Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 6 โนเอล ไครสซ์ และภัธรา นุส-ยูล


คุณ Galvea จาก GameFaqs ได้แปลเรื่องราวบทนำของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- เอาไว้ ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้

REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 6

โนเอล ไครสซ์ และภัธรา นุส-ยูล

ในเวลา 7 โมงเช้า แอเด้กำลังคลำทางอยู่ในตลาดที่เริ่มจะคับคั่ง เธออยู่ในที่ไหนสักแห่งในเขตร้อน ผู้คนรอบตัวเธอต่างก็สวมใส่ชุดประจำชาติซึ่งมีสีสันสดใส จากตลาดนั้นเธอก็เข้าสู่ถนนลูกรัง พอไปจนสุดตรอกก็พบกับบ้านไม้ขนาดสองชั้น มันดูออกจะธรรมดาไปหน่อยแต่ก็ห่างไกลจากความซอมซ่อ บ้านนั้นเปิดโล่งเหมาะกับสภาพอากาศชื้น และยังไม่มีประตูอีกด้วย แอเด้เดินเข้าไปในบริเวณบ้านพร้อมส่งเสียงทักทาย ซึ่งก็ได้ผลดีกว่าที่คาดเอาไว้

“เธอนั่นเอง”

เสียงนั้นตอบกลับมาจากชั้นสอง ชายคนนั้นยืนพาดอยู่บนราวบันไดที่เปิดโล่ง แสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากหน้าต่างทำให้หน้าเขาอยู่ในเงามืด แต่ตาของเขาก็ยังคงเปล่งประกายออกมาจากความมืดนั้น แอเด้คิดในใจว่าดวงตาคู่นั้นซึ่งกระจ่างใสไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝง เหมือนกับดวงตาของนักล่าที่กำลังจับจ้องเหยื่อ เหมือนกับดวงตาของหมาล่าเนื้อ หรือดวงตาของแมว

ในพริบตา ชายผู้นั้นก็กระโดดลงมาจากบันได มาอยู่ต่อหน้าแอเด้โดยไม่มีซุ่มเสียง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้แอเด้เกิดความประทับใจโนเอล ไครสซ์ว่าดุจดั่งแมว

โนเอล : ฉันได้ยินมาจากสโนวแล้ว เธออยากรู้เรื่องของโลกใบนั้นสินะ

แอเด้ : ใช่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ดี ฉันเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นเช่นกัน

โนเอล : ฉันได้ยินแล้ว ตัวฉันเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนั้นมาก่อน คงไม่มีใครเชื่อในเรื่องแบบนั้น

โดยไม่ได้ขยับตัว โนเอลก็ถามความเห็นจากยูลที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหลังแอเด้ ยูลจ้องมองแอเด้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจว่าเธอไว้ใจแอเด้ได้ แอเด้จะเชื่อพวกเธอ โนเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วบอกว่าถ้ายูลพูดแบบนั้น ก็คงไม่เป็นไร แอเด้สังเกตถึงเสียงที่เปลี่ยนไปในทางที่นุ่มนวลขึ้น ก็คิดว่าสำหรับโนเอลแล้ว ความคิดและการตัดสินใจของยูลต้องมาก่อนอะไรทุกสิ่ง

พวกเขาทั้งหมดนั่งลงและเริ่มคุยกัน ยูลนั่งอย่างเรียบร้อย หลังของเธอยืดตรงราวกับไม้อัดดินปืน ต่างจากโนเอลที่นั่งอยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย แต่แอเด้รู้ว่าเธอต้องไม่โดนหลอก ภายใต้ท่าทีที่ผ่อนคลายของโนเอลนั้น คือความมั่นใจว่าเขาสามารถรับมือกับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ แอเด้รู้สึกว่าโนเอลไม่เพียงจะเหมือนแมว แต่ยังมีออร่าของหมาเฝ้ายามผู้ระแวดระวัง

โนเอลเอ่ยถึงเรื่องราวของเขา ชีวิตของเขาใน AF700 เผ่าฟาร์เซียร์ ไคอัส การเดินทางท่องกาลเวลาร่วมกับเซร่าห์

