อธิบายเนื้อเรื่อง Lightning Returns -Final Fantasy XIII- [4]
คัตซีนตอนไลท์นิ่งเจอลูมิน่าในลุคเซริโอ
ลูมิน่าบอกว่าโนเอลไม่ได้สนใจว่าไลท์นิ่งจะเป็นยังไง ตอนนี้โนเอลจมปลักอยู่กับความทรงจำของผู้ตาย เพื่อนบอกไว้ว่าโนเอลเคยมีคนที่สำคัญที่สุดชื่อว่ายูล วันหนึ่งยูลก็ตายไปต่อหน้าต่อตาย ก่อนจะสิ้นใจ ยูลบอกโนเอลไว้ว่าอย่าร้องไห้ เราจะได้พบกันอีกครั้ง ยูลคือโหรที่มีพลังในการมองอนาคต คำทำนายของเธอจะเป็นจริงเสนอ โนเอลจึงเชื่อว่าจะได้พบเธออีกครั้ง เขาวาดฝันที่วันที่จะได้กลับมาพบกัน รอคอยมาหลายรอยปีด้วยความหงอยเหงา
ไลท์นิ่งฟังแล้วก็เข้าใจว่าคำทำนายนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้โนเอลยังคงปรารถนาที่จะมีชีวิตต่อไป
ลูมิน่าบอกว่าโนเอลยังฝันถึงอนาคตอันสงบสุข ไลท์นิ่งน่าจะลองไปดูคำทำนายในตำราพยากรณ์สิ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมโนเอลถึงอยากฆ่าเธอ (ในนั้นมีภาพที่พอโนเอลฆ่าไลท์นิ่งแล้วก็ได้พบกับอนาคตดังหวัง)
คัตซีนก่อนสู้กับโนเอล
ไลท์นิ่ง : โนเอล นี่คือคำทำนายของฉันสินะ เมื่อผู้ปลดปล่อยถูกสังหาร โลกใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น ยูล... ฉันเข้าใจแล้ว นายฝันถึงการกลับมาพบกับยูลอีกครั้งในโลกใบใหม่
โนเอล : ไม่ใช่ความฝัน ฉันจะทำให้มันเป็นจริง เมื่อกำจัดผู้ปลดปล่อยได้ โลกใหม่ก็จะเกิดขึ้น คราวนี้ ฉันจะทำให้ได้ นานมาแล้ว ฉันพยายามช่วยโลกนี้จากศัตรูผู้แข็งแกร่ง แต่ฉันพลาดไป เมื่อล้มเขาได้ ฉันก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไป เคออสได้ทะลักเข้าท่วมพิภพ และโลกก็เริ่มจะล่มสลาย ฉัน... เป็นคนทำให้โลกนี้พินาศ แต่สโนวกลับไม่เคยตำหนิฉัน แถมโฮปยังรีบรวบรวมผู้คนกลับมาต่อสู้กับเคออส แน่นอน ฉันต่อสู้ร่วมไปกับพวกเขา ทว่ามันไม่มีประโยชน์ หายนะที่ฉันนำพาจะทำให้โลกจบสิ้นลงในไม่ช้า ฉันจมอยู่กับบาปนี้มาร่วม 500 ปี
ไลท์นิ่ง : โนเอล ความพินาศของโลกไม่ใช่บาปของนายหรอกนะ ฉันต่างหากที่ผิด
โนเอล : ฉันไม่สนว่าจะเป็นความผิดของใครอีกแล้ว! ฉันต้องการมองไปข้างหน้า คำทำนายนี้แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ในอนาคต อนาคตที่ยูลรอคอยอยู่ ฉันไม่ได้มีเรื่องผิดใจกับเธอ ฉันรู้ว่าคงเห็นแก่ตัวที่ต้องขอให้เธอตายไปตามคำทำนาย แต่ฉันต้องทำให้เธอตาย ฉันแบกรับบาปอันหนักหน่วงนี้มากว่า 500 ปีแล้ว แม้การฆ่าเธอจะทำให้ฉันต้องแบกรับบาปมากขึ้น แต่มันก็ไม่ต่างไปจากเดิมนักหรอก!
