อธิบายเนื้อเรื่อง Lightning Returns -Final Fantasy XIII-
Entry นี้เป็นการอธิบายเนื้อหาบางประเด็นของ Lightning Returns -Final Fantasy XIII-
แน่นอนว่าในเมื่อเป็นการอธิบาย เนื้อหาของมันก็ต้องเป็นการ Spoil เต็มๆ
ดังนั้นใครที่ยังไม่ได้เล่นเกมนี้ และต้องการหลีกเลี่ยง Spoil ก็เชิญหลบกันก่อนนะครับ
.
.
.
.
ลูมิน่าเป็นใคร?
แม้จะมัดผมในตำแหน่งข้างใบหูซ้ายเหมือนเซร่าห์ แต่เธอไม่ใช่เซร่าห์ ลูมิน่าคือ... ไลท์นิ่ง
ย้อนกลับไปในตอนที่แม่ของไลท์นิ่งตาย (คลับคล้ายว่าเสียพ่อไปก่อนหน้านั้น) ในวัยที่เซร่าห์และไลท์นิ่งยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ
ภายในจิตใจของไลท์นิ่ง เธอได้ฆ่าตัวตนที่แท้จริงของเธอไป
เธอได้พร่ำสะกดจิตบอกตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อจะเป็นที่พึ่งให้เซร่าห์ได้
จากนั้นมาเธอได้หลอกตัวเองมาตลอดว่าเธอเป็นคนที่กร้าวแกร่ง
ทั้งที่ในส่วนลึกของจิตใจ ไลท์นิ่งยังเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาคนนึง
เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แหละต้องการพ่อแม่ เธออยากเป็นที่รัก
อยากได้รับความสนใจ
ความมืดในจิตใจนั้นได้ก่อตัวขึ้นและหลอมรวมกับเคออสจนเกิดเป็นลูมิน่าขึ้นมา
เหตุผลที่ว่าทำไมลูมิน่าถึงหน้าตาเหมือนเซร่าห์.... อธิบายง่ายๆ เป็นภาษา KH ได้ว่า เธอคือ “ร็อคซัส” โนบอดี้ของโซระที่มีหัวใจของเวนอยู่ จึงมีหน้าตาเหมือนเวน
ในตอนท้ายของ FFXIII-2 หลังจากเซร่าห์ตายไปแล้ว เคออสได้เข้าปกคลุมโลก
ไลท์นิ่งได้สื่อสารกับวิญญาณของเซร่าห์และเลือกที่จะกลายเป็นคริสตัลที่ทำ
หน้าที่ดั่งหลักจารึกที่จะเก็บรักษาความทรงจำและวิญญาณของเซร่าห์เอาไว้
แล้วไลท์นิ่งก็ได้ให้กำเนิดลูมิน่าด้านอ่อนแอของเธอขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
(อารมณ์หยั่งกะตอนโซระให้กำเนิดโนบอดี้ร็อคซัส)
ลูมิน่านั้นคือส่วนหนึ่งของไลท์นิ่ง
แต่เธอก็ได้รับเอาดวงวิญญาณของเซร่าห์เข้าไว้ในร่าง
(เหมือนที่ร็อคซัสมีหัวใจของเวน) ทำให้เธอมีรูปร่างเหมือนเซร่าห์
และแม้ว่าลูมิน่าจะคอยก่อกวนไลท์นิ่งตลอดเรื่อง
แต่เธอก็คอยคุ้มกันดวงวิญญาณของเซร่าห์ที่อยู่ในตัวเธอไม่ให้ถูกเคออสกลืน
กินไป
ด้วยเหตุที่ว่าดวงวิญญาณของเซร่าห์อยู่ในตัวลูมิน่ามาตลอด
จนกระทั่งลูมิน่าได้ปลดปล่อยเซร่าห์ออกมาช่วงท้ายเกม ดังนั้น
เซร่าห์ที่โผล่มาเรื่อยๆ