โนเอล : การตายของเซร่าห์ ความพินาศของโลก ไม่ใช่ความผิดของไคอัสคนเดียว ฉันเองก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน

แอเด้ : แต่นั่นเป็นกับดักของไคอัสไม่ใช่เหรอคะ? คุณก็แค่ไม่รู้ทัน สโนวบอกฉันว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณนะ

โนเอล : มันเป็นเรื่องที่เราจะยักไหล่อย่างไม่แย่แส ไม่ได้หรอก และไม่ใช่เรื่องที่เราจะลืมมันทิ้งไปได้ด้วย ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะมีหนทางอื่น หรือฉันน่าจะทำได้ดีกว่านั้น และป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้... ฉันใช้เวลาร่วม 500 ปี มากจนเกินพอสำหรับการทบทวนตัวเอง และเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

“...ท้ายที่สุด ฉันก็เข้าใจว่าไคอัสรู้สึกยังไงถึงพยายามทำลายโลกเพื่อยูล”

แอเด้ประหลาดกับการสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของเขา จากนั้นโนเอลก็เริ่มพูดเรื่องชีวิตของเขาในยุคแห่งความโกลาหล แอเด้อธิบายว่าเธอได้ยินเรื่องของสภาเรอเนสซองมาบ้างแล้วว่า มันคือศูนย์กลางของสังคมมนุษย์

โนเอล : ต้องขอบคุณคำพูดของซัสซ์ เขาพูดไว้ว่า “เวลาที่อะไร ๆ ดูย่ำแย่ นั่นคือเวลาของคนหนุ่มอย่างแกที่ต้องก้าวออกมา!” ประมาณนั้น ฉันรู้สึกยินดีที่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขความผิดพลาด ฉันไม่สามารถหาทางออกมาจากความมืดได้ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ฉันก็คงติดอยู่ในนั้น

แอเด้ : ฉันเข้าใจแล้วว่าคุณเจ็บปวดกับสิ่งที่คุณก่อไว้กับโลกเป็นอย่างมาก แต่ฉันยังได้ยินมาอีกว่า คุณร่วมมือกับสโนวต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เกิดจากเคออส

โนเอล : ไม่ใช่แค่เราสองคน ผู้คนมากมายก็ช่วยสู้ด้วยเหมือนกัน เราจัดกลุ่มลาดตระเวน มีสโนวเป็นกัปตัน แต่ฉันว่าน่าจะเรียกบทบาทของเขาว่าบอสมากกว่า เขารวบรวมไพร่พลมา แต่เวลามีอันตรายก็จะพุ่งเข้าหาเป็นคนแรกเสมอ

แอเด้ : ส่วนคุณก็เป็นรองหัวหน้า?

โนเอล : ในทางเทคนิคก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ฉันจะแยกตัวออกจากกลุ่มไปฉายเดี่ยวซะมากกว่า ทำภารกิจลาดตระเวณ แทรกซึม ล่ามอนสเตอร์ แนว ๆ นั้น

แอเด้ : แสดงว่าคุณเป็นพวกบินเดี่ยว หรือนักล่าผู้สันโดษนั่นเอง

โนเอล : มันก็ไม่ได้เท่ขนาดนั้น ว่ากันตามตรงฉันออกจะกลัวการเปิดเผยตัวเองต่อหน้าสาธารณะอยู่บ้าง ฉันเป็นคนทำให้โลกเสียหาย ดังนั้น ฉันไปทำงานเป็นแกนกลางของสังคมเหมือนอย่างโฮปและสโนวไม่ได้หรอก ฉันละอาย รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับแสงสว่างของแต่ละวัน ฉันจึงตัดสินใจจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อสังคมจากเงามืด สโนวเขาเข้าใจ และปล่อยให้ฉันทำตามวิธีการของตนเอง

แอเด้ : พวกคุณสองคนไว้ใจกันและกัน แต่ฉันได้ยินว่าตอนที่คุณเจอสโนวครั้งแรกระหว่างท่องกาลเวลา พวกคุณสองคนไม่ถูกกันนี่คะ

โนเอล : มันก็เป็นอย่างงั้น เขาเป็นคนบ้าบิ่นเกินไป ในตอนนั้น ฉันพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องเซร่าห์ แต่ตัวเขาเองกลับทำอะไรเกินตัว แทบไม่ต่างกับการเอาชีวิตไปทิ้ง ฉันก็คิดว่า “ฉันพยายามเต็มที่เพื่อจะปกป้องหวานใจของนาย แต่นายกลับจะไปตายก่อนเธองั้นเหรอ?” ฉันเองย่อมอยากจะพูดอะไรสักคำสองคำตอกหน้าเขาบ้าง

แอเด้ : ทนรับคนแบบเขาไม่ได้สินะคะ?

