อธิบายเนื้อเรื่อง Lightning Returns -Final Fantasy XIII- [2]
โฮป ผู้คลั่งไคล้การระเบิด
ในเมืองยูสนัน
โฮปดูตื่นเต้นมากตอนที่เขาอธิบายแผนการระเบิดหอนาฬิกาเพื่อให้หอนาฬิกาล้ม
ถล่มใส่กำแพงวัง โฮปบอกให้ไลท์นิ่งไปรวบรวมพลุไฟมาเยอะๆ
เพื่อจะได้สร้างภาพระดับปรากฏการณ์กันไปเลย
ไลท์นิ่งฟังแล้วก็คอมเมนต์ว่าท่าทางนายจะตื่นเต้นกับการวางระเบิดมากเลยนะ?
โฮปเลยพูดติดตลกกลับไปว่าสงสัยเขาคงเสร็จเคออสแล้วเหมือนกัน
ระหว่างรวบรวมพลุ เจ๊ก็พบว่าโฮปคำนวณปริมาณระเบิดผิดพลาด
พอหลังถล่มหอนาฬิกาให้ล้มไปทลายกำแพงวังได้สำเร็จ โฮปก็บอกว่าแหม
เขารู้สึกไม่ดีเลย~ ขอโทษจริงๆ น้า~
เจ๊จึงเหน็บกลับไปว่าน้ำเสียงของแกไม่เหมือนคนรู้สึกผิดเลยสักนิด....
เหตุผลและการมีชีวิตอยู่ต่อไปของสโนว
(จากบทสนทนาก่อนและหลังการต่อสู้กับสโนว)
หลังจากไลท์นิ่งไล่ตามสโนวไปจนถึงห้องด้านในสุดของวังยูสนันได้ ไลท์นิ่งก็เริ่มเอ่ยขึ้นว่า "ถ้านายทำแบบนี้เพื่อเซร่าห์จริงๆ ฉันก็อยากให้นายรู้ไว้ว่าเซร่าห์ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้อยู่กับนาย อย่าปฏิเสธความปรารถนาของเธอสิ"
หลังจากไลท์นิ่งไล่ตามสโนวไปจนถึงห้องด้านในสุดของวังยูสนันได้ ไลท์นิ่งก็เริ่มเอ่ยขึ้นว่า "ถ้านายทำแบบนี้เพื่อเซร่าห์จริงๆ ฉันก็อยากให้นายรู้ไว้ว่าเซร่าห์ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้อยู่กับนาย อย่าปฏิเสธความปรารถนาของเธอสิ"
ว่าแล้วสโนวถึงบอกว่าคราวนี้ไลท์นิ่งดูไม่น่ากลัว
ไม่คุกคามเท่าครั้งแรกที่เจอกันตอนเปิดเกม แบบนี้ก็คงจะคุยกันได้จริงๆ แล้ว
ต้องขอโทษด้วยเพราะตอนแรกเขาสงสัยว่าไลท์นิ่งคนนี้เป็นตัวปลอมรึเปล่า
ก็เลยวางสร้อยของเซร่าห์ไว้ แล้วผนึกประตู
ถ้าเป็นไลท์นิ่งตัวปลอมก็คงจะไม่หยิบเอาเรื่องสร้อยกับเซร่าห์นี้ขึ้นมาพูด
แต่การที่ไลท์นิ่งคนนี้พยายามจะส่งความรู้สึกของเซร่าห์มาถึงสโนว
ก็แสดงว่าเป็นไลท์นิ่งตัวจริง
จากนั้นสโนวก็บอกว่าแบบนี้เขาก็จะได้ไม่ต้องออมแรงแล้ว ที่ห้องนี้
เป็นคุกอันเปี่ยมด้วยเคออส เหมาะจะเป็นสุสานให้กับมอนสเตอร์อยู่แล้ว
เคออสในที่แห่งนี้มันค่อยๆ เพิ่มพูนพลังมากขึ้นเรื่อย
เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มันรั่วไหลออกไป
จึงจะใช้พลังทั้งหมดดูดกลืนมัน แต่ถ้าเขาหมดพลังเมื่อไหร่
เขาก็จะกลายเป็นซีธ ยังไงเขาก็เป็นผู้ปกครองเมืองนี้
จะละทิ้งชาวบ้านไปไม่ได้ เขาจึงต้องอดทนมาจนถึงทุกวันนี้
วันที่ไลท์นิ่งมาถึง และจะปกป้องชาวบ้านแทนเขาแล้ว
ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีเขาอีกต่อไป
ไลท์นิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี และพยายามจะยับยั้งสิ่งที่สโนวกำลังจะทำ
แต่สโนวบอกให้ปล่อยเขาเถอะ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่ดูโลกค่อยๆ
ล่มสลายมากว่าหลายร้อยปี ดังนั้นอย่างน้อยก็ให้เขาได้ทำประโยชน์ก่อนตาย
เจ๊เห็นแบบนั้นเลยด่ากลับไปว่าแกมันก็แค่หนีไปจากความสิ้นหวัง
ยอมแพ้ให้กับการมีชีวิต แล้วยังคิดจะฆ่าตัวตาย
แบบนี้จะไปพบหน้าเซร่าห์ได้ยังไง? สโนวก็ตอบกลับไปว่าจะพูดยังไงก็ได้
เขาสาบานไว้ว่าจะทำให้เซร่าห์มีความสุข
แต่แค่ปกป้องเซร่าห์เขายังทำไม่ได้เลย
