บทสัมภาษณ์ล่าสุดของคิตาเสะ - DQ น่ะแจ่มกว่า FF เยอะ!!!
นิตยสาร LEVEL เล่มล่าสุดได้จับคุณ โยชิโนริ คิตาเสะ (Director FFVII, Producer FFX, FFXIII) มาให้ปากคำเกี่ยวกับความเป็นมาของ Final Fantasy VII แล้วก็ความสัมพันธ์กับทีมงานคนอื่นๆ ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์คุณคิตาเสะได้อุตส่าห์หยอดมุกเป็นการทิ้งท้ายไว้ด้วย เนื้อหาจะเป็นยังไงนั้น ต้องลองอ่านกันดูครับ
คิตาเสะ : ผมยังจำเรื่องราวของการประชุมหารือเรื่องของ FFVII ในออฟฟิศครั้งแรกเมื่อ 14 ปีที่แล้วได้ดี เราพึ่งจะเสร็จสิ้นภาระกับ FFVI และกำลังต้องการที่จะหางานสานต่อไป ไอเดียที่คิดกันได้ในตอนนั้นคือการสร้างเกมใหม่สำหรับเครื่อง SFC แล้วคุณฮิโรโนบุ ซากกากุจิก็อธิบายกับพวกเราว่างานชิ้นต่อไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1999 ในมหานครนิวยอร์ค
ทีมงาน : เวลาที่เรามองเข้าไปในเมืองมิดการ์แล้วเรามักจะรู้สึกได้ถึงความทันสมัยที่แตกต่างจากเมืองที่ผ่านมาใน FF ภาคก่อนๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับได้รับภาพลักษณ์ของนิวยอร์คในปัจจุบันมาเป็นต้นแบบ ผมเดาว่าว่าความคิดนี้ก็เป็นรากฐานของ Parasite Eve ...หรือไม่ก็อาจจะรวมถึง Chrono Trigger ด้วยใช่มั้ย?
คิตาเสะ : ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้นแหละครับ ส่วนมากพวกที่มาเข้าร่วมประชุมวางแผนในช่วงแรกต่างก็เป็นคนที่กำลังทำ Chrono Trigger กันอยู่ และหลังจากที่ทำ FFVII เสร็จแล้วคุณซากากุจิก็จูงมือคุณโนมุระและคนอื่นๆ ไปสร้าง Parasite Eve ต่อด้วยกัน ดังนั้นไอเดียบางอย่างที่เราคิดได้ในช่วงนี้เลยไปปรากฏอยู่ในเกมเหล่านั้นแทน
ทีมงาน : ช่วยอธิบายถึงงานในแต่ละวันในช่วงนั้นหน่อยสิครับ
คิตาเสะ : การพัฒนา FFVII นั้นแบ่งออกเป็นหลายระยะมาก ชีวิตประจำวันของผมก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไปตามช่วงระยะต่างๆ การละทิ้ง SFC แล้วหันไปพัฒนาให้กับ PlayStation นั้นถือเป็นการก้าวเดินครั้งสำคัญมาก และเมื่อเราได้ตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีการถอยหลังเด็ดขาด ระหว่างนั้นผมมักจะนึกภาพเกมที่ผมกำลังจะสร้างขึ้นมาอยู่ในหัว ผมสามารถจินตนาการว่าสุดท้ายแล้วเกมจะออกมาเป็นอย่างไรได้เป็นอย่างดี แต่บอกตามตรงว่าไม่คิดว่าทีมงานคนอื่นๆ จะนึกภาพตามออกหรอกนะ
ในตอนแรกเราพยายามระดมไอเดียที่เราสามารถทำเป็น 3D ได้ เราได้ศึกษาเกม 3D ทุกๆ เกมที่เราได้มา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเกมที่ฝรั่งเป็นผู้พัฒนา และก็มักจะเป็นเกม PC เสียด้วย
ทีมงาน : คุณเคยบอกว่าเกม 4D Sports Boxing เป็นเกมที่มีอิทธิพลกับงานทำงานตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย?
คิตาเสะ : ใช่ นั่นเป็นเกมที่ใช้โพลิกอนลำดับแรกๆ ที่ผมได้เล่นและก็หลงใหลกับมันมาก แต่ว่ายังมีอีกหนึ่งเกมที่น่าจะมีอิทธิพลกับพวกเรามากกว่านั่นก็คือ Alone in the Dark มันเป็นเกมที่ใช้กราฟฟิค 3D ในการสร้างช่วงเวลาแห่งความหลอนขึ้นมา แต่เราต้องการจะสร้างอะไรที่มันอลังการมากกว่านั้น เราพยายามทำงานด้วยแนวทางนั้นมาตลอด ก็มีการรวบรวมความคิดจากทุกๆ คนในทีม แล้วก็พยายามนำมันมาหลอมหลวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้มันกลายเป็นอะไรที่เรียกว่า RPG สไตล์ญี่ปุ่น
ทีมงาน : บทบาทในทีมพัฒนาของคุณคืออะไร?