โนเอลพุ่งเข้าไปโจมตีใส่ไลท์นิ่งสุดกำลัง แต่ไลท์นิ่งใช้มือข้างเดียวรับไว้ได้สบาย
ไลท์นิ่ง : เต็มที่แล้วเหรอ?
โนเอล : สมเป็นพลังของผู้ปลดปล่อยแห่งพระเจ้า
ไลท์นิ่ง : พลังที่รับมาจากพระเจ้า หรืออาจเป็นพลังที่ได้จากการละทิ้งความเป็นมนุษย์ไป ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า
โนเอล : ไม่ใช่มนุษย์รึ? งั้นเธอก็เป็นมอนสเตอร์ไร้หัวใจสินะ
ไลท์นิ่ง : อาจจะใช่ กว่าจะถึงจุดนี้ฉันได้เอาชีวิตคนอื่นมามากมาย ถ้าเป็นคนธรรมดาคงต้องแหลกสลายไปเพราะความรู้สึกผิดต่อบาป แต่ฉันยังคงอยู่ที่นี่ เดินหน้าสู้ต่อไป ฉันสนเพียงการได้พบเซร่าห์อีกครั้ง ฉะนั้นฉันจึงอาจเป็นแค่มอนสเตอร์ที่ไร้จิตใจ แต่นายก็ไม่ต่างกัน โนเอล แม้จะเพื่อช่วยโลก แม้จะทำให้นายได้พบยูลอีกครั้ง แต่นายก็ไม่มีสิทธิมากำหนดให้ฉันต้องตาย นายยังเป็นแค่คนธรรมดา ต่อให้เป็นการช่วยโลก นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลให้นายฆ่าคนอื่นได้ เพราะนายเองก็เชื่อแบบนั้นจากใจจริง นายถึงไม่สามารถเอาชีวิตคนอื่นได้
(พูดแล้วทำให้ผมนึกถึง FFXIII ภาคแรก ตอนที่สโนวเดินทางกับโฮปที่พาลัมโพลัม กับตอนอยู่กันครบที่ยานพาราเมเซีย สโนวทำเป็นว๊ากขู่ศัตรูให้ถอยไปหากไม่อยากตาย ไลท์นิ่งแย้งว่าศัตรูมันจะเชื่อเหรอ? แต่สโนวบอกว่าถ้ามีคนกลัวแล้วหนีไปบ้างก็ดีแล้ว เราสูญเสียกันมาเยอะ ยังไงชาวโคคูนก็คือเพื่อนมนุษย์ของเรา ถ้าลดการต่อสู้ ลดจำนวนผู้บาดเจ็บไปได้บ้างก็ยิ่งดี – ถัดมาตอนมาถึงเอเดน สโนวก็ใช้วิธีขู่แบบเดิมอีก สมเป็นชายที่มีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องคนอื่นจริง)
โนเอล : เธอหมายความว่าฉันไม่มีทางชนะเธอได้งั้นเหรอ!?
ไลท์นิ่ง : ใช่ มันมีแต่จะเป็นการทำให้เวลาอันจำกัดของพวกเราเสียเปล่า และฉันก็ไม่มีเวลาจะมาเล่นกับนาย ถ้านายขัดขวางฉัน ฉันก็จะโค่นนายซะ
โนเอล : เธอต้องล้อเล่นแน่ๆ...! เธอจะทำแบบนั้นได้ยังไง ไลท์นิ่ง!/
ไลท์นิ่ง : ฉันก็แค่ตัวตนที่คล้ายหุ่นยนต์ ปรารถนาสิ่งเดียวคือการช่วยเซร่าห์ แม้ฉันจะไม่ได้มีเรื่องผิดใจกับนาย ฉันเป็นมอนสเตอร์ไร้หัวใจที่ตั้งใจจะฆ่านายที่มาขัดขวาง ลาก่อนโนเอล ตายแล้วไปอยู่กับยูลที่นายรักเสีย!
โนเอล : ใช่แล้ว ฉันจะต้องได้พบเธออีก แต่... จะพบกันในชีวิตจริง ในอนาคตที่ยูลเฝ้าคอย ฉันจะทำให้คำทำนายเป็นจริง ด้วยการสังหารเธอ!