ถึงตายไปเขาก็ไม่กล้าไปสู้หน้าเซร่าห์แล้ว เขาจะดูดกลืนเคออสทั้งหมดเข้าไป
แล้วขอไลท์นิ่งช่วยทำอย่างหนึ่งให้กับเขา นั่นคือการกำจัดเขาในร่างซีธทิ้ง
สโนวดูดกลืนเคออสทั้งหมดเข้าไปในร่างทันที เขาควรจะกลายเป็นซีธทั้งร่าง
แต่ก็พยายามควบคุมมันไว้ ทำให้กลายเป็นซีธแค่ครึ่งตัว
เจ๊เลยต้องด่าน้องเขยกลับไปให้เจ็บสักดอกก่อนจะเริ่มเข้าห้ำหั่นกัน
หลัง
ชนะได้ สโนวในร่างซีธกำลังทรุดหมดสภาพ เคออสก็เริ่มจะหายไป
แล้วลูมิน่าก็ปรากฏตัวขึ้นมาบอกว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าสโนวจะทำแบบนี้
แล้วก็หันไปบอกไลท์นิ่งว่าหนทางเดียวในการช่วยดวงวิญญาณของสโนวก็คือฆ่าเขา
ทิ้งซะ ดีกว่าปล่อยให้เขาอยู่ทรมานแบบนี้
ไลท์นิ่งถามลูมิน่ากลับไปว่าเธอรู้จักสโนวดีแค่ไหนกันเชียวถึงมาพูดแบบนั้น?
ว่าแล้วไลท์นิ่งก็ชกสโนวแล้วบอกให้สโนวได้สติกลับมาเป็นคนเดิม
ลูมิน่าย้อนไลท์นิ่งกลับไปว่า ไลท์นิ่งเข้าใจความเจ็บปวดของสโนวรึไงกัน?
ระหว่างที่ไลท์นิ่งหลับสบายใจเฉิบไปหลายร้อยปี สโนวได้ต่อสู้
ปกป้องผู้คนมาตลอด
พร้อมกับแบกรับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องเซร่าห์ได้
ตอนที่สโนวรู้ว่าไลท์นิ่งกลับมาแล้วจริงๆ
สโนวถึงโล่งใจว่าเขาจะได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันยาวนานแล้ว
เขาจึงปรารถนาที่จะตาย ดังนั้นก็ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดซะ
เซร่าห์เองก็ต้องการแบบนั้น
ไลท์นิ่งบอกว่าเธอเองก็อยากช่วยสโนวเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
เซร่าห์คงจะรู้ ถ้าเซร่าห์อยู่ที่นี่ เซร่าห์ก็อาจจะช่วยได้ทันที
แต่ตอนนี้เซร่าห์จากไปแล้ว ไลท์นิ่งไม่อาจแทนที่เซร่าห์ได้ เธอก็ได้แต่หวัง
ไลท์นิ่งบอกสโนวว่าอย่าทำให้ความรู้สึกของเซร่าห์ต้องสูญเปล่า
เซร่าห์เชื่อมั่นในตัวสโนว แม้สโนวกับเซร่าห์จะแยกจากกันแล้ว
และยังโดนบททดสอบที่เป็นไปไม่ได้ขวางกัน แต่เซร่าห์ก็ยังคงเชื่อมั่น
ว่าจะได้พบสโนวอีกครั้ง!
ด้านสโนวได้แต่ทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ไลท์นิ่งจึงกล่อมอีกว่าเธอมั่นใจว่าวิญญาณของเซร่าห์ก็คงกำลังฝันถึงสโนว
ถ้าสโนวหายไป เซร่าห์จะกลับมาได้ยังไง ...ดังนั้นขอร้องล่ะสโนว
มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเซร่าห์นะ
ฝั่งสโนวก็บอกว่าแหม่... บอกให้เขามีชีวิตต่อไป แต่จริงๆ
แล้วเจ๊ก็ห่วงแต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเซร่าห์ล่ะสิ ตัวเขาน่ะเห็นโลกค่อยๆ
ล่มสลายมาเรื่อยๆ เขาพยายามจะยับยั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
ท้ายที่สุดเขาก็สิ้นหวัง และเริ่มต้นหาที่ตายให้กับตนเอง
เจ๊ได้ยินก็ขอโทษที่กลับมาช้าไปหน่อย ทำให้สโนวต้องทนทุกข์มานานขนาดนี้
แต่อยากให้รู้ไว้ว่าโลกกำลังจะมาถึงจุดจบจริงๆ ในไม่ช้านี้แล้ว
และไม่มีหนทางใดที่จะหยุดยั้งมันได้
แต่เธออยากให้สโนวเชื่อว่าเมื่อโลกนี้จบสิ้นลงแล้ว
โลกใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น อนาคตของมนุษยชาติอยู่ในที่แห่งนั้น
ยังคงมีความหวังอยู่ เธอจะเปิดทางให้เอง ดังนั้น จนกว่าจะถึงตอนนั้น....
