Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 7 โอลบา ยุน แฟงก์ & โอลบา ไดอา วานิลล์


คุณ Galvea จาก GameFaqs ได้แปลเรื่องราวบทนำของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- เอาไว้ ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้

REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 7


โอลบา ยุน แฟงก์ & โอลบา ไดอา วานิลล์


สายลมอันแห้งเหือดพัดผ่านม่านทรายให้ลอยคลุ้ง แอเด้ขึ้นไปบนยอดเนิน เธอรู้ว่าเธอใกล้จะมาถึงโบราณสถานอันเป็นจุดหมายของเธอแล้ว เธอพึ่งมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยไร่ปศุสัตว์ท่ามกลางป่าหิน สังคมในหมู่บ้านนั้นมีขนาดเล็กพอที่จะทำให้ทุกคนจดจำหน้าตาและคุ้นเคยกันได้ ทำให้แอเด้สามารถตามหาร่องรอยของผู้หญิงสองคนได้อย่างรวดเร็ว  ชาวบ้านบอกเธอว่ามักจะพบเห็นสองคนนั้นได้แถวโบราณสถาน ซึ่งตั้งไกลจากหมู่บ้านออกไประดับหนึ่ง ระหว่างที่แอเด้มุ่งหน้าตามไป เธอคิดว่าเธอพอเข้าใจเหตุผลที่สองคนนั้นชอบไปอยู่ในที่แบบนั้น  เพราะโบราณสถานที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางภูมิทัศน์ที่รกร้างว่างเปล่า มันทำให้พวกเขานึกถึงบ้านเกิดนั่นเอง

แอเด้เข้าไปในโบราณสถาน แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงหินขนาดใหญ่ มีกำแพงค่อนข้างหนาและดูทนทาน และมีเสียงของสายลมที่พัดกร่อนมาแต่ยาวไกล แม้โบราณสถานแห่งนี้จะถูกทิ้งร้างมาหลายปี แต่แอเด้ก็สังเกตได้ว่ามันถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สถานที่แห่งนี้ยังคงสะอาดอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าเอาเฟอร์นิเจอร์มาวางสักหน่อยก็อาจอาศัยอยู่ได้เลย แต่แล้วแอเด้ก็ต้องเตือนตัวเองว่าผู้หญิงสองคนที่เธอตามหาอยู่ ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ

แอเด้สูดหายใจลึก ก่อนจะตะโกนออกมา

“มีใครอยู่มั้ยคะ?”

เสียงของแอเด้ดังก้องไปทั่วโถงอันว่างเปล่า ก่อนที่เสียงอันกังวานจะหายไป เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลังของแอเด้

“เลิกตะโกนได้แล้ว มันน่าหนวกหูนะ”

แอเด้ไม่รู้สึกตัวมาก่อน เธอสาบานได้ว่าเมื่อครู่ยังไม่มีใครอยู่ตรงนั้นสักหน่อย เธอหันกลับไปพบกับผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่ ผู้มีผิวคล้ำและผมสีดำ แอเด้รู้ว่าเธอพบคนที่ใช่แล้ว

แฟงก์ : ผู้คนที่หมู่บ้านด้านล่างขึ้นมาบอกพวกเราแล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตามหาพวกเรา ใครเป็นคนบอกเธอเรื่องสถานที่แห่งนี้กัน แม่วีเซลน้อย?

แอเด้ : เอ่อ... โนเอลค่ะ เดี๋ยวนะ ถ้าพูดให้ถูก ก่อนหน้านั้นก็ได้เจอสโนวมาก่อน แล้วเขาก็ฝากข้อความมาให้...

แฟงก์แผ่บรรยากาศอันไม่เป็นมิตรออกมากดทับแอเด้ จนเธอเงอะงะไม่รู้จะพูดยังไงดี พออธิบายไปก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าประเด็น

“พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย?”

ตอนนี้แฟงก์ยิ่งสงสัยในตัวแอเด้เข้าไปใหญ่ จนแอเด้ยังคิดว่าเดี๋ยวแฟงก์คงไล่เธอไปแน่

“ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ยคะ!? ที่คุณบอกว่าคุณได้พบสโนวและคนอื่น ๆ มาแล้ว!?”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แล้วบรรยากาศอันตึงเครียดก็หายไปในพริบตา แอเด้พบว่าผู้หญิงผู้มีผมสีแดงและหางเปีย ซึ่งแอบมองมาจากเงามืดของห้องโถงได้ช่วยเธอเอาไว้ แอเด้ถือโอกาสนี้พยายามสงบใจ และคราวนี้การแนะนำตัวก็เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากฝึกซ้อมมานาน แอเด้ก็เล่าเรื่องได้อย่างเชี่ยวชาญจนกระทั่งแฟงก์ยังคล้อยตาม แฟงก์และวานิลล์จึงเริ่มเล่าเรื่องของพวกเธอ จนมาถึงตอนที่พวกเธอกลายเป็นคริสตัลเพื่อช่วยปกป้องโคคูนไว้

