Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 5 สโนว วิลเลียส


คุณ Galvea จาก GameFaqs ได้แปลเรื่องราวบทนำของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- เอาไว้ ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้

*หมายเหตุ : บทนำที่ลงไปก่อนหน้านี้เป็นแปลเต็ม ส่วนตอนที่ 8 และ 9 ที่ลงไปก่อนเป็นตัวย่อ

REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 5

สโนว วิลเลียส

แอเด้กำลังรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ ถัดจากเส้นทางหลวงกลางที่ไหนสักแห่ง เธอมองไปยังทุ่งสีเขียวที่อยู่รอบตัวเธอ แล้วคิดว่าแม้ชนบทจะเป็นสถานที่แสนน่าเบื่อสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สภาพที่ไม่วุ่นวายแบบนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่สโนวชอบ ยิ่งหลังจากที่เขาได้ต่อสู้ใน “โลกใบนั้น” มาแสนยาวนาน แอเด้รู้ว่าเธอจะขอนัดพบเขาในเมืองก็ได้ แต่สโนวคงชอบขี่มอเตอร์ไซค์อยู่บนถนนอันแสนยาวไกลแบบนี้มากกว่า แอเด้เห็นว่านี่คงเป็นสถานที่อันเหมาะสมที่จะรับฟังเรื่องราวของเขา ตอนนี้สโนวพร้อมมอเตอร์ไซค์ก็แล่นเข้ามาในระยะสายตาแล้ว เขาหยุดที่ป้ายรถเมล์แล้วบอกแอเด้ว่าเธอจับรถเมล์ไม่ได้หรอก เส้นทางสายนี้มันถูกทิ้งร้างไว้ระยะหนึ่งแล้ว

แอเด้ : ไม่มีปัญหา ฉันกำลังรอคุณอยู่เลยค่ะ

สโนว : …เธอดูไม่เหมือนพวกชอบติดรถชาวบ้านเลยนะ

แอเด้ : ฉันได้ยินเรื่องของคุณจากเซร่าห์ ฟาร์รอนค่ะ

ถึงตรงนี้สโนวก็ดับเครื่องยนต์ลง พวกเขาย้ายไปนั่งคุยกันที่ใต้ศาลารอรถ แอเด้ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอรู้ให้สโนวฟัง พอเล่าจบสโนวก็ตกลงที่จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธออยากรู้ให้ฟังเช่นกัน เพราะใครก็ตามที่เซร่าห์ไว้ใจ เขาก็จะไว้ใจด้วยเช่นกัน ว่าแล้วสโนวก็เล่าเรื่องของเขาให้ฟังตั้งแต่ต้น กระทั่งเมื่อเล่าถึงตอนที่เซร่าห์ตาย สโนวก็หยุดนิ่ง จนแอเด้รู้สึกได้ว่านั่นเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดสำหรับเขามาก แม้ว่าตอนนี้เซร่าห์จะกลับมามีชีวิตแล้วก็ตาม แต่แล้วแอเด้ก็รีบเปลี่ยนประเด็น ด้วยการถามเรื่องยุคสมัยแห่งความโกลาหล

สโนวเริ่มเล่าเรื่องของเขาต่อว่า ในตอนที่เคออสเข้าปกคลุมโลกนั้น ทุกคนต่างเข้าไปอาศัยอยู่ในโคคูนเทียม หรืออาร์คที่อยู่บนฟากฟ้าและด้วยพรสวรรค์ของโฮป เขาก็ได้กลายมาเป็นผู้นำของสภาเรอเนสซอง โฮปเป็นมันสมองที่รับผิดชอบในภาพรวม ส่วนโนเอล สโนว ซัสซ์ ก็จัดการกับมอนสเตอร์ ทว่าต่อมาเรื่องที่มนุษยชาติไม่แก่ขึ้น ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ แอเด้มีเดาไว้แล้วว่าในจุดหนึ่งนั้นมนุษย์ทุกคนได้กลายเป็นอมตะไป เพราะบางคนที่เธอได้สัมภาษณ์มาก็อ้างว่าเคยมีชีวิตอยู่หลายร้อยปี แต่สโนวก็แก้ความเข้าใจผิดให้ สโนวบอกว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอมตะ ยังสามารถตายได้อยู่ และการที่ไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่ มนุษยชาติก็เคลื่นเข้าสู่การสูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ นั่นคือสิ่งที่สภาเรอเนสซองพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้น