สโนวจึงบอกว่าเขาเข้าใจแล้วว่าเจ๊อยากให้เขาปกป้องยูสนันอย่างสุดความสามารถต่อไป เซร่าห์ก็คงจะเสียใจหากเขาเป็นอะไรไปสินะ
ไล่ท์นิ่งจึงเยินยอว่าสโนวทำได้อยู่แล้ว เขาขอฝากเซร่าห์ไว้ด้วย
ขอให้สโนวมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเซร่าห์ เพราะเซร่าห์มีแต่สโนวเท่านั้น
ด้านสโนวก็บอกว่าถ้าเจ๊สั่งมาแบบนั้นเขาก็จะทำเต็มที่ แต่มันจริงเหรอ?
ถึงเจ๊จะคิดแบบนั้น
แต่เขาก็ยังข้องใจว่าเซร่าห์จะกลับมาหาชายคนที่ไม่สามารถทำให้เซร่าห์มีความ
สุขได้จริงๆ เหรอ? เขาคงได้แต่เชื่อ... ไม่สิ
เขาต่างหากที่ต้องไปหาเซร่าห์เอง...
ชะตากรรมและความปรารถนาของไคอัส
(จากบทสนทนาหลังการต่อสู้กับไคอัส)
หลังจากไลท์นิ่งเอาชนะไคอัสในการต่อสู้ที่วิหารของเอโทรได้ ไคอัสก็บอกว่าการจะเอาวิญญาณเขาไปนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ว่าแล้วไคอัสก็ลองเอาดาบจิ้มตัวเองให้ดูเป็นขวัญตา -[]-!! ว่าแล้วไคอัสก็เริ่มอธิบาย
"ต่อให้ยูลคนหนึ่งอยากให้ข้าเป็นอิสระ
ยูลอีกคนหนึ่งก็ปรารถนาให้ข้าคืนชีพและคงอยู่ต่อไป แต่ละครั้งที่เกิดใหม่
วิญญาณของยูลก็สลาย แตกกระจายและหลอมรวมกับเคออส
ด้วยเหตุนี้หัวใจของยูลจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เรื่องที่เธออยากให้ข้ารับการช่วยเหลือนั้นเป็นความจริง
แต่เรื่องที่เธอปรารถนาให้ข้าอยู่ต่อไปก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน"
ฟังแล้ว ไลท์นิ่งก็เริ่มเข้าใจว่ายูลเป็นคนพันธนาการให้ไคอัสยังคงอยู่ในโลกใบนี้
"เธอก็เหมือนกับเด็กๆ ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้
อย่างน้อยเธอจึงต้องการให้มีผู้พิทักษ์อยู่ข้างกาย ยูลทั้งหลาย
เคออสที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่จำเป็นต่อการคงอยู่ของโลกใบนี้"
"พลังของมันนั้นแสนยิ่งใหญ่ แม้มันไม่ได้ปรารถนาที่จะทำอันตรายต่อโลก
แต่การคงอยู่ของมันก็ทำให้โลกนี้บิดเบี้ยวไปโดยอัตโนมัติ ผู้ปลดปล่อยเอย
เจ้าคิดว่าในโลกใบใหม่นั้นจะมีที่ว่างสำหรับยูลรึ?
เธอไม่สามารถไปที่นั่นได้หรอก ที่แห่งนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับเธอ
เคออสนี้ต่างหากที่เหมาะสมกับพวกเราแล้ว"
ไลท์นิ่งย้อนถามไคอัสเพื่อความแน่ใจ ว่าไคอัสคิดจะอยู่ในโลกที่กำลังจะล่มสลายนี้ไปจนถึงวาระสุดท้าย พร้อมกับยูลงั้นเหรอ!?
"ข้าก็เป็นเพียงเปลือกอันว่างเปล่า
วิญญาณและร่างเนื้อที่เสื่อมลงของข้าได้หลอมรวมกับเคออส
ข้าเองก็ไม่อาจเกิดใหม่อีกครั้งบนโลกใบใหม่ได้
ข้าตั้งใจจะยุติวิญญาณที่เรร่อนในความมืดเรื่อยมานี้ ชั่วนิรันดร์"
ไลท์นิ่งจึงถามกลับไปอีกครั้ง "แกคิดจะสังเวยตัวเอง
ชดเชยให้กับบาปที่นำความตายมาสู่โลกนี้งั้นเหรอ? ....ยูล?