คัตซีนตอนวันโลกแตก ไลท์นิ่งที่มาถึงหน้าโบสถ์ในเมืองลุคเซริโอพบกับลูมิน่า
หมายเหตุ :-
วิญญาณบริสุทธิ์ – หมายถึงวิญญาณของคนที่มีความไร้เดียงสาแบบทารก หรือไร้จิตใจแบบจักรกล (บูจังจะพาไปโลกใหม่)
วิญญาณปกติ ที่ยังไม่แปดเปื้อน – หมายถึงวิญญาณของคนทั่วไป (บูจังจะทำให้บริสุทธิ์แล้วพาไปโลกใหม่)
วิญญาณที่แปดเปื้อน – วิญญาณของคนที่ตายไปก่อนวันสิ้นโลก กลายเป็นดวงวิญญาณร้ายที่ไม่ดับสูญ ไม่เกิดใหม่ จมอยู่กับความทุกข์ท่ามกลางเคออสมานาน (บูจังจะทำให้ดับสูญไป)
ลูมิน่า : จุดจบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คำว่า “วันพรุ่งนี้” ไม่มีความหมายอีกต่อไป ชีวิตและความตายจะรวมเป็นหนึ่ง เพื่อการเกิดใหม่อีกครั้งบนโลกใหม่ เราทั้งหมดจะต้องตายลงที่นี่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือ เฉพาะวิญญาณที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะก้าวข้ามความตายและเกิดใหม่ (ลูมิน่าหมายถึงวิญญาณของคนปกติที่พึ่งตายในวันสิ้นโลก) คนที่ตายไปแล้วในอดีตจะดับสูญไปพร้อมกับโลกนี้ (ลูมิน่าหมายถึงวิญญาณที่แปดเปื้อน) วิญญาณของผู้ตายนั้นเชื่อมโยงกับความทรงจำของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะจดจำพวกเขาไว้และสืบทอดเรื่องราวต่อไป ด้วยเหตุนี้ วิญญาณของผู้ตายก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป
ไลท์นิ่ง : วิญญาณของผู้ตายดำรงอยู่ได้ก็เพราะคนเป็นจดจำพวกเขาเอาไว้ แต่หากเราลืมความทรงจำเรื่องของผู้ตาย...
ลูมิน่า : วิญญาณผู้ตายที่ถูกลืมเลือนก็จะพินาศไป ในทางกลับกันก็เหมือนกัน ถ้าผู้ตายพินาศไป ความทรงจำที่พวกเรามีต่อเขาก็จะหายไป เราจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวของผู้ตายทุกคนได้อีก นั่นแหละคือพิธีกรรมแห่งการชำระล้างและการลืมเลือน
ไลท์นิ่ง : ฉะนั้น Salvation Council ก็กำลังทำพิธีกรรมเพื่อ...
ลูมิน่า : ใช้พลังของวานิลล์รวบรวมผู้ตายแล้วล้างวิญญาณเหล่านั้น จากนั้นผู้คนที่ยังอยู่ก็จะลืมความทรงจำของการสูญเสียผู้ตาย ลืมความโศกเศร้าต่อผู้ตายไปจนหมด
ไลท์นิ่ง : ทำไมพวกเขาถึงอยากทำลายอดีตนัก?
ลูมิน่า : ก็เพื่อที่วิญญาณที่ถูกเลือกทั้งหมด จะได้ไปเกิดบนโลกใหม่ในสภาพที่ใสสะอาด ชีวิตใหม่ทุกชีวิตจะดำรงอยู่อย่างไร้เดียงสา ปราศจากความเศร้าโศกและความเจ็บปวด นั่นแหละคือแผนของพระเจ้า
ไลท์นิ่ง : แล้ววานิลล์รู้เรื่องนี้มั้ย?
