Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 1 โฮป เอสไฮม์
คุณ Angelina ได้แปลเรื่องราวบทนำของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- เอาไว้ ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้
REMINISCENCE -tracer of memories-
ตอนที่ 1
โฮป เอสไฮม์
“ขอบคุณที่ปลีกตัวจากคิวงานมาพบกับดิฉันในวันนี้ค่ะ” ฉันปิดการสนทนาลงด้วยการโค้งศีรษะให้อย่างจริงจัง จากนั้นฉันก็สูดลมหายใจแห่งความโล่งอกเข้าไป การสัมภาษณ์นี้เป็นประสบการณ์อันล้ำค่า ถึงจะเหนื่อยล้า แต่ก็พ่วงมาด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ไม่หรอก ขอบคุณครับ ผมเองก็สนุกที่ได้คุยกับคุณ” ความสุภาพของโฮป เอสไฮม์ ทำให้เขาดูเป็นกันเอง ระหว่างการสัมภาษณ์ เขาก็มีท่าทีผ่อนคลาย เขาปฏิบัติกับคนแปลกหน้าอย่างฉันด้วยท่าทีที่น่ารัก และตอบคำถามยาก ๆ ของฉันอย่างจริงใจ
เขาเป็นยิ่งกว่าคนมารยาทดี แม้เขาจะพูดด้วยภาษาที่นิ่มนวล แต่เขาก็มีสายตาแหลมคม มองความเป็นจริงของสังคมได้อย่างชัดแจ้ง แม้อายุยังน้อย แต่ก็มีรัศมีเปล่งปลั่ง และฉันก็รู้สึกว่าเขาได้ผ่านประสบการณ์บนโลกมาเนิ่นนาน จนไม่ยอมรับอุดมคติโลกสวยใด ๆ
หัวใจของฉันเต้นระรัวเมื่อคิดว่าฉันได้มาพบกับบุคคลที่น่าสนใจเช่นนี้ ฉันอยากจะถามเขาด้วย “คำถามประจำ” อย่างเช่นเคย อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่ายังไง “อืม.. พอจะมีเวลาอีกนิดมั้ยคะ? ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป ฉันอยากจะถามอะไรคุยอีกหน่อย ไม่ได้เป็นการสัมภาษณ์นะคะ แต่เป็นความตั้งใจของฉันเอง”
“แน่นอนครับ คุณอยากจะรู้อะไรเหรอ?”
“คุณยังจำ ‘โลกอีกใบ’ ได้มั้ยคะ?”
นี่คือหนึ่งใน “คำถามประจำ” ของฉันเอง
โฮป เอสไฮม์ หรี่ตาลง ราวกับว่าเขากำลังพยายามประเมินอะไรบางอย่าง ฉันถือว่ามันเป็นการตอบอย่างสุภาพ เวลาที่ฉันถามคำถามแปลก ๆ โดยไม่มีการเตือนก่อน ปกติแล้วคนทั่วไปก็จะงงหรือช็อค แหงล่ะว่า บางคนก็โกรธที่ฉันถามอะไรโง่ ๆ ออกมา
โฮป เอสไฮม์ เงียบไป บางทีเขาอาจจะกำลังรอคำอธิบายก่อนที่เขาจะตอบ? ฉันเลยพูดออกไป
“พูดอีกนัยหนึ่ง คุณมีความทรงจำเรื่องชาติปางก่อนบนโลกใบอื่นรึเปล่าคะ? ตัวอย่างเช่น คุณฝันซ้ำ ๆ ถึงเหตุการณ์ที่คุณคิดว่าไม่เคยเจอมาก่อน มีคำพูดที่คุณลืมไม่ลงโดยที่คุณไม่รู้ว่าเคยไปได้ยินมาจากไหน? มีใบหน้าของคนที่คุณรักทั้งที่คุณก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันในเบื้องหลังของจิตใจ... ความทรงจำของชาติปางก่อน ที่อยากพูด”
“ผมว่ามันเป็นความคิดที่น่าหลงใหลนะ แต่ว่า... คุณจะบอกว่าคุณมีความทรงจำแปลก ๆ แบบนั้นเหรอครับ?”