สโนว : ทุกอย่างถดถอยลง ดินแดนที่พวกเราอาศัยอยู่ถูกเคออสกลืนกินไปทีละเล็กทีละน้อย กระทั่ง “บูนิเบลเซ่” ที่อยู่บนฟ้า ก็ไม่สามารถหลีกหนีความเสียหายได้

แอเด้ : บูนิเบลเซ่ ฉันได้ยินคำนี้หลายครั้ง มันหมายถึงอะไรเหรอคะ?

สโนว : ก็เป็นชื่อของโคคูนที่เราสร้าง และเป็นชื่อของพระเจ้า ศัตรูสูงสุดของเรา

แอเด้ : หา...?

สโนว : เดี๋ยวค่อยกลับมาว่ากันทีหลัง ยังไงซะ โคคูนที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เริ่มสึกหรอ จนเริ่มเริ่มตระหนักว่าเราคงไม่สามารถหลบอยู่ในนั้นได้ตลอดไป ในตอนนั้นฟัลซิแพนเดโมเนียมก็ปรากฏตัวขึ้นมา มันเริ่มลงมือและทำงานอย่างรวดเร็วบนดินแดนนอกโคคูน

แอเด้ : ลงมือที่ว่าคือยังไงเหรอคะ?

สโนว : ฟัลซิก็ช่วยสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้ มันเริ่มเพาะปลูกบนพื้นที่ติดทะเล สร้างบ้านให้ผู้คนอาศัยทั้งที่ไม่มีใครร้องขอ ในไม่ช้ามันก็สร้างเมือง ๆ หนึ่งขึ้นมา แล้วก็สร้างอีกเมืองให้อยู่ห่างจากเมืองแรกเล็กน้อย ภายหลังเมืองแรกก็เป็นที่รู้จักในชื่อลุคเซริโอ ส่วนเมืองที่สองก็เป็นจุดเริ่มต้นของยูสนัน

แอเด้ : แล้วทุกคนที่อยู่ในโคคูนเทียม ก็ย้ายมาอยู่ในเมืองที่ฟัลซิสร้างขึ้นงั้นสิคะ

สโนว : ตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนั้น เราตั้งแง่สงสัยและถอยห่างจากมันอยู่นาน เราไม่อาจไว้ใจฟัลซิได้ แล้วมันก็ไม่ได้ส่งข้อความอะไรมาเลย ขณะที่เราอยู่กันอย่างตื่นตัว รอดูว่ามันจะทำอะไรต่อไป ฟัลซิมันก็เริ่มลงมือขั้นต่อไป มันสร้างโรงงานที่ยูสนัน และผลิตเสบียงต่าง ๆ ทั้งอาหาร พลังงาน งานทั้งหลาย ตัวฟัลซิมันก็ไม่ได้พูดอะไร แต่มันพยายามที่จะล่อเราออกไป ใช่แล้ว “ออกจากโคคูนเทียมซะ แล้วมาอยู่ที่นี่” เหมือนว่ามันจะสื่อแบบนั้น

สโนวอธิบายว่ามันเป็นการตัดสินที่ยากลำบาก หลังจากถกเถียงกันอยู่หลายปี สภาเรอเนสซองก็ตัดสินใจอพยพออกมาอยู่ดินแดนด้านนอก เหตุผลของพวกเขาคือหากทุกคนยังคงอาศัยอยู่ข้างในโคคูนที่กำลังเสื่อมสภาพเพราะเคออสต่อไป ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตต่อไปได้นาน อีกทั้งโคคูนเทียมยังได้สร้างศูนย์กลางของเทคโนโลยีทั้งหมดไว้ ดังนั้น ถ้ามันหยุดทำงานลงอย่างกะทันหัน มันก็จะเป็นหายนะของมนุษย์  การให้ทุกคนย้ายออกมาด้านนอกแล้วค่อย ๆ เรียนรู้การหาอาหารและที่พักอาศัยด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ใช้เสบียงจากฟัลซิแพนเดโมเนียมไปด้วย คงเป็นการเดิมพันที่ดีที่สุดแล้วในการปกป้องโคคูนและเทคโนโลยีที่อยู่ข้างใน