ลูมิน่า : พวกเขาไม่ได้บอกทุกอย่างให้เธอรู้ วานิลล์เพียงเชื่อว่าพิธีกรรมนี้จะปลดปล่อยผู้ตายจากความเจ็บปวดได้
ไลท์นิ่ง : แปลว่าเธอไม่รู้ว่าพิธีกรรมนี้ จะทั้งลบผู้ตาย และล้างความทรงจำที่เรามีต่อผู้คายไปด้วยงั้นสิ
ว่าแล้วไลท์นิ่งก็นึกถึงที่วิญญาณของเซร่าห์พูดไว้ก่อนจะจากลากันว่า อยากให้ไลท์นิ่งเก็บเซร่าห์ไว้ในความทรงจำ เธอรู้ว่าเธอจะได้พบกับไลท์นิ่งอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้ว่าเซร่าห์จะหายไปแล้ว... ได้โปรดอย่าลืมเธอ...
ไลท์นิ่งนึกถึงคำพูดเหล่านั้นของเซร่าห์ แล้วตัดสินใจได้ว่าต้องขัดขวางพิธีกรรม เธอจะไม่ยอมลืมเซร่าห์ไป จะไม่ยอมให้เซร่าห์ดับสูญไปเด็ดขาด
ไลท์นิ่ง : ถ้าพิธีกรรมเริ่มขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับเซร่าห์? ถ้าฉันเสียความทรงจำเรื่องของเซร่าห์ไป วิญญาณของเซร่าห์จะหายไปใช่มั้ย?
ลูมิน่า : ช่าย จะหายไปตลอดกาล
ไลท์นิ่ง : ...เข้าใจละ งั้นฉันก็จะไปถล่มโบสถ์และหยุดยั้งพิธีกรรม
ไลท์นิ่งสะบัดหน้าแล้วเตรียมออกวิ่ง แต่ลูมิน่ากลับจับแขนไลท์นิ่งไว้
ไลท์นิ่ง : ทำอะไรน่ะ?
ลูมิน่า : อย่าไปนะ!!
ไลท์นิ่ง : โทษนะ ไปเล่นกับคนอื่นแทนไป
ลูมิน่า : อย่าเอาทุกคนไป!!
ไลท์นิ่งสะบัดลูมิน่าทิ้งอย่างไม่สนใจ ลูมิน่าล้มลงและร้องไห้ออกมา
ลูมิน่า : อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว....
ลูมิน่ารู้ว่าไลท์นิ่งจะช่วยทุกคน ทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และคนที่ตายไปแล้ว ให้วิญญาณของทุกคนคงอยู่ ไม่ดับสูญไป และได้ไปเกิดในโลกใบใหม่ แต่ไลท์นิ่งกลับไม่สนใจลูมิน่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูมิน่าเป็นใคร หากเป็นแบบนี้ลูมิน่าก็จะถูกทอดทิ้งไว้ในภพนี้ แล้วดับสูญไปพร้อมกับภพ ทั้งที่เธอก็คือส่วนหนึ่งของไลท์นิ่ง
คัตซีนในเดดดูน ตอนที่ไลท์นิ่งกับแฟงก์โดนชิง Holy Clavis ไป
แฟงก์บอกว่า Holy Clavis จะลบล้างผู้ตาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถเกิดใหม่ได้อีก วิญญาณที่เศร้าโศกก็จะหายไป เป็นการช่วยเหลือด้วยการทำให้หายไปเลย วานิลล์รู้เรื่องนี้ รู้ว่าพิธีกรรมนี้จะทำให้วานิลล์ถึงแกชีวิต เพราะคิดว่าเป็นหนทางเดียวที่จะยุติความเศร้าของผู้ตายได้ ที่แฟงก์พยายามตามหาสิ่งนี้ก็เพื่อจะเอามันไปไกลๆ จากวานิลล์ เพราะหากคนอื่นเอาไปให้ Salvation Council ได้ วานิลล์ก็ต้องตายเพราะพิธีกรรมงี่เง่านี้ ดังนั้นแฟงก์ถึงเข้าร่วมกลุ่มโจร เข้าพิทักษ์โบราณสถาน คิดว่าถ้าไม่มีใครหา Holy Clavis เจอก็โอเคแล้ว ที่แฟงก์มากับไลท์นิ่งด้วยก็เพื่อจะได้มั่นใจว่าผู้ปลดปล่อยจะไม่พบมัน หรือถึงพบก็จะไม่ส่งให้ Salvation Council