ฉันต้องตอบอย่างจริงใจ
“ใช่ค่ะ มีภาพที่ฉันเห็นในความฝัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ความทรงจำนอกโลกใบนี้ที่อธิบายไม่ได้” นี่คือปริศนาที่ฉันไล่ตามมายาวนาน “ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันเป็นแค่การนึกไปเอง แต่ความทรงจำนั้นกลับไม่เคยหายไปจากใจฉัน ในที่สุดฉันจึงเริ่มถามคนอื่น ๆ ว่ามีความทรงจำของ ‘โลกอีกใบ’ เหมือนกันรึเปล่า และฉันก็ต้องแปลกใจเมื่อฉันรวบรวมคนที่รู้เห็นได้เป็นจำนวนมากพอดู ”
“พยายามทุ่มเทมากเลยนะครับ ตอนนี้ ผมไม่ได้จะบั่นทอนการค้นคว้าของคุณนะครับ แต่มันก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าความทรงจำที่คุณรวบรวมมานั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด หรือความต้องการจากจิตใต้สำนึกของผู้คนเท่านั้น”
“จากที่สัมภาษณ์มา ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นค่ะ แต่ยิ่งฉันรวบรวมผู้รู้เห็นได้มากขึ้น ฉันก็ค้นพบความจริงที่ไม่อาจเพิกเฉยได้”
ฉันหยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมา ข้างในนั้นมีหลักฐานนับร้อยชิ้นบันทึกไว้ “ตอนที่ฉันเปรียบเทียบความทรงจำของผู้คน ฉันก็พบจุดร่วมหลายจุด ฉันพบผู้คนที่เกิดและเติบโตในดินแดนที่ห่างไกลกันสุดกู่ แต่กลับจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์เดียวกันได้ แล้วยังมีอีกหลายกรณีที่ผู้คนจดจำประสบการณ์แบบเดียวกันได้ ทั้งที่พวกเขาไม่รู้จักกันมาก่อน แต่จุดร่วมที่น่าตะลึงที่สุดก็คือคำ ไม่มีใครจำได้ว่าคำเหล่านั้นหมายถึงอะไร แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้คนกลับจำมันได้ ตัวอย่างเช่น...”
ฉันเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา และเริ่มอ่าน
“โคคูน ฟัลซิ แกรนพัลส์ บูนิเบลเซ่”
แล้วตาของโฮป เอสไฮม์ก็เปล่งประกายขึ้น
“ไม่มีร่องรอยว่าคนเหล่านี้เคยพบกันและกันมาก่อน แต่พวกเขากลับมีประสบการณ์เดียวกัน และอธิบายความทรงจำของพวกเขาด้วยศัพท์เฉพาะที่เหมือนกัน พวกเขาเล่าให้ฟังว่านานมาแล้ว มนุษย์ได้ละทิ้งผืนดินและขึ้นไปอาศัยอยู่บนฟ้า มีดินแดนลอยฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า ‘โคคูน’ มนุษย์รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในโคคูน และหวาดกลัวต่อดินแดนด้านนอก ท้องฟ้าคือสวรรค์ ผืนดินคือนรก... เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกเล่าซ้ำให้ฉันฟังหลายต่อหลายครั้ง หรือว่าหัวใจของผู้คนซึ่งมีความทรงจำร่วมกันเหล่านี้เชื่อมถึงกัน? หรือคุณคิดว่าทั้งหมดนี้คือความทรงจำในชาติปางก่อนที่พวกเขาได้พบเจอมาร่วมกันในโลกอีกใบ?”
“คุณก็เลยมาพาผม... คุณอยากรู้ว่าผมมีความทรงจำเรื่องโคคูน ของโลกอีกใบอยู่รึเปล่าสินะ”
“ที่จริงก็มากกว่านั้นค่ะ ตอนที่ฉันสัมภาษณ์ผู้คนมากมาย ชื่อของคุณได้ถูกเอ่ยถึงหลายครั้ง”
“ชื่อของผม?”
