จุดร่วมระหว่าง FF Type-0 และซีรีส์ FFXIII
ทั้ง Final Fantasy Type-0 และซีรีส์ Final Fantasy XIII ต่างเป็นเกมที่แตกแขนงมาจากเนื้อหาของ Fabula Nova Crystallis อันเป็นเรื่องของเหล่าสิ่งมีชีวิตทรงอำนาจ ซึ่งออกเดินทางไปในจักรวาลเพื่อค้นหาหนทางในการเปิดประตูสู่โลกหลังความตาย เมื่อทั้งสองต่างเป็นเกมที่ถูกต่อยอดมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน และมีการนำเนื้อหาเดียวกันมาพรรณนาในรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่ความนึกคิดของผู้กำกับแต่ละคนแล้ว จักรวาลของทั้ง Final Fantasy Type-0 และซีรีส์ Final Fantasy XIII ก็ย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สอดคล้องหรือชวนให้นึกถึงกัน ในที่นี้ได้รวบรวมตัวอย่างบางส่วน มาบรรยายให้เห็นถึงจุดที่สอดคล้องกันระหว่างทั้งสองเกม ดังนี้
1. จุดจบของกาลเวลา
[FF Type-0]
จักรวาลของ FF Type-0 นั้นดำเนินไปอย่างเป็นลูป จุดสิ้นสุดกาลเวลาในแต่ละรูปถูกเรียกว่าช่วงเวลาแห่งฟินิส ซึ่งแต่ละลูปก็มีเลขปีศักราชที่เป็นจุดสิ้นสุดของกาลเวลาที่แตกต่างกันออกไป ทว่าทุกลูปนั้นมีเงื่อนไขในการไปถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลาอย่างเดียวกัน เงื่อนไขนั้นเรียกเป็นคีย์เวิร์ดสั้น ๆ ว่า “เมื่อ 9 และ 9 พบ 9” ซึ่ง 9 ที่เป็นจำนวนนับที่มากที่สุดในเลขฐาน 10 ก็หมายถึงการล่มสลายของแต่ละอาณาจักร คำว่า เมื่อ 9 และ 9 พบ 9 จึงหมายถึงการล่มสลายของอาณาจักร 3 แห่ง ซึ่งจากที่โลกโอเรียนของ FF Type-0 ประกอบด้วยอาณาจักรใหญ่ 4 อาณาจักร การล่มสลายไป 3 อาณาจักร ก็หมายความว่าเหลืออาณาจักรใหญ่ที่จะได้ครอบครองโลกทั้งใบเพียงอาณาจักรเดียว สภาพที่อำนาจทั้งหมดถูกรวมเป็นหนึ่งนั้น โลกก็จะอยู่ในความสงบสุข ไม่มีการทำสงครามระหว่างกัน นั่นคือสิ่งที่ผู้สร้างโลกไม่พึงประสงค์ และนำจุดจบมาสู่โลกนั่นเอง
[FFXIII]
ซีรีส์ FFXIII นั้น พล็อตเดิมเคยกำหนดให้จุดสิ้นสุดของกาลเวลาคือปี AF999 และให้วาลฮัลล่าตั้งอยู่ในจุดสิ้นสุดของกาลเวลาอันเป็นปี 999 นั้น สาเหตุที่ต้องเป็นปี 999 ก็เพื่อให้สอดคล้องโดยตรงกับ FF Type-0 นั่นเอง ทว่าภายหลังทีมงานก็ได้แก้พล็อตเรื่องเล็กน้อย โดยให้วาลฮัลล่าไปอยู่นอกระบบกาลเวลา ส่วนจุดสิ้นสุดของกาลเวลา ก็เลื่อนจากปี 999 มาเป็นปี 1,000 .... (เพื่ออะไรฟะ?)