สโนว : เราไว้ใจฟัลซิให้ผลิตอาหารให้ ราวกับว่าเรากลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงของฟัลซิเลย และการส่งผู้คนออกไปจากโคคูนเทียม แม้จะเป็นการออกมายังโลกภายนอกอย่างปลอดภัย แต่มันกลับไปเหมือนการเพิร์จอีก แต่เราก็ไม่มีหนทางอื่น เรานำคณะเดินทางกลุ่มแรกลงสู่ผืนดิน พยายามจะช่วยเหลือตนเอง ไม่ให้ต้องพึ่งพาฟัลซิมากเกินไป แล้วเราก็ต่อสู้กับเคออสอยู่ตลอดเวลา วันแล้ววันเล่า... ต่อสู้ไปอย่างไม่มีสิ้นสุด แล้วเราก็อยู่กันแบบนั้นเป็นปี ๆ

แอเด้ : ฟังดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นแทบจะทำให้ลืมวันลืมคืนไปเลยนะคะ... ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ซัสซ์พูดไว้ เขาบอกว่าตอนที่แดจซ์ไม่ตื่นขึ้นมา เขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง แล้วก็ร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ เป็นปี ๆ

สโนว : ฉันเองก็อยากช่วยลุงเค้า แต่ก็สามารถทำอะไรได้เลย.... ตัวฉันเองก็เหมือนกัน ฉันมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้จะช่วยเซร่าห์ได้ยังไง ไม่รู้ว่าไลท์นิ่งอยู่ที่ไหน ทุก ๆ วันเหมือนกับเป็นฝันร้าย โนเอลเองก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังเหมือนกัน เขาโทษตัวเองในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเซร่าห์ ในเรื่องความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นกับโลก และไม่อาจหลุดพ้นจากมันได้ เขาไม่ควรทำแบบนั้นเพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

แอเด้ : แล้วโฮปทำอะไรบ้างคะ?

สโนว : เขาเป็นอัจฉริยะที่มองหาหนทางในการหยุดยั้งเคออส และไม่เคยบ่นอะไรออกมา แม้ครั้งเดียวก็ไม่เคย ฉันยังมีกำลังใจและทำอะไรอย่างเต็มที่ได้ก็เพราะเขาไม่เคยทิ้งความหวัง เหมือนกับที่พ่อแม่ตั้งชื่อให้กับเขา เขาคือความหวังในตัวของเขาเอง เขาเป็น.... ไม่สิ เธออาจจะคิดว่าฉันโม้เกินจริง แต่เขาก็คือความหวังของมนุษยชาติ แต่เพราะนั่นแหละ เขาเลยถูกตัดออกไป 

แอเด้ : ตัดออกไปที่ว่า... หมายถึงโฮปถูกลักพาตัว แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยรึเปล่า?  ฉันได้ยินซัสซ์บอกว่าการที่โฮปหายไปเป็นเหตุให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง

สโนว : เขาหายไปอย่างกะทันหัน สภาเรอเนสซองก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ มีการถกเถียงกันมากมายแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุป ฉันพยายามจะนำความสงบสุขกลับคืนมา... แต่ฉันไม่ใช่โฮป เลยมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ แล้วความขัดแย้งก็เริ่มกัดกินโครงสร้างทางสังคม ทุกคนต่างอยู่บนความง่อนแง่น ช่วงเวลานั้นฉันรับผิดชอบโรงงานที่ยูสนัน และฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สงครามแก่งแย่งเสบียงปะทุขึ้นมา

ท่ามกลางความสับสนนั้น ผู้คนก็เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในสภาเรอเนสซอง แล้ว “คำสอน” ซึ่งมาแทนที่ ก็ได้เริ่มเผยแพร่ออกมา

สโนว : มันเป็นความเชื่อในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าโลกจะถึงกาลอวสาน พระเจ้าก็จะช่วยนำทางพวกเราไปสู่โลกใบใหม่ นี่คือหลักคำสอนของ Order ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