ตลอดเกมจึงเป็นเซร่าห์ตัวปลอมที่บูนิเบลเซ่สร้างขึ้นเพื่อหลอกไลท์นิ่งให้
เชื่อว่าบูนิเบลเซ่จับดวงวิญญาณของเซร่าห์เป็นตัวประกันไว้
(เซร่าห์ที่ใส่ชุดของภาคแรกเป็นตัวปลอม เซร่าห์ตัวจริงใส่ชุดของภาคสอง)
เซร่าห์ตัวปลอมนี้ไม่มีดวงวิญญาณ และทำท่าทางเลียนแบบตัวจริงเท่านั้น
ในตอนท้ายของ LR ไลท์นิ่งคิดจะสละชีพเพื่อทุกคน
เธอคิดจะกำจัดบูนิเบลเซ่ด้วยตัวเองคนเดียว แต่แล้วเธอกลับตกสู่ความมืดมิด
(ไอเดียแบบนี้นี่มัน... Kingdom Hearts ชัดๆ)
เซร่าห์ตัวปลอมก็โผล่ออกมาแกล้งพูดว่าเธอจะทิ้งไลท์นิ่งให้อยู่ตัวคนเดียวใน
ความมืดแบบนี้ ซึ่งนั่นเป็นการกระตุ้นให้ไลท์นิ่งเผยความอ่อนแอออกมา
ตอนนั้นเองไลท์นิ่งได้กรีดร้อง “อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว! ใครก็ได้... ช่วยด้วย!”
แล้วร้องไห้ออกมา เธอถึงได้ยอมรับว่าแท้จริงแล้วเธอก็ยังคือลูมิน่า
ที่ยังคงมีความหวาดกลัว เหงา และอ่อนแอ
ท้ายที่สุดไลท์นิ่งก็ยอมรับการมีอยู่ของด้านที่อ่อนแอของตน
ลูมิน่าจึงปรากฏตัวขึ้นมากลางความมืดแล้วพุ่งเข้าไปกอด รวม ร่าง
แล้วหายกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับไลท์นิ่งอีกครั้ง กลับเป็นเอแคลร์ ฟาร์รอน
ตัวตนคนเดิมที่แท้จริงของเธอ
ว่าแล้วโฮปก็โผล่มาจากแสงสว่างคว้ามือเอแคลร์เอาไว้.... (เฮ่ย... FFVII เหรอ?)
“ผมได้ยินเสียงของคุณนะ” แล้วพาเอแคลร์ออกจากความมืด
กลับไปไฟต์กับบูนิเบลเซ่ต่อได้สำเร็จ
แผนของบูนิเบลเซ่
ตอนที่ลินด์เซย์ปลุกบูนิเบลเซ่ให้ตื่นจากสภาพคริสตัล
บูนิเบลเซ่เห็นว่าพิภพของเขาแปดเปื้อนและอยากจะชำระล้างมัน ตอนนั้นเองบูจัง
(จากนี้ไปขอเรียกแบบย่อๆ ละกัน) ได้เห็นมนุษย์ที่เกิดจากเลือดของเอโทร
บูจังเห็นว่ามนุษย์นั้นสกปรก ไม่สมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง
บูจังเลยคิดที่จะชำระล้างมวลมนุษย์แล้วให้มนุษย์ไปอยู่ในโลกใหม่ด้วย
ซึ่งการชำระล้างนั้นก็คือการลบความทรงจำแย่ๆ ในอดีต
ขจัดซึ่งความเกลียดและสิ้นหวัง
เพื่อให้มนุษย์ได้อยู่บนโลกใหม่อันบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความสุขอันล้นพ้น
แต่ไลท์นิ่งไม่เห็นด้วย และบอกว่าทำแบบนั้น
มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากตุ๊กตาที่ไร้จิตใจของบูจัง
แม้จะเป็นพระเจ้าของพิภพนี้
ทว่าบูจังก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเคออสและดวงวิญญาณได้
ดังนั้นเพื่อจะทำความเข้าใจมนุษย์ให้มากขึ้น