2. บันทึกแห่งจักรวาล
[FF Type-0]
ในจักรวาลของ FF Type-0 มีสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์อาคาช่า (อาคาช่า มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า อักษะ ซึ่งชาวตะวันตกเรียกสิ่งเดียวกันนี้ว่า Akashic Records) คัมภีร์ดังกล่าวคือบันทึกประวัติศาสตร์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของโลกโอเรียนซ์ ถ้าพูดให้ชัดขึ้นไปอีก มันคือหนังสือที่เขียนชะตากรรมที่จะต้องเกิดขึ้นในทุกลูปเอาไว้ ซึ่งมาเซอร์บอกว่าตอนที่เขียนคัมภีร์นี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ควีนได้เป็นคนช่วยเขียนมันขึ้นมาด้วย
[FFXIII]
ส่วนในซีรีส์ FFXIII มีสิ่งที่เรียกว่าตำราพยากรณ์ (予言の書 หรือ Oracle Drive) ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของหนังสือตำรา แต่อยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ประหลาดซะมากกว่า ในอดีตกาลชาวฟาร์เซียร์ได้นำคริสตัลมาประดิษฐ์ตำราพยากรณ์ขึ้นมา และทำให้มันมีคุณสมบัติในการบันทึกภาพความทรงจำที่โหรหญิงเห็นจากนิมิต และอุปกรณ์นี้ยังสามารถฉายภาพที่บันทึกไว้ออกมาให้คนทั่วไปเห็นได้ด้วย ซึ่งโหรหญิงก็ได้บันทึกภาพนิมิตแห่งอนาคตเอาไว้มากมาย เมื่อคนในยุคถัดไปมาเปิดดูก็ต้องตกใจกับเรื่องในอนาคตที่เธอเคยบันทึกไว้
3. สถาบันทางการศึกษาของมนุษย์
[FF Type-0]
อาณาจักรรูบรัมซึ่งเป็นฝ่ายของพวกตัวเอกนั้น ได้สร้าง Peristylium ของตนเองให้มีลักษณะเป็นเหมือนโรงเรียนเวทมนต์ ซึ่งทำการฝึกสอนนักเรียนทั้งด้านการสู้รบ การใช้เวทมนต์ ให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ การวางแผนการรบ และการใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ และที่สำคัญคือการสอนให้ทุกคนบูชาคริสตัล ยึดถือเชื่อมั่น และให้ความสำคัญกับเจตจำนงของคริสตัลยิ่งกว่าชีวิต……. พูดตรง ๆ เลยคือมันโคตรงมงายว่างั้นเถอะ
[FFXIII]
ในโลกของ FFXIII นั้นภายหลังการล่มสลายของรัฐบาลศักดิ์สิทธิ์ (Sanctum) ที่มีฟัลซิปกครองอยู่เบื้องหลัง มนุษย์จำนวนมากได้มีความคิดที่จะสร้างสังคมใหม่ที่ให้มนุษย์ได้ปกครองกันเองและยืนยันด้วยพลังของตนเองอย่างแท้จริง ต่อมารัฐบาลเฉพาะกาลจึงได้จัดตั้งองค์กรอเคเดเมียขึ้นมา เพื่อวิจัยและเร่งการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และมีการผ่องถ่ายขั้วอำนาจจากรัฐบาลเฉพาะกาลมายังอเคเดเมีย ทำให้ในเวลาต่อมาอเคเดเมียจึงมีบทบาทในการปกครองมวลมนุษย์ไปด้วย....... จะเห็นว่าจุดยืนของอเคเดเมียที่ให้มนุษย์ยืนหยัดด้วยตนเองนั้นแตกต่างจากจุดยืนของโรงเรียนเวทมนต์ใน FF Type-0 อย่างสิ้นเชิง
4. การลืมความทรงจำ
[FF Type-0]
ในโลกโอเรียนซ์ อเรเซียได้วางกลไก ให้คริสตัลช่วยลบความทรงจำเรื่องผู้ที่ตายไปแล้ว ออกไปจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากอเรเซียเห็นว่าการยอมรับและลืมผู้ที่ตายไป น่าจะทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตต่อไปได้อย่างไร้ภาระค้างคาใจ และนั่นก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้หากปล่อยให้ผู้คนจดจำเรื่องความของผู้ที่ตายไปแล้วได้ เธอเกรงว่ามนุษย์จะตระหนักถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รัก มนุษย์จะหวั่นเกรงพิษภัยของการทำสงครามมากยิ่งขึ้น และเมื่อประวัติศาสตร์พร่ำสอนบทเรียนให้แก่มนุษย์มากจนถึงจุดหนึ่ง มนุษย์ที่ได้รับบทเรียนมากพอแล้วจะเลิกทำสงครามแก่กันได้ นั่นคือสิ่งที่เธอไม่ต้องการ