แต่แล้วลูมิน่าก็เข้ามาแซวว่าคิดว่าไลท์นิ่งเป็นสมุนของ Salvation Council ได้ยังไง? ไม่เชื่อใจกันได้ไง? แต่อันที่จริงลูมิน่าก็รอคอยช่วงเวลาที่ไลท์นิ่งจะพบ Holy Clavis มาตลอด แล้วลูมิน่าก็เป็นคนปล่อยให้สปายจาก Salvation Council ลอบเข้ามาในโบราณสถานนี้ได้ แถมยังแอบทำไม่ให้โฮปจับได้ด้วย (ไม่งั้นโฮปจะบอกไลท์นิ่ง) แล้วตอนนี้พวกสปายก็รีบกลับไปยังลุคเซริโอแล้ว เมื่อพิธีกรรมเริ่มขึ้น วานิลล์ก็จะตาย วิญญาณของผู้ตายจะถูกชำระล้าง แล้วเซร่าห์ก็จะหายไป วันที่พิธีกรรมจะเริ่มต้นขึ้นก็คือวันสิ้นโลก เมื่อระฆังแห่งหายนะดังขึ้น พิธีจะเริ่มขึ้น
ไลท์นิ่งบอกแฟงก์ว่าเธอช่วยวานิลล์ไม่ได้ หน้าที่ของไลท์นิ่งคือการปลดปล่อยวิญญาณ ถ้าวานิลล์อยากตาย ไลท์นิ่งก็ได้แต่ยอมให้ตาย ปลดปล่อยวานิลล์ด้วยความตาย ไลท์นิ่งรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของวานิลล์ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแฟงก์ อาจจะเข้าใจ และช่วยวานิลล์ได้
คัตซีนตอนปราบบอสลับในเด๊ดดูนวันที่ 13 ได้
ไลท์นิ่ง : ในโลกนี้ ผู้คนมากมายเชื่อในบูนิเบลเซ่ พวกเขาเชื่อว่าตนเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่พระเจ้ารักอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น... บูนิเบลเซ่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ พยายามสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่มาแทนที่มนุษยชาติ เขาพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ขึ้นมา
โฮป : แต่ตอนนี้มนุษย์ก็สามารถกำจัดร่างทดลองของพระเจ้าได้ มันต้องทำให้เขาตระหนักถึงพลังของพวกเราอย่างแน่นอน ไลท์ คุณได้พิสูจน์คุณค่าของมนุษย์ และพิชิตอนาคตให้กับพวกเรา
ไลท์นิ่ง : ใช่ ฉันพิสูจน์พลังบางอย่างให้... แต่ยังนับฉันเป็นมนุษย์ได้อีกงั้นเหรอ? ยิ่งกำจัดอสูรร้ายที่พระเจ้าสร้างขึ้นได้ ฉันคงไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้อีกแล้วรึเปล่า?
คัตซีนตอนปราบบอสลับในเด๊ดดูนวันที่ 13 ได้
ไลท์นิ่ง : ในโลกนี้ ผู้คนมากมายเชื่อในบูนิเบลเซ่ พวกเขาเชื่อว่าตนเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่พระเจ้ารักอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น... บูนิเบลเซ่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ พยายามสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่มาแทนที่มนุษยชาติ เขาพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ขึ้นมา
โฮป : แต่ตอนนี้มนุษย์ก็สามารถกำจัดร่างทดลองของพระเจ้าได้ มันต้องทำให้เขาตระหนักถึงพลังของพวกเราอย่างแน่นอน ไลท์ คุณได้พิสูจน์คุณค่าของมนุษย์ และพิชิตอนาคตให้กับพวกเรา
ไลท์นิ่ง : ใช่ ฉันพิสูจน์พลังบางอย่างให้... แต่ยังนับฉันเป็นมนุษย์ได้อีกงั้นเหรอ? ยิ่งกำจัดอสูรร้ายที่พระเจ้าสร้างขึ้นได้ ฉันคงไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้อีกแล้วรึเปล่า?
