ไม่มีใครพบเห็นผมอีกต่อไป

แอเด้ : นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่คุณหายตัวไปอย่างลึกลับสินะคะ... แล้วทำไมบูนิเบลเซ่ถึงเลือกคุณเป็นเป้าหมาย? การมีอยู่ของคุณมันขวางหูขวางตาเขามากนักเหรอคะ?

โฮป : เขาอยากจะใช้ผม ทั้งในฐานะตัวแทนที่จะทำให้ผู้ปลดปล่อยเต้นไปตามแผนของพระเจ้า และในฐานะร่างภาชนะใหม่ของเขา

แอเด้ : ตอนนั้นใช่มั้ยคะ ที่คุณพบว่าไลท์นิ่งเป็นผู้ปลดปล่อย?

โฮป : ใช่ครับ น่าขันใช่มั้ยล่ะ ผมติดกับเพราะไลท์ตัวปลอม แล้วผมถึงรู้ว่าไลท์ตัวจริงกำลังจะกลับมา ตอนนั้นผมกลายเป็นเชลยไปเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะส่งมอบความหวังไปยังเพื่อนพ้องของผม ให้พวกเขารู้ว่าไลท์กำลังจะกลับมา

“ดังนั้น ผมจึงใช้ระบบในโคคูนของมนุษย์ ส่งข้อความให้กับสโนวและคนอื่น ๆ”

“ไลท์นิ่งจะกลับมาในฐานะผู้ปลดปล่อย แต่โปรดระวังไลท์นิ่งตัวปลอม”

“ผมอยากจะส่งข้อความรายละเอียดนอกจากนี้ ทว่าระบบสื่อสารกลับสะบั้นลงทันที วินาทีถัดมา สติของผมก็ถูกปลดทิ้งไป”

โฮปถูกหลอมขึ้นใหม่ด้วยเงื้อมมือของพระเจ้า ซึ่งใช้เวลา 169 ปี หรือ 13 ปี 13 ครั้ง ในการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นตัวหมากที่เต้นไปตามความปรารถนาของพระเจ้า เพื่อจะได้แน่ใจว่าไลท์นิ่งผู้ปลดปล่อย ที่จะตื่นขึ้นก่อนวาระสุดท้ายของโลก ก็จะได้เต้นไปตามแผนของพระเจ้าเช่นกัน ขณะเดียวกัน เคออสก็กัดกร่อนทุกสรรพสิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แล้วโลกก็กระโจนเข้าสู่หายนะ

และแล้ว วันแห่งชะตากรรมก็มาถึง

โฮป : 13 วันก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของโลก เธอได้ตื่นขึ้น

นั่นคือการกลับมาของไลท์นิ่ง

ที่มา : http://www.gamefaqs.com/boards/681990-lightning-returns-final-fantasy-xiii/69438054

ไม่มีความคิดเห็น