โนเอล : ก็ไม่เชิง ฉันก็รู้นะว่าลึก ๆ แล้วเขาเป็นคนดี บางทีฉันคงกลัวว่าเขาจะทำอะไรเลยเถิด ก็เลยต่อว่าเขาไปแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันก็ตาม

แอเด้พินิตว่าตอนนี้โนเอลก็เห็นอะไรต่าง ๆ ชัดเจนแล้ว และเข้าใจความรู้สึกของตัวเองและสโนวในวันนั้นแล้ว

โนเอล : เขาน่ะบ้าบิ่นของแท้เลย ไม่เพียงแค่บ้าบิ่น เขายังดึงสิ่งดี ๆ ในตัวผู้คนออกมา เขาไม่ต่างไปจากเด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นพระราชาแห่งลานทราย คนรอบตัวเขาทุกคนต่างต้องช่วยกันระวังไม่ให้เขาไปพัวพันกับอันตราย ฉันว่าบางทีเราทุกคนที่ช่วยกันดูแลเขา ท้ายที่สุดก็ได้แรงบันดาลใจในการทำอะไรอย่างเต็มที่มาจากเขา นั่นคือสิ่งที่ฉันเข้าใจในยุคแห่งความโกลาหล ภายหลังการต่อสู้นานนับปี นับทศวรรษ ตอนที่ทุกคนอ่อนล้าและแทบจะโยนผ้ายอมแพ้ สโนวก็จะปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าสุด เสี่ยงชีวิตตัวเอง แสดงให้เราทุกคนเห็นว่าแผ่นหลังของนักสู้นั้นเป็นยังไง เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อนำลมสงบกลับคืนมาสู่เรือของเรา และเราก็ได้พบความกล้าหาญในการกระทำของเขา

แอเด้ : เข้าใจละ เขาเป็นวีรบุรุษใช้การกระทำแทนคำพูดนั่นเอง

โนเอล : ฉันไม่อาจปกป้องเซร่าห์ คนที่เขารักไว้ได้ เขาควรจะเกลียดฉัน แต่เขากลับไม่เคยกล่าวโทษฉันเลย

โนเอลหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่ออย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย

โนเอล : ...มันเกินกว่าที่ฉันจะรับไหว ให้เขาแผดเสียงด่าฉันยังจะดีซะกว่า ทั้งเซร่าห์ เคออส ทุกสิ่งทุกอย่าง แค่เพียงเขาตะคอกว่า “มันเป็นความผิดของแก!” ฉันคงสามารถพูดปกป้องตัวเองกลับไปว่า “ไม่จริง มันเป็นความผิดของไคอัส!” เพื่อปัดความผิดทิ้งไปทั้งหมด ฉันคิดไว้แบบนั้น เธอคงคิดว่าฉันนี่มันเห็นแก่ตัวมากเลยสินะ

แอเด้รู้สึกเห็นใจ เธอเอ่ยว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับซัสซ์ด้วยเหมือนกัน เขารู้สึกผิด ทุกข์ยาก แล้วก็เริ่มตีห่างจากคนอื่น ๆ

โนเอล : ฉันก็เคยได้ยินมาก่อน นั่นคือเหตุผลที่ซัสซ์ไม่มาเจอพวกเราอีก... แต่ฉันเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง หลังใช้ชีวิตในยุคแห่งความโกลาหลมาร่วม 300 ปี ฉันก็เริ่มเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเด่นชัดขึ้นมา กระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา เรื่องที่เป็นชนวนเหตุ