บูจังจึงมองหาร่างภาชนะที่จะมาเป็นหุ่นเชิดให้กับตน ซึ่งเขาก็เลือกโฮป
บูจังพรากโฮปออกมาจากโลกเมื่อ 169 ปีก่อนเริ่มเกม
เขาทำให้โฮปกลับสู่สภาพเด็กที่ยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
และทำการทรมานโฮปอย่างเหี้ยมโหด เพื่อให้โฮปเข้าสู่สภาพที่ไร้จิตใจ
บริสุทธิ์ในความหมายของพระเจ้า
เพื่อจะได้เป็นหุ่นเชิดที่ที่เหมาะสมสำหรับพระเจ้าได้
***บริสุทธิ์ในความหมายของบูจังมันจะออกแนว ไร้เดียงสาเฉกเช่นเด็กแรกเกิด หรือไร้จิตใจแบบเทพจักรกลอย่างฟัลซิไปเลย
จากนั้นบูจังก็ต้องการทาสรับใช้ ที่จะทำหน้าที่รวบรวมดวงวิญญาณที่มองไม่เห็นให้กับตน เพื่อจะนำดวงวิญญาณเหล่านี้มาชำระล้างก่อนพาไปสู่โลกใหม่ ซึ่งบูจังก็เลือกไลท์นิ่งให้เป็นผู้รับบทบาทนั้น ทั้งนี้บูจังยังเห็นว่าไลท์นิ่งสามารถรับบทบาทเป็นเทพธิดาแห่งความตายแทนเอ โทรได้ เลยพยายามที่จะทำให้ไลท์นิ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ปราศจากจิตใจแบบเดียวกับที่ทำกับโฮป ทว่าด้วยความเป็นลูกรักของโทริยามะ... ไลท์นิ่งเลยขัดขวางแผนของบูจังเอาไว้ได้
ฝรั่งบางคนพูดกันว่า แผนการ ความคิดของบูนิเบลเซ่ มันไม่เท่เอาซะเลย
ดูเป็นตัวร้ายดาดๆ ขี้ขลาด ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ด้วยจุดประสงค์ประหลาดๆ
เทียบกันแล้วไคอัสทนเห็นยูลตายซ้ำตายซากไม่ไหว
เลยทำทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยเคออสมาสู่โลก ยังน่าเห็นใจ และเท่กว่ากันเยอะ
***โฮปที่อยู่ในอาร์คที่เห็นตั้งแต่ต้นเกมนั้นเป็นโฮปตัวจริง
แต่ว่าจิตใจของเขาโดนบูจังครอบงำไว้
ทุกสิ่งที่โฮปคิดและรับรู้จึงถูกส่งไปถึงบูจัง
โดยบูจังก็กะเอาไว้ว่าเมื่อโลกถึงวาระสุดท้ายแล้วเขาก็จะเข้าไปครอบงำร่าง
ของโฮปโดยสมบูรณ์ ซึ่งโฮปก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้น เมื่อใกล้ถึงวันสุดท้าย
โฮปจึงทำตัวแปลกๆ และพยายามจะห้ามไลท์นิ่งออกจากอาร์ค
เพราะเขาไม่อยากจะถูกบูจังครอบงำโดยสมบูรณ์
เรื่องของโนเอล
โนเอลเชื่อในภาพนิมิตที่บันทึกอยู่ในตำราพยาการณ์ (Oracle Drive) ที่ว่าผู้ปลดปล่อย
ไลท์นิ่งจะทำลายโลก เขาต้องกำจัดไลท์นิ่งซะ แล้วเขาจะได้พบกับยูลอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้โนเอลจึงเข้ามาต่อสู้กับไลท์นิ่ง
ซึ่งไลท์นิ่งก็ใช้คำพูดยั่วยุโนเอลไว้มาก
สุดท้ายเมื่อสู้กันไลท์นิ่งก็ชนะขาด
โนเอลบอกว่าเมื่อมือเขาโชกไปด้วยเลือดของไลท์นิ่ง เขาก็จะได้พบยูลอีกครั้ง!
แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาฆ่าไลท์นิ่งไป และได้ไปสู่อนาคตตามที่เห็นในนิมิต
ยูลก็คงไม่ดีใจ ว่าแล้วโนเอลก็ปาดาบใส่เครื่องบันทึกภาพนิมิตจนพัง
โนเอลอธิบายว่ายูลมีพลังในการมองอนาคต
เธอถูกบังคับให้มองอนาคตอันเจ็บปวดหลายร้อยครั้ง
ทุกครั้งที่เห็นก็จะทำให้อายุขัยของเธอสั้นลง
เธอเห็นด้วยซ้ำว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะตายเมื่อไหร่ ตายยังไง แต่ว่า..
อยู่กลับยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะเจออนาคตที่โหดร้ายอยู่ข้างหน้า
เธอก็ยังคงหัวเราะ แต่แล้วตัวเขาเองล่ะ?
พอเห็นอนาคตแล้วก็กลับหมกมุ่นกับมัน คิดแต่จะฆ่าไลท์นิ่ง
ยูลคงไม่อยากจะพบเขาที่เป็นแบบนี้
การที่โนเอลทำลายเครื่องบันทึกคำพยากรณ์
ก็เหมือนเป็นการบอกให้ตัวเองเลิกหมกมุ่นกับมัน
เขาคิดว่าทำแบบนี้ก็หมายความว่าเขาไม่อาจทำให้นิมิตเป็นจริง
และคงไม่ได้พบยูลอีกแล้ว ทว่าตอนนี้เอง
วิญญาณของยูลก็ปรากฏขึ้นและบอกให้โนเอลเชื่อคำชี้นำของไลท์นิ่ง
แล้ววิญญาณของโนเอลจะได้ไปสู่โลกใบใหม่
ด้านไลท์นิ่งก็บอกว่าเธอจงใจใช้คำพูดแรงๆ
ต้อนโนเอลให้ปลดปล่อยความมืดในจิตใจที่สั่งสมมานานหลายร้อยปี
และจะนำพาดวงวิญญาณของโนเอลไปสู่โลกใหม่ สถานที่ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มันอาจไม่ใช่สรวงสวรรค์ของพระเจ้า
แต่เป็นโลกที่เราจะได้ใช้ชีวิตและทำงานตามปกติ
โนเอลบอกว่าในโลกนั้นคงไม่มีที่สำหรับชาโดว์ฮันเตอร์แบบเขา
ดังนั้นก่อนที่โลกใหม่จะเกิดขึ้น เขาจะตัดพันธนาการกับความมืดทิ้งให่ได้
เขาสัญญา
ฉากตอนเริ่มวันสุดท้าย ที่วิญญาณของโฮปมาลาไลท์นิ่ง
ไลท์นิ่งบอกโฮปว่าวานิลล์จะเริ่มพิธีกรรม
แล้ว
โฮปเลยบอกว่าพิธีกรรมจะทำให้วิญญาณทั้งหมดได้รับการปลดปล่อยจากความเศร้าและ
สิ้นหวัง ถ้าผู้ตายจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว งั้นตัวเขาจะ....
วิญญาณของเขาจะได้รับการปลดปล่อยด้วยมั้ย?
โฮป : ไลท์ซัง ผมมาที่นี่เพื่อบอกลา
ไลท์นิ่ง : พูดอะไรของนาย
โฮป :
สายไปแล้ว บทของผมคือการเป็นดวงตาให้บูนิเบลเซ่และคอยจับตาดูคุณ
แต่เมื่อมาถึงวันสิ้นโลกแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจับตาดูคุณอีกต่อไป...
ผมกำลังจะหายไป ตัวหมากที่ทำหน้าที่ลุล่วงแล้วก็ควรถูกลบทิ้งไป
นั่นคือแผนของพระองค์
ไลท์นิ่ง : บูนิเบลเซ่จะกำจัดแกเหรอ!?