แอเด้ : เท่าที่สืบมาฉันก็ได้ยินเรื่องของ Order มาบ้างค่ะ

สโนว : จำนวนผู้ศรัทพาใน Order เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วองค์กรของพวกเขาก็เริ่มใช้อำนาจควบคุมสังคม ส่วนชื่อของพระเจ้าที่พวกเขาบูชา... ไหนลองเดามาสิ

แอเด้ : ...บูนิเบลเซ่

สโนว : หลังจากที่โฮปหายตัวไป ความแตกตื่นก็แพร่กระจายไปทั่ว พวกคนที่สิ้นหวังก็เลยยึดมั่นในคำสอนของบูนิเบลเซ่ ความหวังของทางรอด ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมโฮปถึงถูกลักตัวไป? บูนิเบลเซ่คือคนที่ลบโฮป พระเจ้าได้เอาความหวังออกไป เพื่อที่ท่านจะได้ครอบงำหัวใจของมนุษย์ได้

สโนว : ต่อมา Order ก็พยายามจะผูกขาดเสบียงทั้งหมด ฉันไม่ยอมปล่อยให้พวกมันทำแบบนั้น แต่ขณะเดียวกันฉันก็ไม่อยากให้ผู้คนต้องมาสู้กันเอง ในฉากหน้าฉันจึงแกล้งทำเป็นยอมรับอำนาจของ Order พวกมันเลยตั้งฉันให้เป็นผู้อุปถัมภ์ (Patron) แต่ฉันก็ขอให้พวกเขายอมรับเงื่อนไข 2 ข้อ คือยูสนันต้องเป็นอิสระเหมือนเดิม และ Order ต้องไม่ก้าวก่ายกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกนี้

แอเด้ : ฟังดูเหมือนว่าคุณต้องเล่นแง่การเมืองเยอะเลยนะคะ

สโนว : ไม่เหมือนตัวฉันคนเดิมใช่มั้ยล่ะ? กระทั่งคนโง่ ก็ยังได้เรียนรู้อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากมีชีวิตมากว่าร้อยปี

สโนวอธิบายต่อไปว่าระหว่างที่เขารับบทบาทผู้อุปถัมภ์ของยูสนัน เขาก็วุ่นกับการเล่นเกมการเมืองแมวจับหนูกับทาง Order มันมีงานมากมายต้องทำ นั่นทำให้เขามีเวลาพบกับซัสซ์และโนเอลน้อยลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ประมาณ 150 ปีหลังจากนั้น วานิลล์ แฟงก์ ก็ตื่นขึ้นมาและถูกพาตัวไปยังที่คุมขังของทาง Order

สโนว : บูนิเบลเซ่อยู่เบื้องหลังอีกเช่นกัน ทั้งเรื่องที่ฟัลซิแพนเดโมเนียมปรากฏตัวขึ้นมา โฮปหายตัวไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งในแผนของพระผู้เป็นเจ้า และในขั้นสุดท้ายก็คือผู้ปลดปล่อย

สโนวอธิบายว่าตามคำสอนของทาง Order ผู้ปลดปล่อยจะชำระล้างวิญญาณของมนุษย์และนำพาพวกเขาไปสุ่โลกใบใหม่

แอเด้ : สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการชำระล้าง หมายความว่ายังไงเหรอคะ?

สโนว : หมายความว่าเราจะลืมทุกอย่างไป ทั้งผู้คนที่ตายไปแล้ว ทั้งความทรงจำที่ผ่านมา ลืมสิ่งเหล่านั้นไปให้หมด แล้วเกิดใหม่บนโลกใบใหม่!

แอเด้ : แสดงว่า... เหตุผลที่เราไม่อาจหวนนึกถึงความทรงจำจากโลกนั้นได้ เพราะว่าวิญญาณของพวกเราถูกชำระล้างไปแล้วใช่มั้ยคะ? ในกระบวนการเกิดใหม่จากโลกอีกใบที่มีโคคูนอยู่ มายังดวงดาวแห่งนี้ ผู้ปลดปล่อยได้...