คิตาเสะ : ผมก็ได้ชื่อว่าเป็น Director ล่ะนะ จริงๆ ผมก็ทำงานนั้นมาตั้งแต่ตอนที่สร้าง FFVI แล้ว ทว่าการสร้างเกมกราฟฟิค 3D เป็นอะไรเปลี่ยนรูปการทำงานของผมโดยสิ้นเชิง ในช่วงนั้นผมต้องลงมือทำงานเองซึ่งต่างกับตอนนี้ที่แค่คอยควบคุมการทำงานอยู่เบื้องหลังมาก ผมต้องใช้เวลางานทั้งวันขลุกอยู่กับโปรแกรมพวกซอฟต์อิมเมจ แล้วก็วุ่นอยู่กับเหล่าคาแรคเตอร์ ผมต้องมานั่งกำกับฉากต่างๆ ในเกม เวลาที่คุณคาซึชิเงะ โนจิม่า ซึ่งเป็นผู้เขียนบทได้ส่งสคริป์มาให้ผม ผมก็จะแปลงมันเป็นสตอรี่บอร์ดแล้วก็ลองสร้างมันด้วยกราฟฟิคเอนจิ้นของพวกเรา จะว่าไปแล้วทั้งสคริปต์และรูปแบบการทำงานของพวกเรามันทำให้นึกถึงการสร้างหนังมากกว่าการสร้างเกมที่ผ่านๆ มานะเนี่ย
ทีมงาน : คุณเป็นคนศึกษาหนังเก่าใช่มั้ย?
คิตาเสะ : ใช่แล้ว ผมชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ช่วงเวลาโปรดของผมก็คือการได้ไปใช้บริการโรงหนัง หนึ่งในช่วงที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือตอนที่ได้ดู The Bridge on River Kwai แล้วในตอนที่ผมอายุ 12 ขวบหลังจากที่ผมออกมาจากโรงหนังที่พึ่งฉาย Star Wars จบไป ผมก็ได้ตัดสินใจว่าเมื่อโตขึ้นแล้วผมต้องเป็นผู้กำกับหนังให้ได้
การที่ผมได้ได้ทำงานในอุตสาหกรรมเกมอาจเป็นแค่เรื่องของความบังเอิญ หลังจากที่ผมเรียนจบแล้วผมก็เริ่มทำงานสร้างอนิเมชั่น ทว่าในตอนนั้นผมกลับผลาญเวลาว่างไปกับการเล่นเกมอย่างเดียว วันหนึ่งผมได้เห็นโฆษณางานของ Square ในนิตยสารเกมและคิดว่างานมันดูน่าสนใจมาก และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ได้กลายมาเป็นหน้าที่การงานของผม
ทีมงาน : ความรู้ในการทำหนังเป็นประโยชน์ในการสร้าง FF ของคุณมากแค่ไหน?
คิตาเสะ : ปีแรกที่ผมได้มาทำงานในบริษัทซึ่งก็คือในช่วงต้นของยุค 90 ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจากคุณซากากุจิ เราได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เขามีวิธีการคิดโครงเรื่องให้กับเกมในแบบเฉพาะของตัวเอง เขาพัฒนาวิธีการเล่าเรื่องของเขาทุกๆ ครั้งที่มีโปรเจคท์ FF ภาคใหม่เกิดขึ้น และเขาก็สอนวิธีการทำงานให้กับผม ทว่าในตอนที่เราเปลี่ยนมาเป็น 3D เนี่ยแหละ ผมและทีมงานถึงได้มีโอกาสความรู้และประสบการณ์จากการทำหนังมาใช้ประโยชน์ ในตอนที่เราลองสร้างเดโมขึ้นมาผมก็เห็นความเป็นไปได้เหล่านั้น
ทีมงาน : แล้วนั่นก็คือเวลาที่คุณได้สอนอะไรต่างๆ ให้คุณซากากุจิแทน?