โฮป :
ช่วยไม่ได้แหละนะ... ผมเองก็เสียใจกับการเป็นเพียงของเล่นใช้แล้วทิ้ง
ดังนั้น ได้โปรดลืมผม และช่วยทุกคนให้ได้นะ ตอนนี้
วานิลล์กำลังเตรียมสละชีวิตตัวเองเพื่อประกอบพิธีกรรมแล้ว
ไลท์นิ่ง : ในพิธีกรรม วานิลล์จะชำระล้างวิญญาณของผู้ตาย และก็จะชี้นำวิญญาณเหล่านั้นไปยังโลกใหม่
โฮป :
วานิลล์ไม่ได้ตระหนักถึงพลังของตัวเอง ถ้าบอกเธอไปแบบนี้
ผมเชื่อว่าเธอจะเลือกทางที่ถูกต้อง และจะเป็นหนทางที่ถูกต้องสำหรับคุณ
และผมเชื่อว่ามันจะช่วยเซร่าห์ได้
ไลท์นิ่ง : ถึงฉันอยากจะช่วยเซร่าห์ แต่ฉันก็หาวิญญาณของเธอไม่พบ... ฉันไม่เห็นเธออีกแล้ว
โฮป : ไม่เป็นไรหรอก เซร่าห์คอยเฝ้าดูคุณอยู่เสมอ ถ้าคุณเลือกหนทางที่ถูกต้อง ผมรู้ว่าเซร่าห์จะกลับมา
ไลท์นิ่ง : หนทางที่ถูกต้อง? กับคนที่ก่อแต่ความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นคำขอที่ยากอยู่นะ
โฮป : ไม่หรอก มันง่ายนิดเดียว แค่นึกถึงโลกที่เซร่าห์ต้องการ ไลท์นิ่งในแบบที่เซร่าห์อยากให้เป็น แล้วคุณจะรู้เองว่าต้องทำยังไง
ไลท์นิ่ง :
ฉันไม่มั่นใจ ฉันคิดเสมอว่าฉันรู้ว่าเซร่าห์ต้องการอะไร
แต่แล้วหัวใจของเรากลับมีแต่จะห่างไกลกันยิ่งขึ้น
ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกัน
มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเข้าใจหัวใจของกันและกัน
โฮป :
เห็นด้วยนะ การจะเข้าใจหัวใจของกันและกันนั้นมันยาก
แต่นั่นก็คือเหตุผลที่เราพยายามเข้าหากัน
ผมเชื่อนะว่าคนเราสามารถที่จะเข้าใจกันและกันได้
เพียงแค่เดินทางและฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน รวมถึงโต้เถียงกัน
ไลท์นิ่ง : แต่ฉันกลับไม่ได้พยายามจะเข้าใจนายเลย ฉันไม่ได้เชื่อใจนาย และมีความลับกับนายด้วยซ้ำ
โฮป : ไม่หรอก ในตอนนี้ที่ผมเป็นเพียงตัวหมากของบูนิเบลเซ่ คุณทำถูกแล้วที่ไม่เปิดใจให้ผม
ไลท์นิ่ง : ขอโทษนะ...
โฮป :
ไม่ต้องหรอก อย่างน้อยผมก็ได้คุยกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย
ในสภาพตัวตนที่แท้จริงของผม...
คุณจำได้มั้ยว่าคุณเคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้วว่า “มองข้างหน้าไว้
ฉันจะระวังหลังให้เอง”
ไลท์นิ่ง : แต่ก็ล้มเหลว ฉันปกป้องนายไว้ไม่ได้
โฮป : ไม่ใช่หรอก เพราะคุณ ผมเชื่อว่าคุณอยู่กับผมมาตลอด ผมจึงไม่เคยเกรงกลัวต่ออนาคต กระทั่งตอนนี้... ผมก็ไม่กลัว ผมดีใจ ที่ได้พบคุณนะ
ไลท์นิ่ง : โฮป!