“ตัวอย่างเช่น โฮปได้ชี้นำผู้คนและช่วยเหลือพวกเรา โฮปคือผู้ค้ำจุนโคคูน ผู้คนนับร้อยจดจำผู้นำของพวกเขาได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อ ‘โฮป’ ดังนั้นฉันจึงมาคุยกับคุณในวันนี้ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันได้ฟังเรื่องราวจากคุณ ฉันจะค้นพบกุญแจสำคัญของปริศนานี้ได้”
โฮป เอสไฮม์หลับตาลงและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เขาพยายามจะผ่อนคลายความเครียด? หรือว่าเขาพึ่งได้ข้อสรุป? จากนั้นสักพัก เขาก็พูดออกมา
“ช่วยเล่าเรื่องความทรงจำของคุณ ให้พบฟังด้วยสิครับ”
ฉันตอบไปอย่างรวดเร็ว ฉันพูดถึงความฝันที่ฉันเห็นซ้ำหลายต่อหลายครั้งนับแต่จำความได้
“ฉันถูกไล่ออกจากบ้านเกิด บังคับให้ไปขึ้นรถไฟ ฉันพยายามจะหนี แล้วก็หลบหนีข้ามทะเลสาบเยือกแข็งไป... ทว่ามันไม่ได้เย็น แทนที่จะเป็นน้ำแข็ง ทะเลสาบนั้นกลับแข็งตัวเป็นคริสตัล มันเป็นฝีมือของฟัลซิ ฉันจำได้เท่านี้แหละค่ะ... บางครั้งฉันก็ฝันว่าตัวเองกำไมโครโฟนแล้วก็รายงานอะไรบางอย่างผ่านกล้อง และจากที่ฉันเคยสัมภาษณ์มา ก็มีคนหนึ่งจำได้ว่าเคยเห็นฉันรายงานข่าวออกทีวี... ความทรงจำเหล่านี้มันหมายความว่ายังไงล่ะคะ? มันเกี่ยวข้องยังไงกับพวกเรา? ฉันต้องรู้ให้ได้”
“...เข้าใจล่ะ”
“ฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาลืมตาแล้ว นัยน์ตานั้นจับจ้องมาที่ฉัน”
“ผมจะเล่าความทรงจำของผมให้ฟัง... ตอนนั้น มนุษย์ได้อาศัยอยู่บนทวีปลอยฟ้าที่เรียกว่า ‘โคคูน’ ผมเองก็เกิดและเติบโตขึ้นบนโคคูน ตอนนั้นผมอายุ 14 ปี”
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
“ชะตากรรมของพวกเราเริ่มต้นขึ้นด้วยการ Purge”
มันไม่ใช่คำที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ผู้รู้เห็นมากมายจดจำเหตุการณ์นั้นได้ด้วยความหวาดกลัวและโกรธแค้น
เขาอธิบายรายละเอียดในเรื่องราวของเขาต่อ มนุษย์นั้นรวมตัวกันอยู่ภายในโคคูน สวรรค์ประดิษฐ์ที่อยู่บนฟากฟ้า และมีชีวิตอย่างหรูหรา แต่แล้ววันอาภัพก็มาถึง รัฐบาลแห่งโคคูนที่เรียกว่า – รัฐบาลศักดิ์สิทธิ์ – มีคำสั่งให้ขับไล่ผู้คนทั้งเมือง ผู้คนหลายร้อยถูกไล่ให้ไปตาย เหตุการณ์นั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ “Purge”
โฮป เอสไฮม์มีอายุเพียง 14 ปีตอนที่ชะตากรรมชักพาเขาเข้าสู่การ Purge เขาถูกโยนเข้าสู่ชะตากรรมอันโหดร้ายอย่างไร้ความปราณี เขาเห็นแม่ตายต่อหน้าต่อตา และถูกประทับตราสาปให้เป็นลูซิ โดนรัฐบาลตามไล่ล่า จิตใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป ผมในตอนนั้นจมปลักอยู่กับความเกลียดชัง ความสิ้นหวังจากการสูญเสียแม่และการกลายเป็นลูซิ สำหรับผมแล้วมันหนักหนาเกินไป ผมหน้ามืดตามัว และพุ่งความอาฆาตแค้นไปยังเป้าหมายที่ใกล้ที่สุด ผมโทษว่าความตายของแม่เป็นความผิดของสโนวและประณามหยามเหยียดเขา ถ้าไลท์ไม่หยุดผมและดึงผมกลับมา ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมจะอยู่ที่ไหน”
เขาบอกชื่อของเพื่อนพ้องและผู้คนที่พบเจอระหว่างการหลบหนี ไลท์นิ่ง สโนว ซัสซ์ วานิลล์ แฟงก์ เซร่าห์... ฉันรู้สึกคุ้นกับบางชื่อ จำได้ว่าเคยได้ยินมาก่อนในการสัมภาษณ์ ขณะเดียวกัน บางชื่อก็เป็นของใหม่สำหรับฉัน
“ไลท์นิ่งเป็นคนยังไงเหรอคะ?”