คิตาเสะ : ฮา ฮา บางทีก็คงใช่นะ แต่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสร้าง FFVII ในแต่ละวันเท่าผมหรอก เขาเป็นคนเขียนสคริปต์แรกเริ่ม ทำไกด์ไลน์ และสร้างศูนย์กลางของคอนเซปต์ทุกๆ อย่าง เขาเป็นคนออกแบบมหานครที่น่าจะเป็นนิวยอร์คแต่ดันกลายมาเป็นมิดการ์ในตอนหลัง คอนเซปต์ทั้งหมดของไลฟ์สตรีมก็มาจากความคิดของเขาเนี่ยแหละ
ทีมงาน : ดูเหมือนว่า FF จะเปลี่ยนไปหลังจากที่คุณได้ยึดบัลลังค์ Director มาจากคุณซากากุจิตั้งแต่สมัย FFVI หลังจากนั้นซีรียส์นี้ก็เริ่มมีธีมที่มืดมนขึ้น แถมยังดูซีเรียสขึ้นอีกต่างหาก นี่เป็นผลงานของคุณรึเปล่า
คิตาเสะ : ใช่ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละครับ คุณซากากุจิเป็นคนที่วิเศษมาก เขาเป็นคนที่ห่วงใยธรรมชาติและวิญญาณ แถมยังเชื่อว่าจิตวิญญาณของคนสามารถเอาชนะทุกๆ สิ่งได้ นี่ก็คือสิ่งที่กลายมาเป็นธีมทั่วๆ ไปของ FFVII เหมือนกัน แต่ผมคงจะเป็นคนทำให้มันดูมืดมนมากขึ้นล่ะมั้ง
ทีมงาน : ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณโนมุระเป็นอย่างไรบ้าง? ผู้คนพูดกันว่าพวกคุณได้กลายเป็นคู่ปรับต่อกันและจะไม่ยอมทำงานร่วมกันอีกแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกคุณได้สร้าง FFXIII แบบภาคใครภาคมันก็ยิ่งไปสอดคล้องกับข่าวลือนั้นนะครับ
คิตาเสะ : หึๆ ไม่หรอก อืม...ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ? เริ่มจากว่าคุณโนมุระเป็นคนออกแบบตัวละครให้กับทั้ง FFXIII และ FFvXIII ละกัน นั่นก็แสดงอยู่แล้วนี่ว่าไม่ใช่ว่าเราทั้งสองจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ โอเค...ระหว่างเราอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป้าหมายของเราหรือวิธีการสร้างเกมของเรา มันไม่ใช่การเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่เราก็ไม่สามารถแชร์เป้าหมายร่วมกันได้ แต่ถ้าเกิดเราคิดเห็นตรงกันเสมอแล้วมันจะไม่น่าเบื่อแย่เหรอ? ผมคิดว่าเราคือสองครีเอทีฟที่ได้ร่วมงานกันในบางครั้ง ถึงจะแยกย้ายกลับไปทำในเส้นทางของตนเองแล้ว แต่พวกเราก็จะได้กลับมาพบกันใหม่อยู่เรื่อยๆ
ในตอนที่เราเริ่มวางแผนเกี่ยวกับ FFXIII ผมบอกโนมุระว่าเรามีความคิดบางอย่างที่ต้องยึดถือตาม นั่นก็คือการสร้าง FF ภาคใหม่ให้เป็นไปตามประเพณีที่ผ่านมา ในตอนนั้นเราวางแผนจะสร้าง FFXIII สำหรับ PS2 และให้โนมุระสร้าง FFvXIII สำหรับ PS3 ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเขาจะสามารถสร้างอะไรที่แตกต่างออกไปได้ เกมๆ นั้นจะไม่ต้องทำอะไรตามประเพณีที่เป็นมาของ FF เลย ผมมักจะให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ บอกให้เขาทดลองสร้างอะไรที่เป็นการฉีกความคิดเดิมๆ ทิ้งไป เขามีสิทธิที่จะแบกรับความเสี่ยงเอาไว้ได้ และแล้วมันก็จบลงด้วยการกลายมาเป็นโปรเจคท์นั้นแหละ
ทีมงาน : แล้วคุณซากากุจิล่ะครับ ความสัมพันธ์ในทุกวันนี้เป็นยังไงกันบ้าง?
คิตาเสะ : ก็ดีครับ เร็วๆ นี้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนพึ่งไปทานซูชิด้วยกันมาเอง
ทีมงาน : แล้วได้คุยอะไรกันมั่งครับ?
คิตาเสะ : เรื่องที่คนอายุ 40 กว่าๆ สองคนเค้าคุยกันตอนกินซูชิส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวล่ะนะ ฮา ฮา แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยเรื่องที่น่าสนใจกัน เราพูดกันถึงเรื่องเกมที่เราเคยร่วมมือกันสร้าง และก็อนาคตของเกมที่เราจะสร้างขายทั้งในและนอกญี่ปุ่น เราพูดคุยว่า RPG จะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร และระบบ Command-based จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แค่ไหน ทั้งหมดก็เพราะมันเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความนิยมขึ้นมา
ทีมงาน : เขามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับโปรเจคท์ FFVII ที่คุณสร้างขึ้นมาหลังจากที่เขาออกจาก Square Enix ไปแล้ว?
คิตาเสะ : โอ้..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมมั่นใจว่าเราได้ส่ง FF ทุกภาคให้กับเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้บอกเราว่าเขาได้เล่นมันรึเปล่า หรือมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับมัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ไม่รู้ผมเคยบอกเขาไปรึเปล่าว่าผมคิดยังไงกับ FF ก่อนที่จะมาทำงานที่ Square สาบานได้ว่าผมพูดว่ามันเป็นเพียงการลอกเลียนสั่วๆ ของสิ่งที่ Enix ทำในช่วงยุคสมัยเดียวกัน จะบอกให้ว่า Dragon Quest น่ะแหล่มกว่ากันเยอะ!!! (ฮา ฮา)
ที่มา : NeoGAF
Post a Comment