แอเด้ : หมายถึงการที่โฮปถูกลักพาตัวไปงั้นเหรอคะ

โนเอล : ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าบูนิเบลเซ่อยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนั้นเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าโฮปไม่มีทางทิ้งงานและหายตัวไปเองแน่นอน เขาเป็นคนรับผิดชอบต่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ และก็พยายามที่จะช่วยโลกอย่างเต็มที่ และนอกจากนั้น โฮปไม่ใช่คน ๆ เดียวที่หายไป เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมกันทำงานวิจัยอยู่ในโคคูนเทียมก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน พวกเขาหายไปทั้งหมดเลย

แอเด้ : พวกเขาทำงานวิจัยแบบไหนในโคคูนกันเหรอคะ?

โนเอล : ก็เกี่ยวกับการควบคุมเคออส... รายละเอียดเธอคงต้องไปถามโฮปเอา แต่ตอนนั้นมันไม่มีคำอธิบาย แล้วสภาเรอเนสซองก็แตกสามัคคี ต่างฝ่ายต่างโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น นั่นเป็นช่วงที่สังคมล่อแหลมมาก สโนวและฉันต่างก็พยายามช่วยรักษาความสงบของสังคมไว้ ท้ายที่สุดพวกเราก็ยุ่งจนไม่มีเวลามาพบกันอีกต่อไป

แอเด้ : ในช่วงเวลาเดียวกัน “การช่วยเหลือจากพระเจ้า” ก็เริ่มเข้ามาเย้ายวนหัวใจของผู้คน บูนิเบลเซ่ผู้ยิ่งใหญ่จะนำพาทุกคนไปสู่โลกใบใหม่ ทาง Order สอนไว้แบบนั้น แล้วอิทธิพลของมันก็แผ่ขยายไปทั่ว

โนเอล : ทาง Order คือฝ่ายที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่โฮปหายตัวไป ฉันคิดว่าเป็นไปได้เหมือนกันที่ทาง Order จะเป็นคนลักพาตัวโฮปไป ฉันเลยทำภารกิจแทรกซึมเข้าไปสืบหาคำตอบ

แอเด้ : แล้วคุณพบหลักฐานอะไรบ้างมั้ยคะ?

โนเอล : ไม่เลยสักนิด แต่ฉันก็ไม่เห็นพ้องกับวิธีการของ Order เลย พวกเขาอ้างว่ากำลังช่วยเหลือเหล่าวิญญาณ ทำเป็นพูดจาสวยหรู แต่พอมีอำนาจก็จัดการกับทุกคนที่เห็นต่าง ฉันเลยลอบเข้าไปในโบสถ์ แล้วส่งคำเตือนให้พวกมันสักหน่อย เพราะเหตุนี้ผู้คนเลยเริ่มเรียกฉันว่า “นักล่าแห่งเงามืด”

“ขณะเดียวกัน ฉันก็ได้ยินว่าสโนวกำลังพยายามป้องกันไม่ให้ทาง Order ผูกขาดเสบียงได้  แล้วเขาก็เลือกวิธีประนีประนอม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาโดยตรงกับทาง Order”

“ตอนที่ฉันพบว่าเขายอมรับนามผู้อุปถัมภ์จากทาง Order ฉันก็นึกว่าเขาขายวิญญาณให้คำสอนของเทพลี้ลับไปแล้ว แต่ลึก ๆ แล้วฉันน่าจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากต่อสู้กับทาง Oder ไปก็หมายความว่าผู้คนต้องเข่นฆ่ากันและกัน แต่แล้ววิธีการของเขา มันก็ทำให้เขาสามารถควบคุมยูสนันและโรงงานผลิตเสบียงไว้ได้ ขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างกับทาง Order ไว้ได้ด้วย ฉันรู้ว่าความจริงมันเป็นแบบนี้... แต่ในตอนนั้น ฉันไม่อยากจะยอมรับ”

พอไม่มีโฮปที่คอยยึดพวกเขาไว้ด้วยกันแล้ว เหล่าเพื่อนเก่าก็แยกย้ายกันไป กระทั่ง 13 ปีก่อนถึงจุดจบของโลก วานิลล์และแฟงก์ก็ตื่นขึ้นมา แต่โนเอลก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับพวกเธอ ขณะเดียวกันข่าวลือเรื่อง “ผู้ปลดปล่อย” ก็เริ่มแพร่กระจายออกไป