เธอเองก็อยากจะอยู่กับไคอัสด้วยเหรอ?"
ว่าแล้วยูลก็บอกว่า เธอไม่ลังเลสักนิด ไลท์นิ่งเลยยิ่งอึ้งว่าสองคนนี้ไม่ต้องการให้ช่วยเหลือ....
ด้านไคอัสก็บอกให้ไลท์นิ่งออกไปจากที่แห่งนี้ อย่าคิดว่าจะเปลี่ยนใจยูลได้เลย แล้วไคอัสก็จากไป
อืมม... ถึงตรงนี้ลูมิน่าก็โผล่มาถามยูลว่า "รู้สึกเสียใจบ้างมั้ย?"
ยูลตอบว่า "ฉันได้สัญญากับเขาไว้ว่า เราจะได้พบกันอีกครั้ง..."
(หมายถึงยูลคนสุดท้ายได้สัญญาไว้กับโนเอล ก่อนที่ยูลจะตายว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง)
ลูมิน่าหันไปบอกไลท์นิ่งว่าดูเหมือนจะมียูลอยู่คนหนึ่งที่ปรารถนาจะอยู่กับใคร
คนอื่นที่ไม่ใช่ไคอัส พลังที่ฉีกเฉือนโลกนี้ ทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยว
และยังดึงเจ๊ไปยังวาลฮัลล่า ก็คือเคออสที่มองไม่เห็น หรือพูดง่ายๆ
ก็คือการจุติใหม่นับครั้งไม่ถ้วนของโหรผู้ต้องทนทุกข์ชั่วนิรันดร์
ทั้งหมดนั้นก็คือยูล ตอนนี้ดูเหมือนว่าเคออสจะสงบลงบ้างแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง
ลูมิน่าตบท้ายว่าไลท์นิ่งน่าจะรีบหาทางช่วยเหลือวิญญาณของพวกเขา
แต่ไลท์นิ่งบอกว่าเธอไม่มีพลังที่จะช่วยคนที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก
สรุปแล้วยูลคนก่อนๆ ที่ตายไปแล้ว วิญญาณก็แตกสลายไปรวมกับเคออสที่มองไม่เห็น
และเป็นคนเรียกร้องการพันธนาการให้ไคอัสคงอยู่กับเธอไปตลอดกาล
ยูล-เคออสเหล่านี้ เพียงแค่คงอยู่ก็ทำให้โลกบิดเบี้ยวแล้ว
ดังนั้นจะพาไปยังโลกใหม่ไม่ได้หรอก อีกทั้งเธอ-เคออส
ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการคงอยู่ของพิภพนี้
(เคออสอยู่ในพิภพนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว)
ส่วนไคอัสเอง วิญญาณและร่างก็โดนเคออสกินเข้าไปเต็มๆ แล้ว แถมต้องอยู่กับยูล-เคออสด้วย เลยขอจมหายไปกับวาระสุดท้ายของโลกเลยละกัน
แผนการที่แท้จริงของเทพจำแลง
แฟงก์ : ฉันเคยได้ยินเรื่องของตำนานเก่าแก่ "เทพธิดาเอโทรผู้โง่เขาได้ฉีกร่างของตนเองและหลั่งโลหิตเทพออกมา เธอได้หายไปในพิภพแห่งเคออสและความตาย กลายเป็นเทพธิดาแห่งเคออส และเทพธิดาแห่งความตาย"
ไลท์นิ่ง : แล้วเทพผู้ชาญฉลาด ลินด์เซย์ ก็ใช้เลือดของเอโทรให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นมา
แฟงก์ : จากที่มันใช้พวกเราเป็นเครื่องมือ ที่บ้านเกิดของฉัน พวกเรามองว่าลินด์เซย์เป็นปิศาจร้าย ทว่าเทพผู้พิทักษ์ของพวกเรา พัลส์ ก็ดันเป็นปิศาจร้ายเช่นกัน
ไลท์นิ่ง : ใช่ แล้วเราก็ได้รู้เรื่องนี้กันก่อนใคร
แฟงก์ : เพราะเหตุนี้ เราจึงได้พัฒนาความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งขึ้นมามากมาย ทว่าหลังจากที่พวกเราตื่นมาจากการหลับใหลในสภาพคริสตัลอันยาวนาน วานิลล์ก็ได้รับพลังในการฟังเสียงของผู้ตาย ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าพระเจ้าพยายามจะใช้พวกเรา ไม่สิ แค่วานิลล์
แฟงก์ : นี่ไลท์ เธอคิดยังไงกับภาพนี้?