[FFXIII]
ในจักรวาล FFXIII นั้นมีกลไกอยู่ว่า ในยามที่คนเราตายไปแล้ว วิญญาณของเราจะแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งล่องลอยไปรวมกับเคออสในโลกหลังความตาย อีกส่วนตกค้างอยู่ในใจของผู้คนที่มีความทรงจำร่วมกับผู้ตาย ซึ่งหากวิญญาณส่วนใดส่วนหนึ่งใน 2 ส่วนนี้ดับสูญไป อีกส่วนก็จะดับสูญไปตามด้วย เช่น ถ้าเขาถูกทำให้ดับสูญไปจากเคออสในโลกหลังความตาย ส่วนที่ตกค้างอยู่ในใจของผู้คนที่มีความทรงจำร่วมกับเขาก็จะดับสูญไปด้วย ทำให้ผู้คนดังกล่าวจำผู้ที่ตายไปแล้วไม่ได้ ในทางกลับกันหากผู้คนที่มีความทรงจำร่วมกับผู้ตาย พากันลืมผู้ตายไปแล้ว ก็จะทำให้วิญญาณของผู้ตายที่อยู่ในโลกหลังความตายดับสูญไปด้วย เข้าทำนองว่า ที่เขายังมีตัวตนอยู่ก็เพราะเรายังจดจำเขาได้อยู่นั่นเอง
5. เส้นทางแห่งความหลัง และห้องแห่งการทดสอบทั้ง 4
[FF Type-0]
ในดันเจี้ยนสุดท้ายของ FF Type-0 จะมีเส้นทางที่มองออกไปด้านนอกแล้ว เราจะเห็นวิวของเมืองสุซาขุ เบียกโค โซวริว และเก็นบุ ตอนที่ยังไม่ถูกระเบิดอัลเทม่าถล่มใส่ เมื่อเข้าไปด้านในก็จะเจอห้องแห่งการทดสอบทั้ง 4 ห้อง ซึ่งประดับด้วยสัญลักษณ์ประจำเมืองทั้ง 4 ภายในห้องก็จะเต็มไปด้วยสถานที่จากเมืองต่าง ๆ ไม่รู้ว่านั่นคือซากวิญญาณของเมืองที่ล่มสลายและผู้ที่ตายไปแล้วจากลูปก่อน ๆ หรือมันเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่เกิดขึ้นจากเวทมนต์?
[FFXIII]
ในดันเจี้ยนสุดท้ายของภาค Lightning Returns จะมีห้องแห่งการทดสอบ 4 ห้อง โดยเส้นทางในแต่ละห้องนั้น เมื่อมองออกไปก็จะเห็นทิวทัศน์ของเมืองเก่าแก่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งทิวทัศน์ของแฮงก์เอดจ์ที่เป็นฉากเปิดเกม ทิวทัศน์ของโอลบาที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ทิวทัศน์ของวาลฮัลล่าที่อยู่นอกกาลเวลา และทิวทัศน์ของเอเดนที่เป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นดันเจี้ยนสุดท้ายในภาคแรก
6. บอสใหญ่ที่ผุดขึ้นมาจากบ่อ
[FF Type-0]
ข้อนี้สั้นง่าย ไม่ต้องเขียนให้ยืดยาว บอสใหญ่ของ FF Type-0 ผุดขึ้นมาจากบ่อเลือดสีแดง
[FFXIII]
ขณะที่บอสใหญ่ของ FFXIII ภาคแรกนั้น ผุดขึ้นมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สีฟ้า
7. โหรผู้เห็นนิมิตแห่งอนาคต
[FF Type-0]
ในเกมนี้มีราชินีอันโดเรียที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ การมองเห็นอนาคตของเธอนั้นเป็นความสามารถพิเศษจากการที่เธอเป็นลูซิ ผู้ถูกเลือกและได้รับพลังพิเศษนี้มาจากคริสตัล
[FFXIII]