ว่าแล้วโฮปก็หายไป
ไลท์นิ่งกลับสู่อาร์คแล้วรำพันคนเดียว “นายทิ้งฉันไว้จริงๆ เหรอโฮป หรือเป็นฉันกันแน่ที่ทิ้งนายไป...? ฉันจะช่วยนายเอง”
ฉากพิธีกรรม
จากนั้นในวันสุดท้าย เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์
ก็มีฉากที่ไลท์นิ่งคุยกับแฟงก์ถึงเรื่องพิธีกรรมที่วานิลล์กำลังจะทำบ้าง
แฟงก์บอกว่ามันคือพิธีชำระดวงวิญญาณที่มีห่วงของผู้ตาย (ไปเกิดใหม่ไม่ได้)
เพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากความเศร้าและเจ็บปวด
ผู้ตายจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า... ซึ่งนั่นแลกมาด้วยชีวิตของวานิลล์ แต่ไลท์
นิ่งบอกว่านั่นไม่ใช่พิธีกรรมที่มีจุดหมายให้ผู้ตายได้รับการปลดปล่อย
แต่เป็นพิธีกรรมเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มันคือการทำให้ผู้ตายสูญสลายไป
แล้วความทรงจำที่ว่าพวกเขาเคยมีตัวตนอยู่ก็จะหายไปจากโลกด้วย ด้วยเหตุนี้
คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากความเศร้าและสิ้นหวัง
นั่นต่างหากคือแผนที่แท้จริงของพวกที่บูชาบูจัง
ไลท์นิ่งกับแฟงก์บุกไปถึงห้องพิธีกรรม
จะพบแสงที่เป็นดวงวิญญาณของผู้ตายมารวมตัวกันที่นี่ตามคำเชิญของวานิลล์
มิโกะหญิงก็จะเข้ามาขวางบอกว่าวิญญาณพวกนี้มารอรับการช่วยเหลือ
แสงแห่งพระเจ้าจะช่วยชำระล้างให้พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากความเจ็บปวด
วานิลล์ก็บอกว่าวิญญาณพวกนี้ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ พวกเขาทนทุกข์ตลอดมา
เราจะละเลยพวกเขาไม่ได้
ตอนนั้นเอง
ไลท์นิ่งจึงเฉลยไปว่าเธอมาที่นี่เพื่อจะหยุดวานิลล์
เพราะพิธีกรรมนี้จะเป็นการทำให้ผู้ตายสาบสูญไป
คนเป็นอย่างพวกเราก็จะลืมเรื่องของผู้ตายไปจนหมด ความทรงจำต่างๆ
ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็จะหายไป
***พูดแล้ว
ผมนึกถึงเรื่องโลกของ FF Type-0 ที่อเรเซียเซตโลกไว้ว่า เวลามีคนตายแล้ว
คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะลืมความทรงจำเรื่องของผู้ตายไปจนหมด
เรื่องนี้อาจอธิบายได้ว่าอเรเซียได้ลบล้างดวงวิญญาณของผู้ตายไปนั่นเอง –
อีกเรื่องหนึ่งที่นึกถึงคือ KH ตอนที่นามิเนะเลือนความทรงจำของโซระให้หายไป
ไม่เพียงความทรงจำในหัวของโซระเท่านั้นที่ถูกเลือน
แต่ความทรงจำเรื่องของโซระในหัวของเพื่อนทุกๆ คนก็ถูกเลือนไปด้วย
เรื่องเหล่านี้ทำให้ผมสงสัยว่าชาวญี่ปุ่นเขาอาจมีความเชื่อว่า “ความทรงจำ”
ในหัวของคนเป็นแต่ละคนนั้นเชื่อมต่อกัน
และความทรงจำนั้นก็เชื่อมต่อกับดวงวิญญาณของผู้ตายด้วย.... –
และยังสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าความฝันของแต่ละคนเชื่อมต่อกัน
ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไป
ด้านมิโกะก็รีบแทรกขึ้นพูดว่าพระเจ้าแห่งแสงปรารถนาแต่ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์
พระองค์ไม่ต้องการดวงวิญญาณที่อ่อนแอซึ่งไม่อาจทนอยู่ในโลกที่กำลังจะตายนี้
ได้ (ไม่ต้องการดวงวิญญาณของผู้ตาย)
และท่านไม่ต้องให้คนเป็นมีความทรงจำอันมืดมิดเจ็บปวด
(ก็เลยจะลบดวงวิญญาณผู้ตาย เพื่อให้คนเป็นลืมเรื่องของผู้ตาย
ไม่มีความทรงจำอันเจ็บปวดอีก)
ดวงวิญญาณที่ถูกพระองค์เลือกแล้วอย่างพวกเราจะได้มีแต่ความสุขชั่วนิรันดร์
***ประเด็น
นี้ต่างจาก FF Type-0
ตรงที่อเรเซียลบความทรงจำเรื่องของผู้ตายไปจากหัวของมนุษย์ทุกคน
เพื่อให้มนุษย์ไม่เข้าใจถึง “การสูญเสีย”
จะได้มีกำลังใจที่จะทำสงครามต่อไปเรื่อยๆ แต่ใน LR
บูจังต้องการให้มนุษย์ลืมเรื่องผู้ตาย เพื่อจะได้ไม่เจ็บปวด
จะได้เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์
ด้านแฟงก์กับไลท์นิ่งก็รีบสุมไฟว่า เจ้าพวกนี้มันเห็นผู้ตายเป็นอุปสรรคต่อโลก
แต่วานิลล์บอกว่าเธอยังต้องไถ่บาปต่อชีวิตจำนวนมากที่เธอทำให้ตาย
เสียงทนทุกข์ของผู้ตายมันเสียดแทงจนเธอละเลยไม่ได้
ไลท์นิ่งเลยสวนไปว่าวานิลล์ปรารถนาที่จะถูกลงโทษ
ยินดีที่จะตายไปกับพิธีกรรมนี้
วานิลล์เชื่อว่าถ้าตัวเองตายไปแล้วก็จะได้รับการให้อภัย
แต่ลองฟังเสียงของผู้ตายอีกสักครั้งสิ! ว่าพวกเขาอยากให้เธอตายจริงๆ เหรอ?
ในตอนนั้นเสียงของผู้ตายเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
มิโกะอธิบายว่าต้องให้วานิลล์สังเวยตัวเองทำพิธีกรรมนี้เพื่อชำระล้างพวกเขา
แต่แฟงก์บอกว่านั่นคือความเคียดแค้นที่จะโดนลืมต่างหากว้อย
หลังจากวานิลล์ได้ตั้งใจฟังเสียงของผู้ตายแล้ว เธอได้ยินเสียงของความทุกข์
สิ้นหวัง และความปรารถนา เหล่าผู้ตายต้องการให้ความเจ็บปวดสิ้นสุดลง
แต่ไม่ว่าจะเศร้าและเจ็บปวดแค่ไหนแต่ไม่มีใครต้องการจะดับสูญไป พวกเขาต่างวาดฝันที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง
ไลท์นิ่งบอกว่าความสิ้นหวังจะทำให้ผู้คนไม่พูด
คนที่สูญเสียความหวังทั้งหมดจะไม่ดิ้นรนและกรีดร้องใดๆ
แต่คนตายที่ยังไม่เป็นสุข และยังส่งเสียงเพรียกร้องออกมา
ก็เพราะว่าพวกเขายังมีความหวัง
จากจุดนี้วานิลล์ถึงยอมรับว่าเธอเข้าใจผิดมาตลอด
และเกือบจะลบล้างพวกเขาไปแล้ว ไลท์นิ่งจึงบอกว่าพวกเธอยังไถ่บาปได้
ด้วยการเรียกพวกเขามา แล้วบอกให้มุ่งหน้าไปยังอาร์คหากปรารถนาที่จะเกิดใหม่
วานิลล์ไม่แน่ใจว่าการชี้นำวิญญาณที่กำลังเกรี้ยวกราดแบบนั้นจะปลอดภัยกับเธอมั้ย?