ไลท์นิ่ง : ชะตากรรมของเทพ ไม่สิ ชะตากรรมของมนุษย์ พวกเราเกิดจากเลือดของเอโทร ทว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอมตะ เราเต้นอยู่ในเงื้อมมือของพระเจ้า เป็นเพียงเครื่องมือ สุดท้ายก็ตายจากไป
แฟงก์ : หลังจากนั้น พวกเราก็ถูกเคออสกลืนกิน แต่ตอนนี้ มันได้มาอยู่ในโลกนี้ ฉันคิดว่าในที่สุดมนุษย์ก็ได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์
*เดิมทีแล้วในซีรีส์ FFXIII โลกปกตินั้นมีคอนเซปต์ของกาลเวลา ส่วนโลกที่มองไม่เห็นนั้นไม่มีคอนเซปต์ของเวลา พอคนเราตายกลายเป็นวิญญาณไปอยู่ในโลกที่มองไม่เห็น หากไม่ไปเกิดใหม่หรือหากไม่ดับสูญไป ก็สามารถอยู่ในโลกที่มองไม่เห็นไปได้เรื่อยๆ เพราะมันไม่มีคอนเซปต์เวลา
*ทว่าในตอนจบของ FFXIII-2 ที่โลกที่มองเห็นและมองไม่เห็นรวมกัน มันเลยกลายเป็นโลกที่เสมือนไร้กาลเวลาไปด้วย ผลคือวงจรเวียนว่ายตายเกิด มันเสียไป กล่าวคือมนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ โดยไม่แก่ลง และไม่โตขึ้น ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง (เหมือนกับวิญญาณที่อยู่ในโลกที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ไปได้เรื่อยๆ) แต่ก็สามารถตายเพราะโรคหรืออุบัติเหตุได้ (ก็เหมือนกับการที่วิญญาณในโลกที่มองไม่เห็นดับสูญไป)
*ซึ่งในสภาพเสมือนไร้กาลเวลานี้ จะไม่สามารถมีคนเกิดใหม่ขึ้นมาได้ (เพราะเมื่อโตไม่ได้ แก่ไม่ได้ ก็เกิดไม่ได้เช่นกัน) เดิมทีแล้วคนที่เกิดขึ้นมาใหม่จะได้วิญญาณมาจากเคออสในโลกที่มองไม่เห็น แต่เมื่อโลกที่มองเห็นและไม่เห็นมันรวมเป็นหนึ่งเดียว พอคนเราตาย วิญญาณก็ลอยเคว้งอยู่ในโลกใบนั้น ยังคงเต็มไปด้วยความทรงจำ ความเจ็บปวด ไม่ได้ถูกชำระล้างในโลกที่มองไม่เห็นเหมือนแต่ก่อน และออกมาเกิดใหม่ไม่ได้
ไลท์นิ่ง : แต่แม้เราจะสามารถมีชีวิตไปชั่วนิรันดร์ เราก็ไม่อาจปฏิเสธความตายได้ มนุษย์ยังสามารถตายเพราะโรคภัยหรืออุบัติเหตุอย่างง่ายๆ ได้อยู่ดี
แฟงก์ : และยังไม่มีเด็กๆ เกิดขึ้นมาใหม่ อย่าขำกับเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดล่ะ ฉันคิดมาตลอดว่า เมื่อผู้คนตายพวกเขาก็จะมาเกิดใหม่ ต่อให้จบชีวิต วิญญาณก็จะคงอยู่ต่อไปและสักวันก็จะกลับมาเกิดใหม่ เพราะฉันเชื่อแบบนี้ ฉันจึงไม่เกรงกลัวการตายเพื่อสิ่งที่อยาปกป้อง แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเราตาย มันก็จบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิญญาณของผู้ตาย ไม่สามารถเกิดใหม่ได้ ได้แต่เร่ร่อนอย่างเจ็บปวดในเคออสไปชั่วนิรันดร์ และวานิลล์ก็ต้องการช่วยเหลือวิญญาณเหล่านั้น
แฟงก์ : ดูนี่สิ นี่คือรูปบูชาศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแห่งแสง บูนิเบลเซ่ เขาลบล้างผู้ตายที่แปดเปื้อน และช่วยเหลือแต่ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ เขาคิดว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเจ้าพวกน่ารังเกียจนั่นถึงได้พยายามประกอบพิธีกรรม
ไลท์นิ่ง : พิธีกรรม?
แฟงก์ : คณะผู้ช่วยเหลือวางแผนไว้แบบนั้น เหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องการสมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อให้วานิลล์ประกอบพิธีกรรมได้ เพราะวานิลล์สามารถฟังเสียงของผู้ตายได้ จึงมีแต่เธอที่จะประกอบพิธีกรรมได้
ไลท์นิ่ง : เข้าใจละ สมบัติศักดิ์สิทธิ์มีพลังในการอัญเชิญผู้ตาย แล้วมันเป็นพิธีกรรมยังไงล่ะ? วานิลล์ต้องสื่อสารกับผู้ตายงั้นเหรอ?