ในซีรีส์ FFXIII นั้นมีหญิงสาวที่เป็นทั้งโหรหญิง และเป็นทั้งผู้นำของเผ่าฟาร์เซียร์ เธอคือภัธรา-นุส ยูล ด้วยความที่เธอคือวิญญาณดวงแรกที่เกิดขึ้นมาบนโลก เธอจึงมีหน้าตาเหมือนกับเทพธิดาเอโทรที่เป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ ยูลมีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างมวลเคออสภายในหัวใจของตนเอง กับมวลเคออสที่อยู่ในวาลฮัลล่าอันเป็นสถานที่ซึ่งอยู่นอกกาลเวลา เมื่อเชื่อมต่อแล้วเธอก็จะสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้เสมือนว่าเธออยู่ที่วาลฮัลล่า และจากวาลฮัลล่านั้นเธอก็สามารถมองเห็นประวัติศาสตร์ทั้งหมด อดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ นอกจากนี้ทุกครั้งที่ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลง ก็จะเกิดภาพนิมิตของประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป เด้งเตือนเป็น Notification ที่ตาของเธอ
8. โลกที่ดับสูญและถือกำเนิดขึ้นใหม่
[FF Type-0]
จากที่โครงสร้างจักรวาลของ FF Type-0 นั้นดำเนินไปอย่างเป็นลูป ทำให้ทุกครั้งที่ถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลา อเรเซียก็จะทำการย้อนเวลา ให้ทุกสรรพสิ่งกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของกาลเวลาใหม่อีกครั้ง โลกและอารยธรรมของมนุษย์ก็จะค่อย ๆ เริ่มต้นพัฒนาขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น อเรเซียได้ทำการทดลองเช่นนี้วนเวียนซ้ำมากว่า 600 ล้านครั้ง ก่อนจะยุติลงไปในที่สุด มีเพียงโลกในลูปสุดท้ายที่ก้าวข้ามจุดสิ้นสุดของกาลเวลา และเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ถูกย้อนเวลากลับ
[FFXIII]
ในจักรวาลของ FFXIII นั้น เมื่อประตูสู่โลกหลังความตายเปิดออกมา ทำให้มวลเคออสที่ควรอัดแน่นอยู่ในโลกหลังความตายไหลทะลักเข้าท่วมโลกของคนเป็น ด้วยเหตุนี้ โลกหลังความตายและโลกของคนเป็นจึงหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เกิดเป็นจักรวาลที่กึ่งไร้กาลเวลา
แม้โลกจะยังคงหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดวันเวลาเช้ากลางวันเย็น แต่มนุษย์กลับไม่เติบโตขึ้น และไม่มีเด็กเกิดใหม่ ใครที่เคยเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ซึ่งนั่นคือคอนเซปต์เดียวกับวิญญาณในโลกหลังความตายแท้ ๆ ในสภาพเช่นนี้ทุกสิ่งในจักรวาลจะทยอยดับสูญไป เมื่อถึงจุดหนึ่งมนุษยชาติจะสูญพันธ์ จักรวาลจะพินาศ บูนิเบลเซ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลไม่อาจเห็นหนทางที่จะช่วยฟื้นฟูจักรวาลนี้ไว้ได้ จึงได้แต่เพียงเตรียมการสร้างจักรวาลใหม่ไว้ และรอขนย้ายวิญญาณของมนุษย์ไปยังจักรวาลใหม่
9. ซิด ผู้ต่อต้านทวยเทพ แต่ถูกคืนชีพในฐานะหุ่นเชิดของเทพเจ้า
[FF Type-0]
ซิด ออลสไตน์ ในภาคนี้เติบโตมาในอาณาจักรมิลิเทส ซึ่งประสบปัญหาทุพภิกขภัย พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือปัญหาขาดแคลนอาหารกันอย่างกว้างขวางนั่นเอง เขาเติบโตมาท่ามกลางหายนะ เมื่อเดินไปตามท้องถนนก็เห็นผู้คนที่ทรมานจากการหิวโหยอดอยาก ทว่าผู้คนเหล่านั้นเอาแต่วิงวอน รอคอยความช่วยเหลือจากคริสตัลที่พวกเขาบูชา ซึ่งคริสตัลก็หมุนอยู่เงียบ ๆ ไม่เคยช่วยไม่เคยตอบอะไร