แฟงก์ : เรากลายเป็นคริสตัลแล้วเข้าสู่การหลับใหล แต่เราก็ยังจับตาดูชีวิตของผู้คนบนแกรนพัลส์ได้

แอเด้ : จะว่าไป เซร่าห์ได้บอกฉันไว้นะคะว่าระหว่างการเดินทางท่องกาลเวลา พวกคุณได้ช่วยเธอไว้

วานิลล์ : อ๊ะใช่ นึกออกละ เซร่าห์ขอความช่วยเหลือมาจากโลกแห่งความฝัน ฉันมักรู้สึกว่าเซร่าห์กับฉันมีสายสัมพันธ์บางอย่างแก่กันยังไงก็ไม่รู้ ฉันหมายถึง ตอนที่ฉันลืมตาขึ้นมาบนโคคูนครั้งแรก เซร่าห์เป็นคน ๆ แรกที่ฉันพบ

แฟงก์ : อือ ที่เซร่าห์ต้องกลายเป็นลูซิเป็นความผิดของพวกเรา เราอยากจะช่วยเธอ ถ้าเราได้สู้เคียงข้างเธอ บางทีเรื่องมันก็คงไม่จบลงแบบนี้ และเซร่าห์ก็คงไม่ตาย

แอเด้ : แต่ตอนนั้นพวกคุณทั้งสองเป็นเสาค้ำโคคูนอยู่ ก็เลยทำอะไรไม่ได้... แต่หลังจากนั้น พอโลกถูกเคออสปกคลุมแล้วพวกคุณหนีออกมาได้ยังไงกันคะ?

วานิลล์ : โฮปช่วยพวกเราไว้ค่ะ จังหวะก่อนที่โคคูนจะตกลงมา พวกเขาผ่าพวกเราออกมาจากเสาค้ำและช่วยปกป้องพวกเราไว้ หมายถึงองค์กรที่โฮปสร้างขึ้นน่ะค่ะ เอ่อ เค้าเรียกว่าอะไรนะ?

แอเด้ : สภาเรอเนสซองค่ะ หลังจากนั้นพวกคุณสองคนก็หลับต่อไปอีก

วานิลล์ : ใช่ค่ะ เราหลับไปอีกเกือบ 500 ปี แล้วตื่นขึ้นมา 13 ปีก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของโลก ฉันอยากขอบคุณโฮปที่ช่วยเราไว้มาก แต่ว่า...

แฟงก์ : แต่ตอนนั้นโฮปก็ถูกพระเจ้าลักพาตัวไปได้ 150 กว่าปีแล้ว สภาเรอเนสซองเองก็ล่มสลายไปนาน แล้ว Order if Salvation ก็กลายมาเป็นผู้ดูแลสิ่งต่าง ๆ แทน รู้มั้ยว่าตอนนั้นพวกเราช็อคขนาดไหน? ในที่สุดเราก็ตื่นขึ้นมา แล้วเราพบอะไร? โลกกำลังยุ่งเหยิง ผู้คนยอมสยบแทบเท้าเทพประหลาด ฉันคิดในใจว่า นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?

วานิลล์ : แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว พวกเราที่หลับมาตลอดนั้นย่อมไม่เป็นไร แต่คนอื่น ๆ ที่เขามีชีวิตในโลกที่กำลังจะตายมากว่า 500 ปี... การที่เขาต้องหาอะไรยึดเหนี่ยวนั้นเราจะไปว่าเป็นความผิดของพวกเขามันก็ไม่ได้ ข้างในนั้น พวกเขาเหนื่อยกันมามาก แล้วฉันก็คิดว่า ถ้าคำสอนของ Order เป็นวิถีจรรโลงชีวิตอย่างหนึ่ง บางทีฉันก็อาจช่วยพวกเขาได้เหมือนกัน

แอเด้ : ฉันได้ยินมาว่าในช่วงหลายปีนั้น คุณวานิลล์ เป็นนักบุญของ Orde of Salvation ฉันเดาว่าเมื่อเป็นนักบุญแล้ว คุณย่อมอยากช่วยผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนที่คุณร่วมมือกับพวกเขา

วานิลล์ : ...ใช่ค่ะ แต่มันกลายเป็นว่าฉันไม่ได้ร่วมมือกับพวกเขา ฉันแค่ถูกหลอกใช้

แอเด้ : หลอกใช้?