“...เธอเป็นคนเข้มงวด แต่ก็อ่อนโยน และเพราะว่าเธอเป็นคนใจดี เธอจึงไม่ได้สปอยล์ผม แต่ได้ดูแลผมเป็นอย่างดี”
“ก็คือเธอปกป้องและชี้นำคุณ เป็นเหมือนผู้ดูแลคุณใช่มั้ยคะ?”
“ตอนแรก ผมก็พึ่งพาเธอฝ่ายเดียว ผมคิดง่าย ๆ ว่าเธอเป็นคนเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้ว เธอก็สับสนหลงทางและเจ็บปวดเหมือนกัน พอผมรู้เรื่องนี้ ผมก็ไม่อยากเป็นคนที่ถูกเธอปกป้องฝ่ายเดียว ผมอยากจะปกป้องเธอด้วยเช่นกัน ”
“คุณกลายเป็น ‘คู่หู’ ที่เผชิญหน้าความยากลำบากไปร่วมกัน”
“ใช่ครับ เราได้ช่วยค้ำจุนกันและกัน และเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย”
“คุณต่อสู้กับเทพที่ปกครองผู้คน ฟัลซิบาร์ธานเดลุส และออร์ฟาน”
“ผมประทับใจจริงที่คุณค้นคว้ามาได้มากขนาดนี้ ตอนนั้นผู้คนต่างใช้ชีวิตกันโดยไม่รู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้วผู้นำของพวกเขาเป็นอะไรกันแน่”
“ฉันได้ยินมาแล้วค่ะ หลังจากนั้น ความจริงก็ถูกเผยแพร่ออกไปหลังจากที่คุณได้กำจัดพวกมัน และปกป้องโลกไว้ได้”
“ปกป้องโลกเหรอ...” เขาพูดกับตัวเอง “เราชนะฟัลซิได้ แต่พอมองย้อนกลับไป ผมเห็นว่ามันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
“หมายความว่าคุณยังเดินทางต่อ แม้หลังจากที่ผ่านการต่อสู้กับฟัลซิไปแล้ว?”
“เราไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าต่อไป ในยุคใหม่ การต่อสู้ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น”
“เป็นการต่อสู้ที่เกี่ยวกับ ‘ผู้ปลดปล่อย’ ใช่มั้ยคะ?”
“...คุณได้ยินคำนั้นมาจากไหน?”
“ฉันได้ยินคำนั้นตอนรวบรวบผู้รู้เห็นโลกใบนั้น มีผู้คนมากมายที่จดจำคำนั้นได้ ฉันเดาว่าคำนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อโลกใบนั้น แล้วก็เลิดคิดถึงมันไม่ได้ค่ะ”
“แต่ผมไม่เคยพูดคำว่า ‘ผู้ปลดปล่อย’ ออกมาก่อน คุณเพียงนึกเอาว่าผมรู้ ในช่วงที่ฟัลซิปกครองนั้นยังไม่มีผู้ปลดปล่อย แต่พอผมพูดถึงการต่อสู้ครั้งใหม่ คุณกลับเดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของผู้ปลดปล่อย”
“ใช่ค่ะ ฉันเดาถูกใช่มั้ยล่ะคะ?”