ซิดเห็นว่าความเชื่อในคริสตัลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์หลงทาง ไม่สามารถแก้ปัญหาความอดอยากได้สักที เขาจึงวาดฝันถึงโลกที่มนุษย์จะรู้จักพึ่งพาตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ยืนหยัดมีชีวิตได้ด้วยตนเอง ซิดจึงกลายเป็นต้นกำเนิดแนวคิดที่ไม่ต้องบูชาคริสตัล แต่ให้มองคริสตัลเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง แล้วจับคริสตัลไปทดลองเพื่อรีดพลังงานออกมาช่วยมนุษย์ซะ ซิดเติบโตขึ้นอย่างห้าวหาญ ไต่เต้าขึ้นจนเป็นทหารชั้นจอมพล เขาก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วขึ้นเป็นประมุขของอาณาจักร เขาทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงคริสตัลของอาณาจักรอื่นมาทำการทดลองรีดเค้นพลัง เพื่อวันที่มนุษย์จะยืนหยัดได้ด้วยตนเองจะได้มาถึง
ทว่าเมื่อถึงเวลาอันเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวาล นิมบัสได้พาซิดขึ้นไปยังวิหารแพนเดโมเนียม เล่าความจริงของจักรวาลให้ฟัง และมอบอำนาจให้ซิดทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ตัดสินว่าโลกโอเรียนซ์ในลูปนี้มีอากิโตะถือกำเนิดขึ้นมาหรือไม่… ซิดผู้ทรนงไม่ยอมที่จะเป็นหุ่นเชิดของฟัลซิกาล่า จึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง แต่แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว ฟัลซิกาล่าก็ยังคงคืนชีพให้เขาลุกขึ้นมาใหม่ในฐานะของผู้พิพากษาที่ถูกเจตจำนงค์ของฟัลซิกาล่าครอบงำ และกลายมาเป็นบอสใหญ่ของเกม
[FFXIII]
ซิด เรนส์ ใน FFXIII เป็นคนเก่งหัวดีตัวสูง หล่อเลิศและมากด้วยอุดมการณ์ เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถไต่เต้าจนไปถึงยศพลจัตวาได้ ซิดเป็นคนมีเหตุมีผล ขี้สงสัยและช่างสังเกต แน่นอนว่าเขาย่อมสงสัยถึงเบื้องหลังของรัฐบาลศักดิ์สิทธิ์และระบอบการปกครองที่แท้จริงในสังคมของเขา ซึ่งจากการรวบรวมพวกพ้องที่ไว้ใจมาตั้งเป็นก๊กเหล่ากองทัพอากาศผู้ภักดีได้ ซิดก็สืบทราบได้ว่าแท้จริงแล้วกาเรนธ์ซึ่งเป็นผู้นำของรัฐบาลศักดิ์สิทธิ์และเป็นประมุข เอาแต่ทำตามบัญชาของฟัลซิเอเดนอย่างไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล เขาสั่งอะไรมาก็ทำตามนั้น แถมทั้งฟัลซิและประมุข ต่างก็มองประชาชนเป็นลูกแกะ เห็นสังคมมนุษย์เป็นแค่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของฟัลซิ
เมื่อตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ซิดจึงคิดว่ามันไม่ถูกต้อง มนุษย์ควรจะได้ยืนหยัดและปกครองกันเอง ไม่ใช่มีชีวิตเยี่ยงสัตว์เลี้ยงของฟัลซิ ดังนั้น เขาจึงวางแผนต่าง ๆ เพื่อหาทางโค่นล้มฟัลซิบนโคคูน ทว่าแผนของเขาก็ถูกกาเรนธ์จับได้ ซิดจึงถูกสาปให้กลายเป็นลูซิขี้ข้าของฟัลซิฝ่ายโคคูน จากนั้นมาซิดก็สิ้นหวัง พอได้รับภารกิจจากกาเรนธ์ให้นำทางพวกไลท์นิ่งไปหากาเรนธ์ ซิดก็ทำตามอย่างไม่บิดพลิ้ว
จนเมื่อซิดได้เห็นว่าแม้พวกไลท์นิ่งจะกลายเป็นลูซิฝ่ายพัลส์ แต่พวกไลท์นิ่งก็ไม่ยอมสิ้นหวัง ไม่ยอมเชื่อฟังทำตามคำสั่งของฟัลซิซะทีเดียว พวกไลท์นิ่งยังคงยืนกรานที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์และทำในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าควรทำต่อไป ซิดที่เห็นเช่นนั้นจึงคิดว่าเขาเองก็ต้องเลิกฟังคำสั่งของฟัลซิฝ่ายโคคูนเช่นกัน ว่าแล้วซิดก็ไปเผชิญหน้าสู้กับพวกไลท์นิ่ง เพราะยังไงซะพวกไลท์นิ่งก็เป็นลูซิฝ่ายพัลส์ที่อาจจะทำลายโคคูนได้ทุกเมื่อ ในการต่อสู้ครั้งนั้นซิดทุ่มเทอย่างสุดความสามารถและก็กลายเป็นคริสตัลไป ทว่าในภายหลังกาเรนธ์ก็ทำให้ซิดฟื้นคืนจากสภาพคริสตัล และชักใยซิดให้ทำภารกิจใหม่ให้เขาอยู่ดี