แฟงก์ : ทาง Order ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของวานิลล์ พวกมันยินดีต้อนรับวานิลล์เข้าโบสถ์ โป้ปดคำพูดสวยหรูที่เธออยากได้ยิน เธอเป็นพวกจริงจังกับทุกอย่าง เชื่อในทุกสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เคยสงสัยอะไรทั้งนั้น เธอเก็บไปคิดในหัวว่าเธอจะช่วยทุกคนได้ถ้าเธอยอมทำทุกอย่างตามที่ทาง Order ต้องการ

วานิลล์ : …นั่นก็มักเป็นความผิดหนึ่งของฉัน เรามักคิดว่าทำยังไงถึงจะรักษาจุดอ่อนของตนเองได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ฉันรู้สึกอับจนหนทาง ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวว่าฉันกำลังทำอะไร ฉันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนของทาง Order –ไม่สิ ในแผนของพระเจ้าไปแล้ว

แอเด้ : พระเจ้า... คุณกำลังพูดถึงเทพผู้ยิ่งใหญ่ บูนิเบลเซ่ สโนวบอกว่าการที่พวกคุณฟื้นขึ้นมาจากสภาพคริสตัลได้ก็เพราะมีบูนิเบลเซ่อยู่เบื้องหลัง เรื่องนั้นจริงรึเปล่าคะ?

แฟงก์ : ใครจะไปรู้? ฟังดูเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลดี แต่ที่เรารู้คือลูมิน่าอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังก็ได้

แอเด้ : ลูมิน่า... เด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นตอนที่พวกคุณสองคืนฟื้นขึ้นมา เด็กคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมาในช่วง 500 ปี ในโลกที่ไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้ว พอเป็นแบบนี้ พวกคุณเลยอดคิดไม่ได้ว่าเธออาจเป็นบุตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้างั้นสิคะ

แฟงก์ : ศักดิ์สิทธิ์บ้าอะไร ยัยนั่นก็แค่เด็กเหลือขอเท่านั้นแหละ ก็แค่การแปลงกายของเคออส แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงติดวานิลล์นัก

วานิลล์ : ลูมิน่าอาจทำตัวดูเหมือนพวกขี้เล่นที่ชั่วร้าย แต่จริงๆ เธอเป็นคนขี้เหงาที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ บางทีที่เธอปลุกเราขึ้นมาก็ก็เพราะเธออยากจะหาใครสักคนมาสนองความต้องการของเธอ

แฟงก์ : ยังไงก็ตาม ลูมิน่าก็อาจทำงานใต้บัญชาของบูนิเบลเซ่ได้เหมือนกัน ตอนที่ไลท์กับฉันตามหา Holy Clavis ยัยนั่นก็คอยป่วนการค้นหาของเรา

แอเด้ : ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาจากสภาพคริสตัล คุณก็ออกไปอยู่ที่ทะเลทรายทันทีเลยรึเปล่าคะ?

แฟงก์ : ไม่อ่ะ ฉันอยู่กับวานิลล์ไม่กี่ปีที่โบสถ์ภายในเมืองลุคเซริโอ ภายใต้การดูแลของทาง Order ตอนนั้นก็คือช่วงที่สบายที่สุดในชีวิตแล้วหลังจากที่เราผ่านอะไรกันมากมาก ทั้งชีวิตในโอลบา บนแกรนพัลส์ที่เราเกิดและเติบโตขึ้นมา วันคืนนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง แล้วพอเรากลายเป็นลูซิได้รับหน้าที่ถล่มโคคูน เอ่อ คำว่าชีวิตรันทนก็คงยังไม่พอ ดังนั้น ฉันเลยคิดว่าการใช้ชีวิตง่าย ๆ สบายๆ อยู่ในลุคเซริโอมันก็ไม่เลว แถมหมู่สาวกของ Order มันก็มีชายหญิงที่ดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ไม่น้อยด้วย

วานิลล์ : พวกเขาดูแลเราดีมาก

แฟงก์ : พวกเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ถึงพวกลูกสมุนจะเป็นคนดี ทว่าพวกเบื้องบนของทาง Order นี่มันขยะเน่าชัด ๆ ฉันคิดว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของพวกมัน วานิลล์ก็จะตกอยู่ในอันตราย ฉันถึงออกมาจากลุคเซริโอ ฉันอยากให้วานิลล์ออกมาด้วยกัน แต่ถึงจะแซะยังไง เธอก็ไม่ยอมออกมา