แฟงก์ : คณะเรียกมันว่าเพลงสวดส่งผู้ตาย พวกมันจะให้วานิลล์ร่วมด้วย ฉันเองก็ว่าเธอไม่ได้ วานิลล์ยังคงครุ่นคิดถึงบาปที่เคยก่อเอาไว้ เธอสาบานว่าจะประกอบพิธีกรรมเพื่อไถ่บาป
ไลท์นิ่ง : วานิลล์ต้องการประกอบพิธีกรรม แต่แฟงก์ไม่ต้องการสนับสนุนพวกคณะงั้นสิ
แฟงก์ : เพราะฉันเกลียดพวกมัน
บทสนทนาก่อนการต่อสู้กับบูนิเบลเซ่
ไลท์นิ่ง :
พระเจ้าแห่งแสง บูนิเบลเซ่... ฉันไม่คิดว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถกำจัดแกได้
แต่ในไม่ช้าฉันก็จะสูญเสียความเป็นมนุษย์
ในฐานะคนที่ถูกหลอมใหม่ด้วยน้ำมือของพระเจ้า ฉันจะนำพาวิญญาณไปสู่ทางรอด
และทำให้บูนิเบลเซ่ตกสู่เคออส... ลาก่อน
โฮป :
เขาวาดฝันถึงความเป็นนิรันดร์ เขาปรารถนาให้โลกนี้คงอยู่ต่อไปชั่วกาล
เขาต่อสู้กับคนที่นำความพินาศมาสู่โลก ทว่าโลกกลับมุ่งสู่ความตาย
ด้วยความพินาศของเอโทร เทพธิดาแห่งความตาย
พลังที่คอยค้ำจุนระเบียบของโลกไว้ก็แตกสลาย ทุกสรรพสิ่งล้วนเสียซึ่งสมดุล
เขาจึงได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพลังที่มองไม่เห็นซึ่งได้ค้ำจุนโลกนี้ไว้
ไลท์นิ่ง : พลังนั้นมาจากวิญญาณ หัวใจ และชีวิตของทุกๆ คน เอโทรได้ยอมรับหัวใจของผู้ตาย แล้วส่งพลังให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ไลท์นิ่ง : พลังนั้นมาจากวิญญาณ หัวใจ และชีวิตของทุกๆ คน เอโทรได้ยอมรับหัวใจของผู้ตาย แล้วส่งพลังให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
โฮป : แต่ด้วยความตายของเทพธิดา วัฏจักรจึงเสียไป เพราะโลกนี้อยู่ในสภาพที่เกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่
ไลท์นิ่ง : การสร้างโลกใหม่ บูนิเบลเซ่ผู้ยิ่งใหญ่มีพลังที่จะสร้างสิ่งต่างๆ ที่มีรูปร่างขึ้นมาได้อย่างเสรี
โฮป : ทว่าเขาไม่สามารถสร้างหรือรวบรวมสิ่งที่มองไม่เห็น อย่างเช่นวิญญาณ ฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมอบหมายหน้าที่นี้ให้ผู้อื่น เขามองหาทาสรับใช้ที่สามารถยืนหยัดต่อบททดสอบชั่วนิรันดร์ ผู้ปลดปล่อย ผู้ที่จะมารวบรวมวิญญาณ สาวกผู้เชื่อฟังการชี้นำของพระเจ้า
ไลท์นิ่ง : นั่นคือหน้าที่ ที่แท้จริงของฉันแล้วเหรอ? ฉันไม่เชื่อว่างานของฉันจบแค่นั้น บูนิเบลเซ่พยายามหลอมฉันใหม่ พร้อมไปกับการให้ฉันช่วยเหลือดวงวิญญาณ และยังให้ภารกิจลับอันยิ่งใหญ่ เขาต้องการให้ฉันทำหน้าที่แทนเทพธิดาผู้ล่วงลับ
โฮป : (หัวเราะ) วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายได้ค้ำจุนโลกนี้ไว้ เมื่อเอโทรตายไปแล้ว ก็ต้องเลือกเทพธิดาคนใหม่มาเพื่อโลกใหม่ ให้ปกครองพิภพแห่งเคออส ส่งพลังให้กับผู้ที่ยังมีชีวิต และกลายเป็นเทพธิดาคนใหม่
ไลท์นิ่ง : แน่นอน ฉันจะเป็นให้ แต่ไม่ใช่เทพธิดาที่แกปรารถนา... ฉันจะเป็นยมทูตที่กำจัดแก!