10. อากิโตะผู้ปลดปล่อย
[FF Type-0]
ในโลกของ FF Type-0 นั้นเป็นที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาว่าเมื่อถึงช่วงเวลาแห่งฟินิสอันเป็นจุดจบของจักรวาล อาจมีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา และทำให้มนุษยชาติฟันฝ่าจุดสิ้นสุดของกาลเวลานั้นไปได้ เราเรียกขานมนุษย์ผู้ปลดปล่อยคนนั้นต่อ ๆ กันมาว่า อากิโตะ
ทว่าในสายตาของอเรเซียและกาล่าแล้ว นิยามที่แท้จริงของอากิโตะ คือมนุษย์ที่สามารถเปิดประตูสู่โลกหลังความตายได้ หากประตูสู่โลกหลังความตายถูกเปิดออก เป้าหมายของอเรเซียและกาล่าก็จะบรรลุ กาล่าก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำลายโลก ส่วนอเรเซียก็ไม่มีความจำเป็นต้องย้อนเวลาของจักรวาลอีกต่อไป มนุษย์จึงถูกปล่อยให้มีชีวิตผ่านจุดสิ้นสุดของจักรวาลไปได้นั่นเอง
ในเกมนั้น คูออนได้เปรียบเปรยไว้ว่าอากิโตะน่ะ เป็นเพียงเรื่องที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเพื่อหลีกหนีจากความสิ้นหวัง อากิโตะนั้นไม่มีอยู่จริง และเป็นแค่ Final Fantasy เท่านั้น คำพูดนี้เป็นการเฉลยว่าชื่อเกมเดิมที่เรียกว่า Final Fantasy Agito XIII นั้นมีความหมายว่า อากิโตะ มันเป็นแค่การฟุ้งจินตนาการไปว่าในห้วงสุดท้ายของกาลเวลา จะมีใครสักคนที่เรียกว่าอากิโตะ โผล่มาช่วยปลดปล่อยมนุษยชาติให้นั่นเอง
ทางด้านอเรเซียนั้นตั้งใจจะเปิดประตูสู่โลกหลังความตายด้วยการสร้างอากิโตะขึ้นมา โดยใช้วิธีขัดเกลาดวงวิญญาณพิเศษ 16 ดวงซึ่งมีองค์ประกอบของอากิโตะอยู่ในตัว ให้มีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าวิญญาณเหล่านั้นจะไปถึงขั้นที่กลายเป็นอากิโตะได้ ขณะที่กาล่าตั้งใจจะเปิดประตูสู่โลกหลังความตาย ด้วยการทำให้วิญญาณผู้ตายจำนวนมหาศาลทะลวงผ่านประตูไปในคราเดียวกัน แต่กาล่าก็มีวิธีรองอีกวิธี คือการให้ผู้พิพากษาดูดกลืนวิญญาณของผู้ที่มารับคำพิพากษาว่าตัวเองเป็นอากิโตะหรือไม่ เผื่อว่าผู้พิพากษาจะรับพลังไปแล้ว มีพลังสูงขึ้นจนกลายเป็นอากิโตะได้
ทว่าในลูปสุดท้าย พวกคลาส 0 ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะกลายเป็นอากิโตะอยู่ดี ถึงกระนั้น พวกเขาก็สามารถร่วมแรงร่วมใจโค่นผู้พิพากษาลง ทำให้อเรเซียยอมรับได้ ล้มเลิกการทดลองสร้างอากิโตะและหันหลังออกจากประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปในท้ายที่สุด
เมื่ออเรเซียจากไปแล้ว คริสตัลในโอเรียนซ์จึงสูญเสียพลังไป เวลาต่อมาอารยธรรมของโลกโอเรียนซ์ถดถอย ล้มครืน และล่มสลาย ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย มาคิน่าและเรมที่รอดจากแพนเดโมเนียม และกลายเป็นผู้ชี้นำให้มนุษย์เริ่มต้นมีชีวิตอย่างที่ยืนหยัดด้วยตนเอง ทำให้มนุษย์สร้างนวัตกรรมและอารยธรรมใหม่ขึ้นมา มาคิน่าได้กลายมาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโอเรียนซ์ มาคิน่าและเรมจึงกลายเป็นอากิโตะในสายตาของชาวโลก ทว่าสำหรับทั้งสองคนแล้ว เพื่อนพ้องคลาส 0 ต่างหากคืออากิโตะที่แท้จริง อย่างไรก็ตามในสายตาของอเรเซีย เมื่อสุดท้ายประตูสู่โลกหลังความตายไม่ได้ถูกเปิดออก นั่นหมายความว่าไม่มีใครเลยที่ได้เป็นอากิโตะที่แท้จริง