วานิลล์ : ตอนนั้นฉันคิดว่าการอยู่กับทาง Order น่าจะดีที่สุด น่าแปลกที่บางครั้งฉันก็ดื้อด้านเกินไป ทั้งที่ปกติแล้วฉันเป็นพวกหัวอ่อนจะตาย

แฟงก์ : เธอเคยหัวอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เอาเถอะ ท้ายที่สุดฉันก็ไปจากลุคเซริโอตามลำพัง มุ่งหน้าไปยังทะเลทราย ฉันวางแผนตามหา Holy Clavis ด้วยตนเอง แต่ฉันก็ไปเจอกับกลุ่มโจร พวกนักล่าสุสาน ฉันเลยตัดสินใจร่วมมือกับพวกนั้น ค้นหาสุสานอย่างละเอียดด้วยกัน

วานิลล์ : เธอพูดเหมือนเธอร่วมมือกับพวกเขา แต่ที่จริงแล้วฉันได้ยินว่าเธอลงไม้ลงมือจนพวกเขาต้องยอมสยบ กลุ่มโจรโมโนคูลัสพยายามขัดขวางเธอ เธอเลยสั่งสอนพวกเขาไปซะหน่อย พวกเขาเลยยกให้เธอเป็นหัวหน้า

แฟงก์ : มันดูเป็นอย่างงั้นเหรอ? จริง ๆ แล้วเราก็ได้คุยกันนิดหน่อยนะ แต่ต่อมาพวกโจรก็คุกเข่าก้มหน้าขอร้อง “ช่วยเป็นหัวหน้าพวกเราด้วย!” ฉันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ก็เลยกลายเป็นผู้นำของโมโนคูลัส

แอเด้ : จากนั้นคุณก็ปล่อยให้พวกโจรค้นหา Holy Clavis แล้วการขุดค้นเป็นไงบ้างคะ?

แฟงก์ : แย่หน่อยที่โบราณสถานมันถูกผนึกไว้ เราเข้าใกล้พื้นที่สำคัญไม่ได้ กระทั่งไลท์เป็นคนมากรุยทางให้

วานิลล์ : ไลท์นิ่งกลับมาหาพวกเรา หลังจากที่แฟงก์จากไปได้ 4-5 ปีมั้งคะ

แฟงก์ : ใช่แล้ว ถ้าไม่มีพลังของผู้ปลดปล่อย เราก็ไม่สามารถปลดผนึกของ Holy Clavis ได้

แอเด้ : Holy Clavis มีพลังแบบไหนเหรอคะ?

วานิลล์ : พลังในการอัญเชิญวิญญาณของผู้ตาย และชำระล้างพวกเขาน่ะ เมื่อมีคำบรรยายสรรพคุณแบบนั้นแล้ว คงคิดกันว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ทว่าทาง Order กลัวมีวิธีใช้ Holy Clavis อย่างชั่วร้ายอยู่ในใจ แต่ฉันกลับงี่เง่า เลยอ่านแผนของพวกนั้นไม่ออก

แฟงก์ : หากทาง Order ไม่สิ หากบูนิเบลเซ่ดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกลบเลือน ไม่มีทางเกิดใหม่ได้อีก เดาว่าทุกคนก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับโลกใบนั้น

แอเด้ : …แต่การที่คนจำนวนมาก รวมถึงฉันด้วย ยังคงมีความทรงจำของโลกใบฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ หมายความว่าพวกคุณทั้งหมดช่วยกันหยุดยั้งแผนของบูนิเบลเซ่ วิญญาณของฉันได้รับการช่วยเหลือในตอนนั้น โดยพวกคุณทุกคน

วานิลล์ : ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ทำให้แฟงก์เป็นห่วง แล้วไลท์นิ่งก็มาชี้ทางให้ฉันเองค่ะ

แฟงก์ : ไลท์ช่วยพวกเรา... ทุกคนไว้

ในตอนนั้นแอเด้ไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นของเธอไว้ได้อีกต่อไป เธอลืมไปแล้วว่าเธอมาที่นี่เพื่อจะรับฟังเรื่องราวของสองสาว แต่กลับถูกเร้าด้วยความนึกคิดที่อยากพบกับไลท์นิ่ง