โฮป : (หัวเราะ) จงดูการกำเนิดของโลกใหม่ และวิญญาณนับไม่ถ้วนที่รอคอยการเกิดใหม่ ทว่าช่วงเวลาศักดิสิทธิ์ได้เลื่อนถอยไปแล้ว โลกใหม่ต้องถูกทำลายทิ้ง
ไลท์นิ่ง : ไม่น่าเชื่อเลยว่าแกกำลังจะทำลายมันลง
โฮป : นั่นเป็นเพราะแก! เพราะแกปฏิเสธพิธีกรรม วิญญาณทั้งหลายจึงยังคงติดอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้าย โลกใบใหม่ วิญญาณของมวลมนุษย์ มันทั้งหลายจะถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงแห่งการชำระล้าง
ไลท์นิ่ง : แล้วจากนั้นแกก็วางแผนที่จะสร้างโลกอีกใบใหม่ และหลอมมนุษย์ให้เป็นแบบที่แกต้องการ แกจะช่วงชิงความทรงจำ ความผูกพัน และอดีตทั้งหมดของพวกเขา
โฮป : นั่นคือรูปแบบของมนุษยชาติที่แท้จริงและควรค่าแก่การอยู่ในโลกใหม่ ความสิ้นหวังและความเจ็บปวดจะถูกลืมเลือน เหลือเพียงความสุขอันล้นพ้น
ไลท์นิ่ง : พวกเขาก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เป็นเพียงเป็นเพียงตุ๊กตาที่ไร้จิตใจ บูนิเบลเซ่ผู้นิ่งใหญ่ แกยังไม่สามารถเข้าใจมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
โฮป : ที่จริงวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้ามองไม่เห็น แต่เพราะข้ารูปเช่นนั้น ข้าจึงเลือกมนุษย์ผู้ต่ำช้าคนนี้เป็นร่างภาชนะ ข้าได้ทำให้ร่างนี้กลับคืนสู่สภาพไร้เดียงสา หลอมมันใหม่ ฝึกฝนมัน... จากร่างและเลือดเนื้ออันโสโครก ข้าได้สร้างภาชนะที่ควรค่าแก่การเป็นร่างพักพิงให้พระเจ้า ตระหนักถึงความรักและความเคารพของข้าสิ เพื่อจะทำความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจมนุษย์ ข้าจึงลดตัวลงมาอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ ข้าได้กลายเป็นพระเจ้าผู้เมตตาต่อเผ่าพันธุ์ของเจ้า
ไลท์นิ่ง : ตอบฉันมาอย่างหนึ่ง ร่างนั้น.... วิญญาณของโฮปอยู่ไหน?
บูนิเบลเซ่ : ลืมไปแล้วรึไง? วิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้ามองไม่เห็น
ไลท์นิ่ง : บูนิเบลเซ่ ตอนแรกฉันก็ลังเลอยู่บ้าง ถ้าแกเป็นพระเจ้าที่จะมากอบกู้อย่างแท้จริง ฉันก็ไม่รู้ว่าควรกำจัดแกรึเปล่า... แต่ตอนนี้ ยังไม่มีเหตุผลให้ยั้งมือแล้ว!
บูนิเบลเซ่ : คิดจะท้าทายต่อพระเจ้างั้นรึ?
ไลท์นิ่ง : ยมทูตน่ะสามารถกำจัดแกได้สบาย! และจำไว้ แกบังคับให้ฉันต้องทำแบบนี้เอง
บูนิเบลเซ่ : ดีมาก ผู้ปลดปล่อย ข้าได้มอบการทดสอบให้เจ้ามากมายเพื่อฝึกเจ้าให้เป็นเทพธิดาองค์ใหม่ บัดนี้ จงปลดปล่อยพลังของเจ้าและเผชิญกับการทดสอบครั้งสุดท้าย พัลส์ผู้สุกสกาว จงมาจากโพ้นอันไกลห่าง ลินด์เซย์ผู้สว่างไสว จงมาจากท่ามกลางความเร้นลับ มาช่วยกันให้พรแก่เทพธิดาองค์ใหม่ด้วยแสงอันสุกสกาวของพระเจ้า พวกข้าจะร่วมร้องสรรเสริญเจ้าด้วยพลังทั้งหมด และให้ข้าได้สั่งสอนและมอบมอบความเคารพแก่เจ้าชั่วนิรันดร์
----------------------------------------------------------------
ภาพจากทวีตภพของ Kouli เจ้าตัวโพสต์ไว้สั้นๆ แค่ว่า "Hello Yuna, Hello Fraternity..."
นี่ เป็นภาพไลท์นิ่งซึ่งสวมชุดของยูน่าใน FFX-2 และยังพกดาบประจำตัวของแชปปุ เอ้ย ทีดัส... ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะ Square Enix ไม่เคยให้ข้อมูลว่าในเกม Lightning Returns -FFXIII- มีชุดของ FFX-2 อยู่ด้วย ซึ่งหากมีอยู่จริง ทางค่ายก็น่าจะโปรโมทกันไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ปิดเงียบแบบนี้
(ทางค่ายเพียงโปรโมทว่าชุดผู้อัญเชิญกับอาวุธตาลปัตรเทพจาก FFX จะแถมมากับเกม FFX l X-2 HD Remaster)
ตอนนี้จึงเป็นที่สงสัยกันว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพตัดต่อหรือเป็นภาพจริง? เรื่องนี้ Kouli เองยังคงปิดปากเงียบ ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ
----------------------------------------------------------------
สำหรับคนที่กำลังเล่น หรือยังไม่ได้เล่น Lightning Returns -Final Fantasy
XIII- แล้วกังวลว่าระบบระยะเวลา 13 วันก่อนถึงวันสิ้นโลกของเกม (1
วันในเกมเท่ากับเวลาในโลกแห่งความจริง 2-3 ชั่วโมง)
จะเป็นการบีบบังคับให้ผู้เล่น เล่นด้วยความกดดัน
ไม่มีเวลาสำรวจรายละเอียดต่างๆ ภายในเกมนั้น
อยากเรียนว่า... ไม่ต้องกังวลไป เพราะเอาจริงๆ แล้วเขาให้เวลามาเหลือเฟือครับ.. แล้วพอทำสิ่งที่อยากทำจนหมดแล้ว เราจะ skip ข้ามไปยังวันสุดท้ายเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นไอ้ระบบนี้มันไม่ได้สร้างความกดดันใดๆ เลย....
ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ก็เพราะนอกจากความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นแบบนั้นตั้งแต่ตอนจบเกมแล้ว Kouli
ยอดนักเล่นเกมภาษาของโลก ยังได้ทวีตข้อความไว้ว่า
"ผลการทดลองล่าสุด
ทำ 101 เควสต์ไปหลังจบวันที่ 5 (95% ของเควสต์ทั้งหมด)
จากนั้นก็กดนอนยาวจากวันที่ 6 ไปจนถึงวันที่ 12 ฉะนั้นเนื้อหามันเล่นแค่ 5
วันก็จบแล้ว 7 วันที่เหลือไม่มีอะไรให้ทำเลย รอบหน้า เล่นให้จบใน 3
วันดีมั้ย? :P"
เอ่อ.... จริงๆ เนื้อหามันก็ไม่ใช่ว่าเล่น 5
วันก็จบหมดหรอกครับ แต่เพราะท่านคือ Kouli
ท่านถึงสามารถค้นหาวิธีเล่นที่ดีที่สุดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาสอน
ไม่ต้องให้ใครมาเขียนบทสรุปชี้นำ
.....อย่าเอามาตรฐานของคนที่แพลตเกมได้ทั้งที่เกมยังไม่ออก
มาเทียบกับปุถุชนสิเฟ้ยยย
แล้วคุณ Kouli ก็ยังบอกอีกว่า
"ผมสนใจไกด์การทำไซด์เควสต์ 100% แบบที่ทำเสร็จหมดได้ในการเล่นรอบเดียว และยังใช้เวลาน้อยที่สุดด้วย"
"ถ้าบริหารเวลาดีๆ ในการเล่นครึ่งแรก ก็เหลือเวลามากเกิ๊น พวกชาว GameFaqs
ที่บ่นเรื่องระบบการจำกัดเวลา ก็คือพวกที่ไม่ได้บริการเวลากันทั้งนั้น"
สรุปแล้ว ไอ้ที่ว่าเหลือเวลาเยอะเกิ๊นนั้น.... ก็คือภาษาเทพพูดกัน
แต่สำหรับคนธรรมดา เขาก็ให้เวลามาพอเล่นได้แบบสบายๆ โดยไม่ต้องรีบเร่ง
และพอดีแล้วแล
ทิ้งทายด้วยคลิปฉากจบเกมแบบโลกแตก สำหรับคนที่บริหารเวลาไม่ดีจริงๆ
----------------------------------------------------------------
คลิปตอนปลดล็อค Trophy ก้าวข้ามวันที่ 13 บันทึกโดย Kouli
ถ้าทำไซด์เควสต์ในเกมได้มากพอ (ตอนนี้ยังไม่มีใครทราบจำนวนที่แน่นอน แต่ประมาณกันว่า 50 เควสต์ขึ้นไป) พอถึงวันที่ 13 แล้ว อิกดราซิลก็จะโตเต็มที่ แล้วอายุก็โลกก็จะยืดไปอีก 1 วัน ทำให้โลกที่น่าจะพินาศในวันที่ 13 ก็เลื่อนไปยังวันที่ 14 .....และที่พิเศษคือในวันที่ 13 นี้ไลท์นิ่งจะสามารถเข้าไปยังดันเจี้ยนลับเพื่อไปต่อยกับบอสลับ เอาชุด Ultimatum และเวทย์อัลเทม่าได้แล้ว
"Ultimatum" ชุดที่ได้จากบอสลับของเกม คุณสมบัติ ATB+50 และเริ่มการต่อสู้โดยมี ATB 30% .....ซึ่งที่ว่ามานี้เป็นคุณสมบัติที่ธรรมดาไปหน่อย แต่ที่พิเศษคือ มันคือชุดที่ทำให้ใช้เวทย์อัลเทม่าได้.....
----------------------------------------------------------------
ขอบคุณข้อมูลจากเนื้อเรื่องจาก http://tensai-shoujo.tumblr.com และเรื่องเทคนิคการเล่นต่างๆ จาก https://twitter.com/MadoushiKouli
Post a Comment