โนเอล : ตอนนั้นเด็กผู้หญิงที่ชื่อลูมิน่าก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากไหน มันเป็นปริศนา เพราะพอมีเคออสรายล้อมแล้วเด็กก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ แล้วตอนนั้นตำราพยากรณ์ (予言の書,) ก็ปรากฏออกมา

แอเด้ : ฉันได้ยินเรื่องของตำราพยากรณ์จากเซร่าห์ มันเป็นการบันทึก “ภาพพยากรณ์แห่งอนาคต” ที่ชาวฟาร์เซียร์ในทุกยุคสมัยที่มีนามว่ายูลเป็นผู้พบเห็น

โนเอล : ฉันก็รู้จักมันดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันจึงโดนมันหลอก

แอเด้ : โดนหลอก?

โนเอล : มันเป็นภาพพยากรณ์ปลอมที่ลูมิน่าทำขึ้น สิ่งที่ถูกบันทึกไว้เลยมีแต่ภาพอนาคตที่ฉันโหยหา ทั้งการได้พบกับยูลอีกครั้ง ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุข นั่นคืออนาคตที่ฉันอยากให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม

แอเด้ : ฉันว่าคุณมองหาทางรอดสำหรับตัวคุณเองจากคำพยากรณ์นั้น อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้คุณทำแบบนั้น?

โนเอล : ความสิ้นหวัง ที่เกินกว่าฉันจะแบกรับไว้ได้ ฉันเลยยึดติดกับความหวังอย่างสุดชีวิต ตอนนั้นฉันคิดว่าถึงมือต้องเปื้อนเลือดก็ยอม คำพยากรณ์นั้น มันถูกต้องแน่นอน

“ถ้าฉันกำจัดผู้ปลดปล่อยได้ ถ้ากำจัดไลท์นิ่งได้ อนาคตอันสงบสุขก็จะรอเราอยู่ ฉันเลยพยายามจะฆ่าเธอ”

แอเด้ : รู้สึกกระวนกระวายที่ต้องสู้กับไลท์นิ่งบ้างรึเปล่า?

โนเอล : …จำได้มั้ย? ที่ฉันบอกว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของไคอัส

“ทั้งความตายของเซร่าห์ ทั้งความพินาศของโลก ฉันโทษตัวเองสำหรับความผิดพลาดเหล่านั้นเรื่อยมา จนฉันจมอยู่ในความสิ้นหวัง ฉันไม่สามารถคิดในแง่ดีได้อีกแล้ว เหลือไว้แต่เพียงรสชาติอันขมขื่น”

แอเด้ : คุณมีชีวิตในสภาพที่ปราศจากความสงบสุขในจิตใจมายาวนานเกินไป ด้วยเหตุนี้ คุณจึงเลือกเส้นทางของหายนะ?

โนเอล : ฉันว่าไคอัสเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะสูญเสียยูลไปสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่สามารถฆ่าตัวเองให้หลุดพ้นจากความสิ้นหวังไปได้ เพราะเขาเป็นอมตะ

“ดังนั้น เขาจึงเลือกทางที่ผิด และตัดสินใจทำให้โลกพินาศ”

“ฉันเองก็คล้ายกัน พอมองย้อนกลับไป ไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียวที่พ่ายแพ้ สโนวกับซัสซ์ พวกเขาต่างก็มีปัญหาของตนเอง ปัญหาที่หาทางออกไม่เจอ เราทุกคนต่างมีปัญหาในใจเหมือนกัน”

ยูล : แต่แล้วผู้ปลดปล่อย ไลท์นิ่งก็กลับมา และปลดปล่อยดวงวิญญาณของผู้คนที่หลงเวียนวนอยู่อย่างยาวนาน

แอเด้ : ในตอนนั้นคุณทำอะไรอยู่เหรอคะ ยูล? คุณน่าจะตายไปใน AF700 แล้วนี่...