[FFXIII]
ในจักรวาลของ FFXIII นั้นไม่มีศัพท์เฉพาะที่เรียกว่าอากิโตะอยู่ แต่มีผู้ที่วางแผนเปิดประตูสู่โลกหลังความตายและทำได้สำเร็จถึง 2 คน หนึ่งคือบาร์ธานเดลุส ราชาฟัลซิแห่งโคคูน ที่วางแผนให้ชาวโคคูนนับล้านคนเสียชีวิตอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้มวลวิญญาณมหาศาลทะลวงผ่านประตูสู่โลกหลังความตายจนเปิดอ้าออก ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคือไคอัส ที่วางแผนสังหารเทพธิดาเอโทรซึ่งควบคุมมวลเคออสในโลกหลังความตาย เมื่อเทพธิดาตายลง มวลเคออสที่เป็นอิสระจึงทะลักผ่านประตูออกมายังโลกของคนเป็นไปได้
นอกจากนี้ แม้ในซีรีส์ FFXIII จะไม่มีคำว่าอากิโตะ แต่ก็ศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “ผู้ปลดปล่อย” อันเป็นสมญานามที่ชาวโอเรียนซ์ใช้เรียกอากิโตะนั่นเอง คำว่าผู้ปลดปล่อยในที่นี้สื่อถึงตัวบุคคลเพียงคนเดียวซึ่งก็คือไลท์นิ่ง ตัวเอกของเกม เดิมทีตำแหน่งผู้ปลดปล่อยนี้ เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าบูนิเบลเซ่ เป็นผู้แต่งตั้งไลท์นิ่ง ให้เป็นผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือดวงวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ปลดปล่อยบ่วงทุกข์ออกจากใจของพวกเขา ทำให้วิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์ เป็นอิสระ และพร้อมที่เดินทางไปสู่จักรวาลใหม่ ทว่าในภายหลังไลท์นิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางอย่างของบูนิเบลเซ่ผู้ครองจักรวาล ก็หักหลังและสังหารบูนิเบลเซ่ลง ทำให้มนุษย์ได้เริ่มต้นในจักรวาลใหม่ซึ่งมนุษย์ได้ปกครองอยู่กันเอง ไม่ต้องมีความเชื่องมงาย และไม่มีใครชักใยหรือมองมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ ไลท์นิ่งจึงกลายเป็นผู้ปลดปล่อยที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในสายตาของบูนิเบลเซ่ที่แต่งตั้ง ทั้งการกระทำที่ไลท์นิ่งได้ช่วยปลดปล่อยบ่วงทุกข์ออกจากใจของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และทั้งในสายตาของมนุษยชาติทั้งปวงที่ไลท์นิ่งได้ช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากการครอบงำของพระผู้เป็นเจ้า
ในจักรวาล FFXIII คงจะไม่มีใครที่เข้านิยามอากิโตะของอเรเซียซะทีเดียว เพราะยังไงซะฟัลซิบาร์ธานเดลุส ไคอัส และไลท์นิ่ง ก็ไม่ใช่คนที่อเรเซียทดลองสร้างขึ้นมา ยิ่งในสายตาของอเรเซียแล้วคงไม่ยอมรับไลท์นิ่งที่ฆ่าบูนิเบลเซ่เป็นอากิโตะแน่ อเรเซียอาจจะยอมรับไคอัสมากกว่าด้วยซ้ำ ทว่าในสายตาของมนุษย์แล้ว ไลท์นิ่งผู้ปิดฉากยุคสมัยแห่งคริสตัล บอกลาการปกครองของพระเจ้า เธอย่อมเป็นอากิโตะที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว อย่างไม่ต้องสงสัย
Post a Comment