คัตซีนไลท์นิ่งเจอวิญญาณของซิด ในวันรองสุดท้าย
ซิดมาบอกว่าวิญญาณของเขาได้หลอมรวมไปกับเคออส กลายเป็นตุ๊กตาไร้เป้าหมาย วิญญาณของเหล่าผู้ตายที่ไม่เป็นสุขได้เชิญเขามา เป็นผู้แทนให้กับผู้ตาย ซิดบอกว่าวานิลล์ยังไม่รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพิธีกรรม มีความจริงบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ เช่นว่าโลกที่มองไม่เห็นนั้น เป็นสิ่งที่กระทั่งพระเจ้าก็มองไม่เห็น
ซิดอธิบายว่าโลกที่มองไม่เห็นคือโลกที่เต็มไปด้วยมหาสมุทรแห่งเคออส เคออสคือที่ๆ วิญญาณทั้งหมดต้องกลับไปเมื่อตาย และก็เป็นที่ๆ ชีวิตใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อตายไปแล้ววิญญาณของมนุษย์จะถูกเคออสกลืนกิน แต่ไม่ได้พินาศไปซะทีเดียว ในไม่ช้า วิญญาณนั้นก็จะได้รับชีวิตใหม่ และเกิดใหม่อีกครั้ง (บนโลกที่มองเห็น) พร้อมได้รับส่วนหนึ่งของเคออสไป ซึ่งเราเรียกมันว่า “วิญญาณ”
ไลท์นิ่งก็ตกใจว่าวิญญาณของมนุษย์สร้างมาจากเคออสงั้นเหรอ? แม้ว่าจะตายไปแล้ว สุดท้ายก็ยังสามารถไปเกิดใหม่บนโลกใหม่ได้งั้นเหรอ?
ซิดตอบว่าต้องให้วานิลล์ช่วยชี้นำให้ด้วย เพราะเป็นคนเดียวที่สื่อสารกับผู้ตายได้ มอบอนาคตให้พวกเขาได้ แล้วพิธีกรรมที่กำลังจะทำกันนั้นก็ไม่ได้ช่วยคนตาย เป็นการลบล้างความมีอยู่ของวิญญาณผู้ตาย มันไม่มีเหตุผลเลยที่วานิลล์จะต้องยอมตายเพื่อพิธีกรรมนี้ (เป็นแค่ความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ความประสงค์ของผู้ตาย) ซิดซึ่งพูดในฐานะตัวแทนของผู้ตายทั้งมวล จึงบอกว่าอยากให้วานิลล์หยุดพิธีกรรมนี้ แล้วให้ไลท์นิ่งไปบอกวานิลล์ให้ชี้นำผู้ตายให้ไปเกิดใหม่บนโลกใบใหม่ นี่ต่างหากคือความปรารถนาที่แท้จริงของผู้ตาย ซึ่งขัดกับความประสงค์ของพระเจ้า! ถ้าไลท์นิ่งคิดจะช่วยให้ความปรารถนาของผู้ตายเป็นจริง ก็จะเป็นการขัดขืนพระเจ้า คนที่ขัดขืนประสงค์ของเทพก็ต้องจำนนต่อพลังของพวกเขา แล้วพบจุดจบอันสังเวช เช่นเดียวกับที่เขาเจอมา
ไลท์นิ่งปลอบว่าแต่ซิดก็ได้ต่อสู้ในฐานะมนุษย์ และตายอย่างมนุษย์แล้ว เจตจำนงที่จะต่อสู้ต่อชะตากรรมของซิดก็ถูกส่งต่อไป และเพราะมนุษยทุกคนต่างก็มีเคออสเล็กๆ ที่เราเรียกกันว่าวิญญาณอยู่ในร่าง เราถึงเชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของผู้ตายได้ (เป็นการอธิบายว่าทำไมเมื่อวิญญาณของผู้ตายหายไป ความทรงจำที่มีต่อพวกเขาในหัวของเราถึงหายไปด้วย)