ยูล : วิญญาณของฉัน... วิญญาณของพวกเราล้วนอยู่กับไคอัส วิญญาณของโหรทุกคนที่ชื่อว่ายูล 

“เราคือวิญญาณจำนวนมากที่หลอมรวมอยู่ด้วยกัน ดังนั้น เราจึงไม่มีจิตสำนึกหรือเจตจำนงค์ เราดำรงอยู่อย่างล่องลอยอิสระ เป็นความปรารถนาอันบริสุทธิ์”

โนเอล : เธออยู่ที่วิหารในไวลด์แลนด์ ไม่ไกลจากยูสนันและลุคเซริโอนัก ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าเธออยู่ใกล้แค่นี้

แอเด้ : หมายความว่าไคอัสก็อยู่ที่นั่นด้วยใช่มั้ยคะ?

ยูล : เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ และก็ไม่ได้ตาย ความรู้สึกของยูลมากมายได้ขัดแย้งกันและกัน ยูลบางคนคิดว่าเขาทนทรมานกับความสิ้นหวังมากมากเกินพอแล้ว และอยากให้ความตายมาช่วยปลดปล่อยเขาไป แต่ก็มียูลที่ไม่อยากให้เขาตาย ยูลที่อยากจะอยู่กับเขา ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเองของพวกเรานี้หลอมรวมไปกับเคออส และจองจำดวงวิญญาณของเขาไว้ และไม่อนุญาตให้เขาจากไป

แอเด้ : วิญญาณของไคอัสได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ด้วยรึเปล่าคะ?

ยูล : …เขาไม่ได้อยู่ในโลกที่คุณเห็น ไคอัสอยู่ในโลกที่วิญญาณต้องกลับไป เมื่อคุณตาย คุณก็จะได้พบกับเขา

แอเด้ : แสดงว่าเขาคงจะอยู่ในโลกของผู้ตาย

ยูล : เขาปกป้องวิญญาณของผู้ตาย นำทางพวกเขาไปสู่ชีวิตใหม่ และปกครองโลกที่มองไม่เห็น นั่นคืองานของเขา

แอเด้ปิดการสัมภาษณ์ลง จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็ไปเยี่ยมเยียนตลาด ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงพอดี ตลาดอันคับคั่งก็กำลังอึกทึกครึกโครมกัน ใบหน้าของโนเอลและยูลแลดูเต็มไปด้วยความสบายใจ แอเด้คิดว่าเธอรู้เหตุผลที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กนี้ สำหรับดวงวิญญาณสองดวงที่รู้จักแต่ยุคแห่งความอ้างว้าง บรรยากาศที่มีชีวิตชีวานี้ คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นสุข

ยูลที่แข็งทื่อและระวังถ้อยคำในการสัมภาษณ์ ตอนนี้ราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง เธอเต้นไปตามถนน พลางชี้ให้โนเอลดูไปที่วัตถุโบราณด้วยตาที่เป็นประกาย และเสียงหัวเราะที่ตามมาอย่างง่ายดาย โนเอลคอยดูแลเธอด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน แอเด้คิดว่าคนอีกนานหลายต่อหลายปี กว่าที่พวกเขาทั้งสองจะได้ไปพบกับไคอัส บัลลาดที่โลกแห่งความตายอีกครั้ง

พวกเขาทั้งหมดทานอาหารเที่ยงด้วยกัน แต่ก่อนจะแยกทาง โนเอลก็ได้เขียนที่อยู่ของแฟงก์และวานิลล์ลงไปในสมุดบันทึกของแอเด้

โนเอล : เธอไปพบแฟงก์กับวานิลล์ได้ตามที่อยู่นี้ ที่จริงแล้วสโนวได้บอกฉันไว้ว่า หลังจากที่เธอได้พบกับฉันแล้ว หากฉันไว้ใจเธอ ฉันควรบอกให้เธอรู้ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน

จากนั้นโนเอลก็บ่นเรื่องสโนวขาดความรับผิดชอบอีกสักหน่อย โนเอลบอกว่าสโนวไม่ควรทิ้งให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างนี้เลย แต่ขณะที่เขาพูด รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา พร้อมกับดวงตาที่สะท้อนถึงความคิดถึง

ไม่มีความคิดเห็น