แอเด้ : เป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งอยากพบไลท์นิ่งและฟังเรื่องราวจากปากของเธอ การสัมภาษณ์โฮปเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของฉัน แล้วก็ได้พบกับซัสซ์ สโนว และทุกคนที่ต่อสู้เคียงข้างพวกคุณมา ทว่าไลท์นิ่ง คือคนเดียวที่ฉันไม่สามารถติดต่อได้เลย พอมองย้อนไปดูการสัมภาษณ์ที่ผ่านมาแล้ว ฉันรู้สึกว่าผู้ปลดปล่อย คือบุคคลที่เป็นหัวใจของทุก ๆ สิ่ง เป็นคนที่ช่วยโลกใบนั้นไว้

แฟงก์และวานิลล์ชำเลืองมองกันและกัน แล้วพยักหน้าเป็นนัย แอเด้มองทั้งสองแล้วก็คิดว่าสำหรับคนสองคนที่อยู่ด้วยกันมานานคณานับ แค่สบตากันเพียงนิด ก็พอจะทำให้พวกเขาเข้าใจกันและกันได้แล้ว

แฟงก์ : ถ้าได้พบกับไลท์แล้ว เธอจะทำอะไรล่ะ?

แอเด้รู้สึกว่าคำถามที่ไม่ได้ไร้สาระนี้เปรียบเหมือนกับหอกที่ทิ่มแทงเข้ามา เธอลนลาน แล้วอธิบายกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง

แอเด้ : ก้อเอ่อ ปกติแล้วก็ต้องอยากสัมภาษณ์น่ะค่ะ... แล้วก็มีอะไรบางอย่างที่อยากบอกให้เธอได้รู้ ว่าฉันรู้สึกปลาบปลื้มเขามากแค่ไหน ไลท์นิ่งคือคนที่ช่วยวิญญาณของพวกเราไว้ในโลกใบนั้น ใช่มั้ยคะ? ก็ถ้าเธอช่วยพวกเราไว้ ฉันก็อยากขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นค่ะ

แฟงก์ : อืม เขาคงได้รู้แล้วว่าเธอรู้สึกขอบคุณ นั่นเพราะเธอยังมีชีวิตอยู่ ที่นี่ตรงนี้

แล้ววานิลล์ก็อธิบายสิ่งที่แฟงก์พูด ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่มั่นใจ

วานิลล์ : นี่คือสิ่งที่ไลท์นิ่งปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่จับจ้องไปยังอนาคตได้ โดยไม่ต้องละทิ้งอดีตไป เพื่อการนั้นเขาจึงสู้กับพระผู้เป็นเจ้า แล้วชัยชนะของเขาก็นำมาซึ่งโลกใบนี้ โลกใหม่ที่ทุกคนจะได้อาศัยอยู่ด้วยกัน

แฟงก์ : ตราบเท่าที่ทุกคนยังมีชีวิตอย่างเป็นสุขอยู่บนโลกใบนี้ ความปรารถนาของไลท์นิ่งก็เป็นจริง ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามไปโบกธงขอบคุณ เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น ฉันเห็นว่างั้นนะ

แอเด้ : ...พูดอีกนัยหนึ่งคือคุณกำลังบอกฉันว่า ฉันควรเว้นวรรคจากเขาไว้? ฉันควรปล่อยไลท์นิ่งไปตามลำพังใช่มั้ยคะ?

แฟงก์ : ฉันบอกว่าถ้าเธอคิดจะตามหาเขาด้วยตัวเธอเอง มันก็เรื่องของเธอ ฉันก็จะไม่บ่นอะไร เธอมีอิสระที่จะไปหาเขาได้

วานิลล์ : ไลท์นิ่งเองก็เช่นกันนะคะ เขาก็เป็นอิสระเหมือนกัน

ถ้าเป็นการสัมภาษณ์ตามปกติครั้งอื่น ๆ แอเด้คงกดดันเพื่อขอข้อมูลของไลท์นิ่ง แต่กรณีแฟงก์กับวานิลล์ เธอไม่อยากทำให้ทั้งสองต้องลำบากใจ สองคนนี้เสียสละตนเองเพื่อค้ำจุนโคคูน สถานที่ซึ่งเธอเคยอาศัย ฉะนั้นเธอจึงรู้สึกเป็นหนี้ทั้งสอง แต่ถึงกระนั้น แอเด้ก็ยังไม่ยอมล้มเลิกการตามหาไลท์นิ่ง เธอตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น ถึงเวลาที่ต้องไปถามหาชิ้นส่วนสุดท้ายของเรื่องราวจากคนที่ช่วยเหลือไลท์นิ่งในช่วง 13 วันก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของโลกใบนั้น – โฮป เอสไฮม์

ที่มา : http://www.gamefaqs.com/boards/681990-lightning-returns-final-fantasy-xiii/69438054

ไม่มีความคิดเห็น