ซิดบอกว่าเคออสได้สร้างสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็น เป็นพลังอันมองไม่เห็น ที่เชื่อมโยงชีวิตและความตายเข้าด้วยกัน มันมีความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด กระทั่งพระเจ้าก็หยั่งไม่ถึง แต่ก็ควบคุมลำบาก สิ่งมีชีวิตไม่อาจควบคุมมันได้ (ก่อนหน้านี้ถึงควบคุมด้วยฟัลซิเอโทร กล่าวคือฟัลซิเอโทรกักมันไว้ในโลกที่มองไม่เห็น ไม่ให้มันทะลักออกมาจากประตูได้) ไลท์นิ่งเองก็ต้องส่งความรู้สึกไปให้ถึงวิญญาณของเซร่าห์ที่อยู่ในเคออส (จริงๆ อยู่กับลูมิน่านะ แต่ซิดไม่รู้) ก็อย่างที่บอกว่าเคออสมีความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด เป็นพลังที่มองไม่เห็น เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและความตาย
ซิดกล่าวจบแล้ว ไลท์นิ่งถึงเข้าใจว่าพลังของเคออสนั้น นอกจากพระเจ้าจะมองไม่เห็นแล้ว ยังพกความเป็นไปได้ที่เหนือกว่าพระเจ้าไว้ด้วย (จริงๆ มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเคออสคือธรรมชาติของจักรวาล เคออสดำรงอยู่ในจักรวาลมาก่อนที่บูนิเบลเซ่จะถือกำเนิดขึ้น ธรรมชาติที่แท้จริงจะเหนือกว่าบูนิเบลเซ่ก็ไม่แปลก) ไลท์นิ่งยังคงสงสัยว่าเธอจะส่งความรู้สึกนึกคิดไปถึงเซร่าห์ได้อย่างไร ไลท์นิ่งเชื่อมาตลอดว่าความรู้สึกนั้นจะส่งไปถึงเซร่าห์ที่ตายไปแล้วได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
อธิบายอีกรอบสำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่า :-
1. จักรวาลนั้นเกิดมาก่อนบูนิเบลเซ่ ในจักรวาลก็มีเคออสเป็นองค์ประกอบหนึ่งอยู่แล้ว เคออสคือธรรมชาติของจักรวาล ส่วนบูนิเบลเซ่นั้นเป็นลูกของมูอิน ซึ่งเกิดมาภายหลังการกำเนิดจักรวาลแห่งนี้ (บูนิเบลเซ่ไม่ได้สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา จึงไม่อาจเข้าใจกลไกทั้งหมดของจักรวาลได้) เคออสซึ่งเป็นธรรมชาติจึงเหนือกว่าบูนิเบลเซ่ ที่บูนิเบลเซ่ควบคุมเคออสไม่ได้ และมองไม่เห็นดวงวิญญาณ ก็ด้วยเหตุนี้
2. เผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดจากการที่ลินด์เซย์เอาเลือดของเอโทรสร้างขึ้นมา แต่วิญญาณของมนุษย์เกิดมาจากเคออส วิญญาณของมนุษย์ก็คือรูปแบบหนึ่งของเคออส
3. มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณ กล่าวคือมีเคออสเล็กๆ อยู่ในตัว
4. เคออสในใจของมนุษย์แต่ละคน ทั้งคนเป็นและคนตาย เชื่อมโยงถึงกันได้ หากมีความตั้งมั่นและเจตจำนงค์แรงกล้า (ยูลอธิบายไว้ใน FFXIII-2 Fragment Lindzei's Desire ว่ามนุษย์ทุกคนมีเคออสในตัว ถ้าตั้งใจพวกเขาก็สามารถเชื่อมเคออสในตัวเข้ากับเคออสของวาลฮัลล่าได้ เมื่อทำแบบนั้นมนุษย์ก็จะมองเห็น Timeline ทั้งหมดจากวาลฮัลล่าได้ แต่มนุษย์ไม่รู้และไม่ได้ทำ)