“ไม่เชิงนะ แต่ก็ใกล้เคียงมาก ‘ผู้ปลดปล่อย’ ได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงหลายร้อยปีต่อมา ทว่าก่อนหน้านั้นมันก็มีการต่อสู้อันแสนยาวนาน โลกถูกหายนะคุกคามและเสียหายยับเยิน มันฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นการต่อสู้ที่อยู่ก้าวข้ามกาลเวลา”
ก้าวข้ามกาลเวลา
แล้วฉันก็ได้รับรู้เรื่องราวระหว่างยุคทีเรียกว่า AF (After the Fall) เมื่อการปกครองของฟัลซิสิ้นสุดลง ดินแดนโคคูนอันปลอดภัย ก็กลายเป็นที่ที่ไม่มั่นคงสำหรับมนุษย์ มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการอพยพ และชีวิตรอดให้ได้ในดินแดนอันป่าเถื่อนของแกรนพัลส์ ระหว่างที่ต่อสู้กับภัยธรรมชาติ มนุษย์ก็สามารถสร้างอารยธรรมได้ภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี
ประวัติศาสตร์ที่โฮป เอสไฮม์เล่ามา ตรงกับข้อมูลที่ฉันรวบรวมมาได้ องค์กรที่เรียกว่า “อเคเดเมีย” ได้นำพาไปสู่การฟื้นฟูสังคมมนุษย์ ผู้รู้เห็นมากมายทำให้ฉันรู้ถึงบทบาทที่อเคเดเมียมีต่อประวัติศาสตร์ อย่างเช่นการก่อสร้างมหานครขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าโฮปจะเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับรายงานทั้งหมดที่ฉันได้ยินมาจนถึงตอนนี้
“เหมือนกับได้ฟังประวัติศาสตร์อันลี้ลับของมนุษย์เลยนะคะ...”
“มันเป็นช่วงเวลาแห่งความพยายาม โดยเฉพาะกับคนที่คุ้นเคยกับชีวิตอันปลอดภัย ภายในสภาพแวดล้อมปิดของโคคูน”
“เหนือสิ่งอื่นใด ไลท์นิ่งก็ได้หายตัวไป คุณคงรู้สึกเสียขวัญแย่ที่สูญเสียผู้ค้ำจุนไป”
“ในตอนนั้นความทรงจำของพวกเราถูกบิดเบือนไป เราเชื่อว่าไลท์นิ่งตายไปเป็นคริสตัลและปกป้องโคคูนไว้ ทว่าเซร่าห์ก็พบความจริง วินาทีที่ผมได้ยินว่าไลท์นิ่งยังมีชีวิตอยู่ ผมมั่นใจ ผมเชื่อว่าผมจะได้เจอเธออีกครั้ง ผมเพียงต้องก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะถึงตอนนั้น ผมไม่มีอะไรต้องกังขาอีกต่อไป”
“ต้องขอบคุณสายสัมพันธ์อันเข้มแข็งระหว่างพวกพ้องที่อดทนฟันฝ่าการเดินทางอันโหดร้ายมาด้วยกัน... ฉันเข้าใจถูกมั้ยคะ?”
“มันก็ต่างไปหน่อยนะ ตัวอย่างเช่น โนเอลกับผมต่างก็เกิดในคนละยุคกัน และเติบโตภายใต้สภาพสังคมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อดีตของเราไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย แต่ผมกลับเห็นใจเขาในทันที นั่นเป็นเพราะเขาและผมต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน เราทั้งสองต่างทำในสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้เพื่ออนาคตที่ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข”
“ขณะที่เซร่าห์และโนเอลติดพันอยู่กับการต่อสู้กับไคอัส บัลลาด และโหร ‘ยูล’ คุณก็นำอเคเดเมีย และเตรียมรับมือกับหายนะที่จะเกิดขึ้น คุณเตรียมรับมือกับความพินาศของโคคูนและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับแผ่นดินเบื้องล่าง โดยการสร้างโคคูนเทียมขึ้นมาโครงการช่วยเหลือมนุษยชาตินี้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี แต่การชี้นำอันชาญชลาดของคุณก็ทำให้มันประสบความสำเร็จ”