แฟงก์เลยบอกว่าจะช่วยด้วยอีกแรง
ทว่ามิโกะไม่พอใจที่พวกเรามาขัดขวางพิธีกรรมอันเป็นประสงค์ของพระเจ้า
จึงเรียกทหารมาจะลงโทษพวกเราในนามของพระเจ้า
แต่ไลท์นิ่งบอกว่ามนุษย์มีพลังที่จะปฏิเสธพระเจ้า
ว่าแล้วพวกไลท์นิ่งก็กับทหาร โดยสโนวก็บุกเข้ามาในโบสถ์
ช่วยทำลายเครื่องมือประกอบพิธีกรรมด้วย
จากนั้นพอเหตุการณ์สงบวานิลล์กับแฟงก์ก็ช่วยกันสื่อสารกับคนตาย
บอกว่าดวงวิญญาณที่เร่ร่อนในเคออส
ความเจ็บปวดของพวกท่านจะยุติลงพร้อมกับโลกนี้
เมื่อเสียงระฆังครั้งสุดท้ายกังวาน จงทิ้งโลกใบนี้ไป
และมุ่งสู่อาร์คที่อยู่บนสรวงสวรรค์
นั่นเป็นความหวังใหม่ในการที่พวกท่านจะได้เกิดใหม่อีกครั้งในโลกใบใหม่
และเป็นการไถ่บาปของฉัน ทั้งคนเป็นและคนตาย เราจะจับมือร่วมกันไปสู่โลกใหม่
ถัดมายูลกับลูมิน่าก็โผล่ออกมา ลูมิน่าบอกว่าท้ายที่สุดฉันก็จะคืนคนที่ไลท์นิ่งต้องการที่สุดให้ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว
ยูลอธิบายต่อทันทีว่า (ตอนแรกวิญญาณและความทรงจำของเซร่าห์เก็บไว้ในตัวไลท์นิ่งที่กลายเป็นคริ สตัล) ลูมิน่าเป็นเพียงกล่องที่จะเก็บความทรงจำของเซร่าห์ให้คงอยู่ต่อไป ตอนที่ไลท์นิ่งตื่นจากสภาพคริสตัล บูจังก็ได้พรากวิญญาณของเซร่าห์ออกมาจากตัวไลท์นิ่ง ถ้าปล่อยไว้วิญญาณของเซร่าห์ก็จะหายไปในเคออส แต่แล้วลูมิน่าก็รับวิญญาณของเซร่าห์เข้าไปเก็บไว้ในร่าง ทำให้วิญญาณของเซร่าห์ยังไม่หายไป
ลูมิน่าเองก็บอกว่าเธอเป็นเพียงภาชนะ แต่ในไม่ช้า
เวลาที่เธอจะได้มีชีวิตอยู่โดยเป็นตัวของเธอเองใกล้จะมาถึงแล้ว
(หมายถึงกลับไปรวมกับไลท์นิ่ง เป็นเอแคลร์อีกครั้ง)
จากนั้นเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น บ่งบอกว่าพระเจ้ากำลังจะมาแล้ว บูนิเบลเซ่ที่ใช้ร่างโฮปอยู่ก็โผล่ออกมาแล้วดูดกลืนสโนว แฟงก์ และวานิลล์เข้าไป แล้วบอกให้ไลท์นิ่งตามมาดูการกำเนิดของโลกใหม่ด้วยกัน
บทส่งท้าย (คาดว่าเป็นฝรั่งเศส...)
ไลท์นิ่ง : การเดินทางของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว แล้วตอนนี้ อะไรที่รอฉันอยู่กันนะ...?
ไลท์นิ่ง : การเดินทางครั้งใหม่
ไลท์นิ่ง : อ่า กำลังจะไปหานะ
ไลท์นิ่ง : การเดินทางครั้งใหม่
ไลท์นิ่ง : อ่า กำลังจะไปหานะ
คาดว่าเป็นการเดินทางตามหาพวกพ้องที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก
*Blanc Chateau = ปราสาทขาว
---------------------------------------------------------
ข้อมูลทั้งหมดนี้ มาจากที่เล่นเอง ประกอบกับข้อมูลช่วยเหลือจากเว็บ GameFaqs, กระทู้สุ่มหัวคุยกันใน Mogcentral และที่ขาดไม่ได้เลยคือ tensai-shoujo.tumblr ครับ
Post a Comment