5. การที่มนุษย์แต่ละคนมีเคออสเล็กๆ ในตัว ลำพังเคออสเล็กๆ เพียงนิดเดียวของคนๆ เดียวไม่อาจเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้ และไม่อาจเอาชนะบูนิเบลเซ่ได้ แต่ถ้าเคออสของทุกคนบนโลกรวมกัน ก็จะมีอิทธิฤทธิ์มากพอที่จะเปิดประตูที่เชื่อมระหว่างสองโลก (ซึ่งบูนิเบลเซ่ พัลส์ ลินด์เซย์ ไม่มีปัญญาเปิด) ให้เปิดอ้าออกได้ (ตามที่อธิบายไว้ใน FFXIII ภาคแรกแล้ว) จุดนี้เองเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพลังเคออสของคนทั้งโลกรวมกันนั้น มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าบูนิเบลเซ่ซะอีก
6. ในฉากจบ บูนิเบลเซ่พ่ายแพ้ต่อสิ่งที่ไลท์นิ่งเรียกว่าพลังที่มองไม่เห็น สายสัมพันธ์ของมนุษย์... อันนั้นคือการพูดให้สวยหรู แต่พูดให้ชัดก็คือมันคือสภาพที่เคออสของมนุษย์ทุกคนบนโลกรวมตัวกัน จับตัวกันเป็นพลังงานก้อนยักษ์ก้อนเดียว... มันก็บอลเกงกิที่ดึงพลังจากทุกสรรพชีวิตในโลกมาใช้ดีๆ นี่เอง แถมไม่ใช่บอลเกงกิธรรมดาที่ดึงพลังจากสรรพชีวิตมาใช้ชีวิตละ 1-2% แต่เป็นการดึงพลังจากทุกชีวิตในโลกมาใช้ ชีวิตละ 100% เต็ม....
7. อันนี้น่าจะสำคัญสุดคือ ....มนุษย์น่ะอวยกันไปเองว่าบูนิเบลเซ่เป็นพระเจ้า ทว่าความจริงแล้ว บูจังไม่ได้สร้างจักรวาล ไม่ได้เข้าใจกลไกของจักรวาลทั้งหมด ควบคุมเคออสก็ไม่ได้ จะเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก็เปิดไม่ได้ มองไม่เห็นวิญญาณ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำไม่ได้.... สภาพแบบนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่พระเจ้าหรอกครับ ก็แค่สิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์ แล้วมนุษย์อวยกันไปเองว่าเป็นพระเจ้า เหมือนที่ชาวอิวาลซิอวยโอควิเลียใน FFXII ว่าเป็นเทพเจ้านั่นแหละ
ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างภาค
Fabula Nova Crystallis - วิญญาณของคนก็คือเคออส คนเราตายไปแล้วเคออสก็ออกจากร่าง ล่องลอยไปสู่โลกหลังความตาย (โลกที่มองไม่เห็น) ถูกชำระล้างบางส่วน แล้วกลับมาเกิดใหม่ในโลกที่มองเห็น เพราะคนเราเกิดมาจากเคออส แก่นแท้ของวิญญาณก็คือเคออสนั่นเอง
FFVII - แก่นแท้ของคนเราก็คือ Spirit Energy ตายไปแล้วก็กลับไปรวมเป็นหมี่หยกยักษ์กับ Lifestream ในกระแสวิญญาณอันมากล้นนั้น Spirit Energy ของคนเราก็เหมือนหยดเลือดที่ตกสู่มหาสมุทรยักษ์ ในไม่ช้าก็จะสูญเสียอัตตา แตกสลาย หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Lifestream แล้วรอคอยที่จะกลับมาเกิดใหม่
FFIX - เปลี่ยนเป็น 'วิญญาณ' กับ 'คริสตัล' ที่เหลือก็กระบวนการคล้ายๆ กับด้านบน... จะแตกต่างกันก็เพียงรายละเอียดปลีกย่อย แต่คอนเซปต์เดียวกันหมด
นี่สินะ การรีไซเคิลลดโลกร้อน....
**ขอบคุณ http://tensai-shoujo.tumblr.com/ และทุกคนในบอร์ด MognetCentral สำหรับข้อมูลความคิดทั้งหมดครับ
Post a Comment