“โครงการนี้เป็นไปได้ก็เพราะความร่วมมือ ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของทีมงานจำนวนมหาศาลตลอดหลายช่วงยุคสมัย ผมเพียงกำกับตอนเริ่มและตอนจบเท่านั้น... ใช่แล้ว มันสิ้นสุดลงในปี AF500 เซร่าห์และโนเอลได้พิชิตไคอัส ส่วนโคคูนใหม่ก็ถูกปล่อยขึ้นฟ้า ทว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความล่มสลาย”
“เป็นเพราะ ‘เคออส’ รึเปล่าคะ? ในการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผู้คนหลายคนพุดถึงเคออส การที่มันคุกคามโลกและไม่มีทางหยุดมันได้ ฟังแล้วเหมือนว่าเคออสคือศัตรูที่เป็นภยันตรายต่อโลก”
“ใช่ครับ เราต่อสู้กับเคออสที่คุกคามอย่างต่อเนื่อง และในฉากสุดท้ายของการต่อสู้ เรื่องราวอันเป็นการยุติ ‘โลกใบนั้น’ ก็เริ่มต้นขึ้น เรื่องราวบทสุดท้ายของโลกใบนั้น... ผู้ปลดปล่อย – เรื่องราวของไลท์นิ่ง”
ในตอนนั้น ฉันไม่มีคำพูดใด ๆ ตัวตนของผู้ปลดปล่อย – ความจริงที่ทำให้ฉันหนักใจมาตลอดได้ถูกเปิดเผยต่อฉันอย่างฉับพลัน ฉันควบคุมตัวเองไม่ให้ลนและถามออกไป “ช่วยเล่าให้ฟังอีกสิคะ...”
แต่โฮป เอสไฮม์ ยิ้มและส่ายหน้า “ผมเล่าให้ฟังได้เพียงเท่านี้ ถ้าคุณอยากฟังเรื่องราวของผู้ปลดปล่อย คุณต้องฟังจากไลท์เอง”
“แต่ว่าฉัน...”
แต่ฉันมาถึงขั้นนี้แล้ว เกือบจะจับปริศนาที่ดิ้นรนไล่ตามมาตลอดได้แล้ว แต่มันก็หนีไปได้ในวินาทีสุดท้าย
“อย่างน้อยก็บอกฉันเถอะค่ะว่าเธออยู่ไหน”
ฉันพยายามยืนกราน แต่เขาส่ายหน้าอีกครั้ง
“คุณควรพยายามตามหาเธอเอง หลังจากรวบรวมคำสัมภาษณ์มามากมายคุณก็มาถึงผมได้ ผมเชื่อว่าคุณเองก็จะได้พบไลท์เช่นกัน”
ดูเหมือนว่าฉันกำลังถูกทดสอบ
“ตกลงค่ะ ฉันจะพยายามตามหาเธอ แต่เพื่อความแน่ใจ ไลท์นิ่งอยู่ในโลกนี้จริง ใช่มั้ยคะ?”
“ผมรู้ว่าพวกพ้องทั้งหมดของผมอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าถ้าคุณไล่ตามไลท์นิ่ง คุณก็จะได้พบกับเธอ และเมื่อคุณได้คุยกับเพื่อนพ้องของผมและรับรู้ความจริงของ ‘โลกใบนั้น’ ช่วยกลับมาหาผมอีกครั้ง จากนั้นผมจึงจะเล่าทุกอย่างที่ผมรู้ให้กับคุณ”
เขาพูดให้ฟังด้วยรอยยิ้ม แต่จากที่เขาดูแยกจากคนอื่น ฉันรู้สึกว่าเขาซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ฉันจึงถามออกไป
“ฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่ว่า... ฉันว่าคุณเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไลท์นิ่งอยู่ที่ไหน แม้คุณจะเชื่อว่าคุณจะได้พบกับเธออีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น”
“...อาจจะใช่”
เขายังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านัยน์ตาของเขาแฝงไว้ด้วยเงาของความเปล่าเปลี่ยว
ก่อนที่เราจะแยกกัน โฮป เอสไฮม์ได้บอกเงื่อนงำให้ฉันอย่างหนึ่ง นั่นคือที่อยู่ของเพื่อนพ้องเก่า ฉันอยากไปพบเขาคนนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องพักผ่อนซะก่อน
ในตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองกำลังออกเดินทางสู่การพักร้อนสั้น ๆ ...โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มต้นการเดินทางอันแสนยาวไกล
Post a Comment