สโนวรอให้แอเด้พูดจนจบ แอเด้ที่คิดว่าในที่สุดตนก็พบความจริงแล้ว ก็ได้ถามว่า

“ไลท์นิ่งลบความรู้สึกและความทรงจำของพวกเราไป ใช่มั้ยคะ?”

สโนวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วความตึงเครียดนั้นก็หายไปในพริบตา สโนวบอกแอเด้ว่าเธอได้ข้อสรุปที่ผิดแล้ว ไลท์นิ่งสู้กับบูนิเบลเซ่ เพื่อที่จะทุกคนยังคงรักษาความทรงจำของตนไว้ได้อยู่ ตัวแอเด้เองก็คือหลักฐานของเรื่องนั้น

แอเด้ : ฉันเหรอ?

สโนว : ความทรงจำของเธอไม่ได้หายไป เธอแค่จำแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้เท่านั้น ระหว่างที่สัมภาษณ์เธอก็ได้ความทรงจำคืนมาเรื่อย ๆ ใช่มั้ยล่ะ?

แอเด้ : จริงค่ะ แต่ว่า... ถ้าเป็นแบบนั้นฉันยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ฉันเริ่มสืบด้วยความหวังว่าจะได้รู้ความจริงเบื้องหลังความทรงจำที่คลุมเครือ แต่หลังจากที่ได้พบพวกคุณทุกคน และได้ความทรงจำเรื่องโลกนั้นคืนมา ตอนนี้ฉันกลับมีคำถามอีกชุดหนึ่ง... โลกที่ฉันอยู่ตอนนี้คืออะไรกันคะ? ทำไมโลกถึงกลายมาเป็นแบบนี้? ตอนนี้ฉันคิดว่าจุดหมายที่แท้จริงในภารกิจของฉัน ก็คือการหาคำตอบเรื่องนี้

สโนว : เฮ้ เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งหมดนี้ ข้อสงสัยทั้งหมดที่เอมี เธอต้องหาคำตอบด้วยตนเอง นั่นคือเส้นทางที่เธอเลือก ก็เท่านั้นแหละ

สโนวรับรองว่าเมื่อแอเด้ได้พบกับไลท์นิ่งแล้ว เธอจะได้พบคำตอบอย่างแน่นอน แอเด้เลยถามเรื่องที่อยู่ของไลท์นิ่ง แต่สโนวเลี่ยงตอบไปว่า

“ไม่ได้หรอก เรื่องต่าง ๆ มันก็มีขั้นตอนของมันใช่มั้ย? ถ้าเธอบุกไปหาไลท์นิ่งแล้วยิ่งคำถามใส่อย่างกะทันหันแบบนี้ เจ๊เขาจะน่ากลัวมากเลยนะ จะทำให้เธอต้องโกยแนบได้เลย”

แอเด้สงสัยว่าจริง ๆ แล้วสโนวเองก็คงไม่รู้ที่อยู่ของไลท์นิ่ง แต่เธอก็ไม่คิดว่าสโนวจะโกหกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี

แอเด้ : ก้อ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ ฟังดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าได้เจอกันแล้วเขาจะยอมฟังฉันรึเปล่า

สโนว : ไม่ต้องห่วง อย่าเอาแต่ถามคำถามอย่างเดียว บอกให้เจ๊ได้รู้ด้วยว่าเธอรู้สึกอย่างไร แล้วเจ๊จะตอบคำถามนั้นอย่างแน่นอน ฉันมั่นใจ

แอเด้ : ความรู้สึก... ของฉัน?

สโนว : ฉันเคยทำแบบนั้น ตอนที่ไลท์นิ่งกลับมาในฐานะผู้ปลดปล่อย ฉันสงวนท่าทีและไม่ได้เชื่อใจเจ๊ แต่เมื่อฉันส่งมอบความรู้สึกให้กับเจ๊ พวกเราเลยเข้าใจกันและกันได้

แอเด้พยายามนึกว่าเธออยากพูดอะไรกับไลท์นิ่ง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ สโนวจึงช่วยนัดหมายให้แอเด้ได้พบกับโนเอล

ไม่มีความคิดเห็น